คนไม่มีไฟ


ผมเกิดมาทันสงครามโลกครั้งที่2 ตอนที่ญี่ปุ่นยกธงขาว ทั่วโลกอยู่ในยุคข้าวยากหมากแพง แต่คนที่อาศัยอยู่ในป่าดงดอยก็คงไม่กระไรนัก เพราะเคยชินจนปรับตัวเป็นปกติ แต่คนที่อยู่ในหมู่บ้านต้องแบ่งสันปันส่วนสิ่งของที่จำเป็น ความเป็นพี่น้องในวัฒนธรรมก็พอเกลี่ยความต้องการให้กันได้ อีกส่วนหนึ่งยุคนั้นคนไทยพึ่งตัวเองเป็นส่วนใหญ่ได้แทบทั้งหมด เสียดาย..ทำไมไม่ทำสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ จอมพล ป. ยังเคยรณรงค์ให้ปลูกผักสวนครัว ชูเรื่องในน้ำมีปลา ในนามีข้าว แผ่นดินของเรา อุดมสมบูรณ์ ..

วิถีไทยอีสานสมัยที่ผมเป็นเด็กๆ ชาวบ้านจะยกเรือนสูง ด้านล่างทำเป็นคอกวัวควาย กลางคืนก็จุดไฟไล่ยุง ควันก็คงจะฟุ้งขึ้นไปบนเรือนเป็นครั้งคราว ถ้ามองเรื่องการอนามัยคงจะไม่ดีนัก เหตุผลสำคัญชาวบ้านอาจจะมองเรื่องความปลอดภัยจากโจรขโมยวัวควาย แถมยังประหยัดด้วย เพราะไม่ต้องไปทำคอกอีกแห่งหนึ่ง เรียกว่าเรือนแบบทูอินวันได้ไหม? แต่ที่แน่ๆชาวบ้านไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเรื่องเชื้อเพลิง พึ่งสติปัญญาตนเอง

สมันโน้นถ้ามีการบุกเบิกป่าใหม่ ชาวบ้านจะเก็บต้นไม้ยืนต้นที่มีลักษณะเปลาตรงไว้ตามเรือกสวนไร่นา โดยเฉพาะต้นยางนาต้นโตๆที่ผมเรียกว่าพญาไม้อีสาน ชาวบ้านจะเจาะเป็นโพรงขาดเท่าชามใหญ่ๆสูงจากพื้นดินประมาณเมตรครึ่ง แล้วเอาไฟลนในหลุมที่เจาะ จะทำให้ไม่น้ำยางไหลออกมา นาบิ้งหนึ่งจะมีต้นยางอยู่2-3ต้น ภาพรวมก็คือจะมาการอนุรักษ์ต้นยางนาและไม้เนื้อแข็งชนิดอื่นๆไว้ เช่น ต้นจะบก ต้นประดู่ ต้นสะเดา ต้นนางดำ ต้นพลวง ต้นแดง ฯลฯ

6-7 วันชาวบ้านก็จะไปรวบรวมน้ำมันยางเอามาทำเชื้อไฟไว้จุดให้แสงสว่าง ที่คนอีสานเรียกว่า”กระบอง” (เอาน้ำมันยางคลุกกับชิ้นไม้ผุเล็กๆแล้วห่อเป็นท่อนด้วยใบตองตึง มัดด้วยตอกไม้ไผ่ให้แน่น เก็บไว้จุดให้แสงสว่างยามค่ำคืน เวลาจุดจะให้แสงวอมแวมบรรยากาศหรุบหรู่รัศมีมองเห็นได้ประมาณ4-5เมตร ความต้องการน้ำมันยางมาทำตะเกียงแบบไทยๆ ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งนอกจากการใช้ไขสัตว์มาทำเชื้อไฟ

ไม่ทราบกว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตอยู่ที่ไหน

เสาไฟฟ้าเป็นยังไง

ยังไม่มีใครแต่งเพลง..เมื่อคืนน้องนอนใต้แสงนีออนกับใคร

พอโตมาหน่อยมีคนกลับจากบางกอกมาเล่าว่า

มึ เอ๋ย เมืองกรุงรุ่งเรืองด้วยแสงไฟ มีน้ำประปาไหลมาใต้ดิน

เดินไปไหนต้องระวัง เดี๋ยวตกอ่างกะปิสนามหลวง

ขึ้นรถก็ต้องระวัง ต้องจับราว

บางคนไม่เข้าใจนึกว่าเขาจะจับลาว กระโดดรถก็มี

คุยเรื่องนี้บางคนอาจจะเกิดไม่ทัน

แต่คงจะเคยได้ยินเพลง “น้ำตาแสงไต้”

เจ้าแสงไต้ก็คือแสงของกระบอกที่เล่าข้างบนนั่น

เมื่อลูกเต้าแยกเรือนก็จะทยอยตัดไม้เหล่านี้มาสร้างบ้านเรือน ซึ่งก็สร้างหลังเล็กๆแบบนกน้อยทำรังแต่พอตัว ไม่สิ้นเปลืองทรัพยากรธรรมชาติมากนัก ประกอบกับเครื่องไม้เครื่องมือไม่ปรู๊ดปราดเหมือนในปัจจุบัน กว่าจะได้เสาสักต้นต้องออกแรงใช้ขวานถากแต่งอยู่หลายวัน หรือถ้าต้องการไม้เครื่องไม้พื้นไม้กระดานฝา ก็ต้องใช้เลื่อยลันดาดึงคนละข้าง เข้าเนื้อไม้ทีละมิลได้มั๊ง คนสมัยนั้นมีวิธีฝึกสมาธิด้วยการนั่งดึงเลื่อยนี่แหละ งานนี้มันสอนเรื่องความอดทน ใจเย็น และความมั่นคงแห่งจิตใจ ดีนักเชียว นึกดูเถิดกว่าจะได้กระดานแต่ละแผ่นจะต้องใช้ความมุมานะพยายามมากขนาดไหน คนยุคก่อนจึงมีความอดทนสูง ไม่ปากพล่อยเที่ยวไปหาเรื่องก่อกวนใครง่ายๆเหมือนคนสมัยนี้

เมื่อมีทางรถไฟ รถยนต์ เกวียน ขี้ไต้ ก็หดหายไป

น้ำมันก๊าช ถ่านไฟฉาย ตะเกียงเจ้าพายุ

บุกเข้าสู่ทุกหลังคาเรือน

พวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง

มาหลอกให้ไปขึ้นทะเบียนตีตราจ่ายภาษีต้นยางนาต้นละ50บาท

เงิน50บาทสมัยที่เหรียญสตางค์เจาะรูค่าไม่น้อยเลย

คนทำมาหากินรายปีจะมีที่ไหนไปจ่าย

จึงถูกโน้มน้าวขายไม้ยางต้นโตๆให้กับเจ้านาย

ตัดไปแบ่งกันกับโรงเลื่อยต้นละ100-200 บาท

แล้วเป็นไง..ต้องมาเสียงบประมาณส่งเสริมปลูกป่าแบบเจ๊าะแจ๊ะ

นี่คือบาปกรรมที่ใครก็ไม่รู้ก่อไว้ให้แผ่นดิน

ผมไถ่โทษที่บรรพบุรุษเคยโค่นป่ามาทำสวน

ด้วยการปลูกป่าไม้เป็นการสารภาพบาป

แต่ก็นั่นแหละ..ยังห่างไกลจากสภาพป่าธรรมชาติมากนัก

ช่วงที่ผมเข้ามาอยู่สวนป่านั้นยังขาดแคลนสิ่งที่เรียกว่าความจำเป็นพื้นฐาน ยกตัวอย่างเรื่องน้ำดังที่เล่าไปแล้ว กลางคืนผมก็ใช้ตะเกียงกระป๋องน้ำมันก๊าชนี่แหละให้แสงสว่าง ส่วนไฟฉายก็ใช้เท่าที่จำเป็น วันไหนมีกิจกรรมกลางคืน เช่น ปอกเปลือกนุ่น (ที่สวนตอนบุกเบิกใหม่ๆจะปลูกนุ่นมาก) พอนุ่นแก่ก็จะเก็บมากองไว้กลางลาน คนงานที่มาเก็บนุ่นก็จะกินนอนไม่กลับบ้าน กลางคืนหน้าร้อนพวกผู้หญิงกับเด็กๆจะมานั่งปอกนุ่นกัน ส่วนผู้ชายก็เอาปุ๋ยนุ่นยัดอัดใส่กระสอบให้แน่น เพื่อจะได้บรรทุกใส่เกวียนไปไม่เสียเที่ยว ทางเราก็จะบริการตะเกียงเจ้าพายุสว่างโร่ แต่บางคืนที่เดือนหงายท้องฟ้าสว่าง เราก็ไม่จุดไฟใดๆ นั่งทำงานท่ามกลางแสงจันทร์นวล แหมบรรยากาศสุขสงบสุดซึ้งเชียวแหละ

ไม่มีทีวีอินเตอร์เน็ทมาคอยก่อกวนใจ

มีงานทำ-กินอิ่ม-นอนอุ่น-จิตใจปกติ-

ไม่ต้องตื่นหูตาแหกแต่งตัวไปทำงานซกๆ

..ถามว่าอะไรคือมาตรฐานชีวิตที่ต้องการ

ทำงานแทบตายให้คนอื่นทั้งนั้น

บางคนทำโอจนเป็นลมหน้ามืด

แต่ไม่ยอมทำโอกาสให้แก่ตนเองแม้สักนาที

เกิดมาทำไม เจ้าเป็นไผ เจ้าคิดอะไร เจ้ากำลังทำอะไร?

ฮ่วย!

หลังจากผมปลูกต้นไม้ได้6ปี ก็เห็นมีเสาไฟฟ้าปักมาตามถนนเข้าไปในหมู่บ้าน เห็นบ้านคนอื่นสว่างโร่แต่ของเรายังวอมแวมเหมือนเดิม ตอนนั้นผมใช้เครื่องยนต์ปั่นไฟเพื่อสูบน้ำบาดาน เป็นเครื่องยนต์2จังหวะ แบบเครื่องฉุดโรงสียุคแรกๆ เวลาจะติดเครื่องต้องออกแรงหมุนข้อเหวี่ยงหน้าอกแทบพัง เครื่องส่งเสียงลั่นไปทั้งป่า กลางคืนหนาวๆต้องลุกตอนตี1มาปิดเครื่อง โคตรทรมานเลยละครับ

และแล้วสวรรค์ก็มีตา คุณจ่อยคนโคราชตำแหน่งหัวหน้าไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอ แกคงมาดูความเรียบร้อยการเปิดใช้ไฟครั้งแรกในหมู่บ้าน ตามธรรมเนียมชาวบ้านจะจัดงานเลี้ยงฉลอง ดีใจที่มีไฟฟ้าใช้เพื่อบ่งบอกความทันสมัย จ่อยเป็นคนเฮฮาอารมณ์ดีมีรสนิยมชมชอบสุราพอสมควร ผมสงสัยว่าแกอาจจะเมากลับไม่ถูก จึงหลงแวะขี่มอเตอร์ไซเข้ามาในสวน หลังจากคุยกันถูกอัธยาศัยเหมือนเลข11 ผมก็เลียบเคียงเรื่องอยากจะมีไฟฟ้าใช้ คุณจ่อยก็ดีใจหาย วันหลังย้อนมาเล่าถึงข้อระเบียบต่างๆ ที่ฟังแล้วอยากจะผูกคอตาย..

ถ้าจะขยายเขตผู้ใช้ไฟจะต้องมีกลุ่มบ้านมีทะเบียนเลขที่ 5-6 หลัง

ต้องไม่ห่างไกลจากหมู่บ้านหลักที่เปิดใช้ไฟไม่มากนัก

ต้องมีถนนเมนผ่านเข้ามา

ต้องๆๆๆ บ้าบออีกสารพัด

ฟังแล้วอึ้งกิมกี่เพราะเราไม่อยู่ในเกณฑ์สักอย่าง

ในชีวิตนี้ไม่เคยได้อะไรง่ายๆสักอย่าง

ต้องกระเสือกกระสนเลือดตาแทบกระเด็นทั้งนั้น

นึกออกไหมครับ ผมไม่ได้เก่งกาจสามารถอะไรหรอก

โชคชะตาจับมือชกทั้งนั้น

เรื่องนี้เหมือนหมาเห่าเครื่องบิน

..ท้อนิดหน่อย แต่ไม่ถอยหรอกนะ..

เมื่อขอใช้ไฟตามระบบไม่ได้ ก็ปรึกษาเจ้าคุณจ่อย

แกรีบบอกเหมือนวางเบ็ดไว้ล่วงหน้า

“เอาอย่างนี้สิ ออกเงินเองทั้งหมด

จะบริการให้พิเศษเลยแหละ

สถานที่มีกับแกล้มแม่ครัวฝีมือเด็ดอย่างนี้ รับรองจัดการให้เต็มที่”

หลังจากหายหน้ามืด

ผมค่อยๆถามเบาๆ..จ่ายเองนะเท่าไหร่

เจ้าคุณจ่อยบอกตอบไม่ได้หรอกมันต้องสำรวจข้อมูลก่อน

หลังจากนั้นคุณจ่อยก็ยกทีมมาสำรวจหลายครั้ง

หมดเป็ดไก่สุราอาหารเลี้ยงดูอย่างเต็มใจไปหลายรอบหลายโต๊ะ

หายไป2เดือนจ่อยหน้าระรื่นกลับมา บอกว่าผมต้องจ่ายประมาณ 600,000บาท แต่เจ้านายเบื้องบนเห็นว่าเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคม อนุมัติให้จ่ายแบบพบกันครึ่งทาง วัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่ง (คุณจ่อยกรุณานำเรื่องนี้ไปหารือกับผู้ว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)ทั้งๆที่ผม ไม่มีเงินแต่ก็ตอบตกลง ต้องหาเงินมาจ่าย350,000 บาท

มารู้ทีหลังว่า ที่จริงแล้วผมสามารถจ่ายลดลงกว่านั้นมาก

เช่นเดินไฟ2เฟต และใช้หม้อแปลงขนาดเล็ก

เจ้าคุณจ่อยสารภาพระหว่างเมาว่า..

“ไม่รู้นี่หว่า ..เห็นชาวบ้านเรียกเสี่ยอุ๊ๆ ก็นึกว่าจะมีกะตังค์เยอะ”

แกเลยออกแบบเต็มอัตราศึก

เดินระบบไฟฟ้า3เฟตแบบของโรงงาน

ใช้หม้อแปลงขนาดใหญ่เท่ากับของหมู่บ้านขนาดย่อม

แกมารู้ที่หลังว่าผมต้องตัดไม้ยูคาลิปตัส 200 ไร่ ไปจ่ายค่าติดตั้งไฟฟ้า

คุณจ่อยแทบหายเมาหายบ้า

ทำให้แกเลิกเหล้ามาเท่าทุกวันนี้

มองเห็นเสาไฟทีไรเหมือนหน้าจ่อยเพื่อนรักทุกที

ความปรารถนาดีที่บริสุทธิ์ใจ ย่อมมีค่าประเมินไม่ได้

ตอนนี้จ่อยเกษียณไปแล้ว

แม่บ้านเขาเล่าให้ฟังว่า

ตั้งแต่เลิกน้ำเปลี่ยนนิสัย

โรคภัยต่างๆหายไป ร่างกายแข็งแรงขึ้น

เขียนเรื่องนี้แล้วผมคิดถึงคุณจ่อยเพื่อนรักเป็นบ้า

นึกถึงตอนที่แกเมา

ให้เมียซ้อนท้ายมาเที่ยวหาผม

รถตกหลุมเมียหล่นจากมอเตอร์ไซด์

เรียกเท่าไหร่แกก็ไม่ได้ยิน บึ่งแหลกแหวกมัจจุราชมาอย่างเดียว

มาถึงสวนป่าทำหน้าเหรอ

อ้าวเมียผมหายไปไหน

ใครจะไปตรัสรู้ละวะ..

ย้อนกลับไปหาเดี๋ยวนี้

บังอาจทิ้งเมียระวังเมียจะทิ้งมั่งนะโว้ย โธ่..

 

: นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจมอร์เตอไซด์ขี้เมา

หมายเลขบันทึก: 331986เขียนเมื่อ 29 มกราคม 2010 10:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 12:16 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ขอบคุณครับ ได้ติดตามชมตลอดด้วยความชื่นชม

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท