สิ่งที่สร้างความวุ่นวายให้แก่ผมทุกๆ เช้าเวลาเริ่มต้นทำงานที่บ้านก็คือเจ้ามะขามซึ่งจะขึ้นมาบนโต๊ะทำงานแล้วก็พันไปพันมาสารพัดวิธีจนกว่ามันจะยอมสงบลงแล้วนอนหลับบนเก้าอี้ข้างๆ ตัวผม
การมีแมวตัวผู้น้ำหนักหกกิโลกว่าๆ พันไปพันมานี่ไม่ใช่เรื่องง่าย มันถึงขั้นผมต้องเลิกใช้ notebook แล้วซื้อ desktop มาใช้แทนทีเดียว เพราะมันทุ่มตัวทับ notebook แต่ละทีนั้นแทบจะทำให้เครื่องหักเป็นสองส่วน
แม้กระทั่ง desktop ผมอยากจะได้ iMac ก็ซื้อมาใช้ไม่ได้เพราะวิเคราะห์แล้วว่าการพุ่งเข้าชนของมะขามแต่ละทีนั้นสามารถทำให้ iMac ที่มีขาตั้งเล็กๆ นั้นล้มได้แน่นอน ซึ่งก็คิดไม่ผิด เพราะตอนนี้ผมใช้จอ Dell Ultrasharp เจ้ามะขามก็สามารถชนให้จอหมุนได้ทีละเกือบ 45 องศา ดีแล้วที่ไม่ซื้อ iMac
มะขามทำเพื่อเรียกร้องสองอย่าง หนึ่งกิน สองนอน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมตอบสนองไม่ได้อย่างใจสักอย่าง
อย่างเรื่องกินนี่แม้จะไปเทอาหารแมวให้กินแค่ไหนก็ตาม มันก็จะไปกินคำสองคำแล้วก็มาพันไปพันมาอีก เพราะอาหารแมวนั้นไม่อร่อยเท่ากับปลากรอบและก้างปลาที่ได้กินเวลาคนกินอาหารเหลือ ครั้นจะให้กินอาหารคนทุกวันก็แพงเกินกว่าจะเลี้ยงไหว
เรื่องที่สองเรื่องนอน มะขามต้องการให้ผมนอนด้วยเพราะที่นอนที่สบายที่สุดของมะขามคือนอนบนอกผมหรือซุกข้างๆ ตัวผม แต่ผมต้องทำงานจะไปนอนได้ยังไง
ดังนั้นเช้าไหนเวลาทำงานที่บ้านสงครามระหว่างคนกับแมวก็จะดำเนินไปจนกว่าแมวจะทนความง่วงไม่ไหวหลับลงไปเอง ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ ที่ผมจะทำอะไรไม่ค่อยได้
ถามผมว่านี่เป็นปัญหาของผมไหม แน่นอนว่าเป็นปัญหา
แต่ถ้าถามว่าผมทุกข์ไหมกับปัญหานี้ คำตอบก็คือผมไม่ทุกข์เลย
คนในโลกนี้มีอีกมากนักที่ไม่ได้มีปัญหาอย่างที่ผมมี เพราะต้องมีปัญหากับสิ่งอื่นที่เป็นปัญหากว่า ที่วุ่นวายกว่า ที่เหนื่อยยากมากกว่า ที่ทุกข์มากกว่า
ผมเองก็มีปัญหาอื่นๆ มากมายที่เป็นความทุกข์ทำให้ผมเรียนรู้ว่าปัญหาไม่ใช่สาเหตุของทุกข์ อยู่ที่มุมมองของเราที่มีต่อปัญหาต่างหากที่จะทำให้สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุข
มนุษย์เราทุกคนต้องการความสุข แต่มนุษย์เรามักจะลืมพิจารณาว่าอะไรคือทุกข์อะไรคือสุขก่อนที่จะทำสิ่งต่างๆ บางครั้งเราเลยวิ่งหาความทุกข์โดยนึกว่าเป็นความสุข
เขาเลยบอกว่าเราต้องมีเวลาตั้งสติพิจารณาทุกข์สุขก่อนที่จะทำอะไร ไม่ใช่ว่าทำตามสิ่งที่คนอื่นบอกว่าเป็นความสุขโดยไม่คิดเสียก่อน
คำสอนนี้แปลแบบคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องทางศาสนาอย่างผม ผมเรียกว่าเป็นหัวใจของ "วิปัสสนากรรมฐาน" แปลให้สนุกก็แปลว่า "ใช้หมอง" อย่างอิกคิวซังนั่นเอง
แน่นอนสำหรับผู้รู้ทางศาสนาพุทธอย่างเข้มข้นทั้งหลายย่อมมองว่าเป็นการตีความที่ตื้นเขิน แต่ท่านอย่าถือผมเลยเพราะผมแปลของผมอย่างนี้และแนะนำคนอื่นๆ ที่ไม่รู้เหมือนผมอย่างนี้ ปัญญาผมมีแค่นี้และผมมีความสุขแล้วกับการตีความเช่นนี้ เพราะเวลาผมศึกษามากกว่านี้จะทำให้ผมไม่มีเวลาปฎิบัติสิ่งพื้นๆ อย่างนี้ซึ่งจะทำให้ผมไม่มีความสุข
ผมเคยหลายคนที่สามารถท่องสูตรต่างๆ ในศาสนาพุทธได้อย่างคล่องแคล่วแต่กลับดูไม่มีความสุข ดูเหมือนเขาเหล่านั้นจะไม่มีเวลาปฎิบัติจริงเท่าไหร่ แต่ผมอาจจะดูผิดก็ได้ ไม่มีใครรู้เท่ากับตัวเขาเองรู้
ผมเองวันนี้มีความสุขแล้ว เพราะผมสามารถเขียนบันทึกนี้ได้เสร็จโดยเขียนไปก็เยื้อยึดกับเจ้ามะขามไป ใช้เวลารบกับแมวประมาณสองเท่าของเวลาเขียนครับ
แมวน้ำหนัก มากกว่าทารกน้อยครับ
เห็นความสุขของอาจารย์แล้ว
ในมือถ้วยชาใช่มั้ยครับ
ดูหน้าเจ้ามะขามในภาพก็น่าพัวพัน น่าเอ็นดูมากค่ะ พี่ดาไปบ้านแม่เที่ยวนี้ก็มีแมวสีดำ 3 ตัวกำลังซนมากพึ่งมาอยู่ได้ไม่กี่วัน และเจ้าหรั่งหมาน้อยกำลังซนเช่นกันเล่นกับแมวทีชนิดดูแมวคงจะรำคาญมากๆ ก็ได้แต่ขู่เสียงดัง
... เป็นความสุข อีกรูปแบบหนึ่ง นะคะ
ถ้าเราเลี้ยงดูด้วยความรัก ไม่ว่าคนหรือสัตว์เลี้ยง ก็ทำให้เรามีความสุข
แม้จะรำคาญบ้าง แต่ในความรำคาญนั้นก็เปี่ยมไปด้วยความสุข
ยินดีด้วยครับ
นึกถึงตอนนู้น....สมัยอายุยังไม่ถึงเดือน เผลอแป๊บเดียวนะคะ
ดีที่เขาขอไปเลี้ยงสองตัวนะครับ นี่ถ้าอยู่กันครบผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าบ้านที่มีแมวตัวผู้ขนาดใหญ่ๆ สามตัวนี่จะวุ่นวายแค่ไหนครับ
สนุกค่ะ สมัยเด็กๆที่บ้านพี่โอ๋เยอะ ทั้งแมว ทั้งหมา ปลา นก มีหมดเลย อย่างละหลายๆตัว พี่โอ๋ก็แพ้แมวนี่แหละ แต่ก็อยู่กับพวกมันแบบพัวพันกันเมื่อไหร่ ก็ตาบวมจมูกแดงตลอด ก็อยู่มาได้เรื่อยๆนะคะ เป็นพวกขี้แพ้ (แต่ไม่ชวนตีค่ะ อิ อิ) ตอนนี้แก่แล้วก็ดีขึ้นเยอะ มีจามบ้างเล็กน้อยเท่านั้น แต่ที่บ้านก็เหลือแค่ตัวสองตัวเหมือนกัน เป็นรุ่นเจ้ามิ้งค์มากกว่าค่ะ