ไฟที่มอดดับ....


   ทรายเดินตามแม่ออกมาดูพ่อด้วยความเป็นห่วง แม่จับที่หัวไหล่พ่อแล้วบีบเบาๆ ทรายกอดพ่อไว้ อยากให้พ่อพูดอะไรออกมาบ้าง

ไฟที่มอดดับ.... 

          รถวิ่งด้วยความเร็วที่ผิดปกติ ทรายกับแม่มองเห็นสีหน้าของพ่อผู้เป็นคนขับ กำลังมีสีหน้าเคร่งเครียดและกัดกรามแน่น สายตาของพ่อที่มองไปข้างหน้าแทบไม่กระพริบจึงดูน่ากลัว ทรายเอื้อมไปจับมือแม่มากุมไว้ให้อุ่นใจ ทรายไม่เคยเห็นพ่อขับรถเร็วอย่างนี้มาก่อน

          ทรายเพิ่งจะรู้ก่อนที่จะขึ้นรถได้ไม่นาน ว่าแม่ของพ่อซึ่งเป็นย่าแท้ๆของทรายอยู่โรงพยาบาล โดยมีอาหญิงเฝ้ารอดูอาการอยู่ พ่อเร่งทรายกับแม่ให้รีบจัดกระเป๋าเสื้อผ้า ก่อนบึ่งรถออกจากบ้าน เป็นการเดินทางไปต่างจังหวัดครั้งแรกในแบบที่ฉุกละหุกที่สุด

          “คุณ ขับรถช้าๆก็ได้”  แม่พูดกับพ่อ

          “จะช้าได้ยังไง แม่ผมอยู่โรงพยาบาล” พ่อหันมามองแม่ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

          หากเป็นช่วงเวลาอื่น ทรายก็คงไปโรงเรียนแล้ว แต่นี่เป็นวันที่ปิดภาคเรียน ทรายจึงต้องติดรถมาด้วย อย่างน้อยก็ได้มาเป็นเพื่อนแม่ จุดหมายปลายทางคือบ้านย่า ที่เป็นบ้านสวนใจกลางเมืองศรีขรภูมิ

          “ย่าเป็นอะไรหรือคะพ่อ” ทรายถาม

          “ย่าหน้ามืดเดินล้มคว่ำอยู่ในสวน เพราะความดันสูงและมื้อเท้าอ่อนแรง”

          “เมื่อวันก่อนย่าโทรมาถามผลการเรียนของทราย แม่ก็เห็นยังดีๆอยู่นี่นา” แม่พูดแล้วหันมามองหน้าทราย

          “ตอนที่น้องโทรมา น้องบอกว่าย่ามีปัญหากับคนสวน” พ่อพูดสั้นๆ แล้วนิ่งเงียบไป ไม่อยากจะตอบคำถามใดๆอีก

          บ้านสวนของย่าอยู่ในผืนนาของพ่อ พื้นที่สวนมีมะขาม มะพร้าว ขนุนและมะม่วงหิมพานต์ อยู่รอบๆบ้าน นาของพ่อมีเพียง ๒๔ ไร่เป็นนาร้างจึงเป็นทุ่งโล่งมีแต่พื้นดินว่างเปล่า ต้นหญ้าที่ไม่เคยขึ้นยาวให้รกรุงรังเพราะมีวัวควายของขาวบ้านเข้ามาแระเล็มหญ้าอยู่ทุกวัน ย่าไม่เคยว่ากล่าวตักเตือนแต่อย่างใด เพียงแค่ขอร้องผู้ที่เข้ามาบุกรุกทุกคน ไม่ให้ตัดไม้ยูคาลิปตัสและไม้ยืนต้นบนคันนาที่พ่อปลูกไว้หลายปีแล้ว 

          ทรายเคยมาไร่นาสวนผสมของพ่อหลายครั้ง พ่อโชคดีที่มีย่ากับน้องสาวช่วยดูแลให้ ที่ดินไม่เคยสัมผัสความแห้งแล้งเลย เพราะมีน้ำจากคลองชลประทานไหลผ่าน มีบ่อน้ำที่พ่อขุดเอาไว้ ใกล้ๆบ่อน้ำยังมีสระบัวที่ขุดลอกไว้แต่เดิม ก่อนพ่อจะมาซื้อที่ดินผืนนี้

          “ตกลงจะให้ชาวบ้านเขาเช่าที่ทำนาไหม?” ทรายเคยได้ยินย่าถามพ่อเมื่อปีที่แล้ว

          “ไม่ต้องให้เช่าหรอกครับ ให้เช่าไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา” พ่อตอบ

          ทรายรู้สึกเห็นใจพ่อและเข้าใจความรู้สึกของย่า ที่ต้องมองดูผืนนาว่างเปล่ามาหลายปี เพียงเพราะพ่อไม่ต้องการเห็นชาวบ้านนำปุ๋ยเคมีมาใส่ลงบนผืนนา ย่าเองก็เบื่อหน่ายกับการทวงค่าเช่านาจากชาวบ้านที่มักจะอ้างอยู่เสมอว่าขายข้าวไม่ค่อยได้ราคา เมื่อขายข้าวเปลือกได้ ก็ต้องนำเงินไปใช้หนี้ ธกส.และใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของลูกหลาน ส่วนค่าเช่านาไม่ได้สนใจที่จะจ่ายให้ตรงตามสัญญา ต้องพูดผัดผ่อนย่าทุกครั้ง จนย่ารู้สึกรำคาญ เมื่อพ่อของทรายไม่ประสงค์จะให้ใครเช่าที่ดินทำนา ย่าก็ไม่อยากบังคับอีกต่อไป

          “ผู้ใหญ่บ้านเขามาขอแม่ให้ช่วยดูแลสองคนผัวเมียตกยากไม่มีบ้านจะอยู่” ย่าเอ่ยขึ้น

          “ดูแลยังไงเหรอ” พ่อถาม

          “เขาอยากได้ที่อยู่อาศัยน่ะ แม่เห็นศาลาหลังเก่าที่อยู่ตรงหัวนา ถ้าให้เขาช่วยกันต่อเติมสักหน่อยก็พอจะเป็นที่พักชั่วคราวได้”

          “แม่เห็นว่ายังไงล่ะ ผู้ใหญ่เขารับรองความประพฤติหรือเปล่า เพราะเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้”

          “ผู้ใหญ่เขารับรองความประพฤติกับแม่แล้ว บอกว่าสองคนผัวเมียคู่นี้เป็นคนดี เพียงแต่ยากจนเดินเร่ร่อนมาจากหมู่บ้านอื่น แม่ก็เลยรู้สึกสงสาร ผู้ใหญ่เขาจะหางานให้ทำและวันไหนที่เขาว่าง แม่จะให้เขาช่วยดูแลสวนของเราด้วย”

          “ งั้นก็แล้วแต่แม่ก็แล้วกันครับ”

          ผ่านไป ๑ ปี หลังจากพ่อพาแม่กับทรายเดินทางกลับบ้านที่กรุงเทพฯ เพื่อทำงานราชการตามปกติ ส่วนทรายก็เรียนหนังสือ เราสามคนไม่มีใครพูดถึงสองคนผัวเมียที่เข้ามาอาศัยร่มโพธิ์ร่มไทรของย่า ที่อยู่บนผืนนาอันรายล้อมไปด้วยต้นไม้ที่พ่อปลูก คงมีแต่ย่ากับอาหญิงเท่านั้นที่โทรมาบอกพ่อว่า ย่าสุขสบายเป็นปกติและแข็งแรงดี ตั้งแต่ได้คนสวนสองคนเข้ามาอยู่ใกล้บ้าน ส่วนอาหญิงก็ช่วยยืนยันด้วยว่าเขาและเธอที่เข้ามาพักในกระท่อมตรงหัวนาท้ายสวน แม้จะยากจนค่นแค้น แต่ก็ขยันขันแข็งและไว้ใจได้ จนทำให้คนในบ้านสวนมีความรู้สึกรักและผูกพันเหมือนลูกเหมือนหลานก็ว่าได้ 

          “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แม่คุณถึงต้องเข้าโรงพยาบาล” แม่ถาม พ่อนิ่งไม่ยอมตอบคำถามของแม่ ทรายไม่ชอบบรยากาศภายในรถที่ดูอึมครึมแบบนี้

          เสียงโทรศัพท์ของพ่อดังขึ้น พ่อส่งโทรศัพท์ให้แม่ แล้วบอกให้แม่เปิดเสียงให้ฟังด้วย

          “ฮัลโหล พี่เขาขับรถอยู่ แม่เป็นยังไงบ้าง?” แม่ถาม ทรายได้ยินเสียงของอาหญิงพูดโทรศัพท์ตอบแม่อย่างชัดเจน

          “แม่ดีขึ้นแล้วค่ะ หนูให้อยู่ห้องพิเศษ ให้พี่ขับรถไปรอที่บ้านได้เลยนะ หนูมีเรื่องของแม่จะเล่าให้ฟัง เดี๋ยวตอนค่ำๆค่อยไปเยี่ยมแม่พร้อมกัน” 

          “จ้ะ เดี๋ยวเจอกันนะ” แม่วางสายแล้วส่งโทรศัพท์คืนให้พ่อ ทรายรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อรู้ว่าย่าปลอดภัยแล้ว อย่างน้อยก็ช่วยให้พ่อขับรถอย่างที่ไม่ต้องวิตกกังวลมากนัก

          ทรายครึ่งหลับครึ่งตื่น ก่อนจะลืมตาขึ้นเมื่อรถจอดหน้าบ้านหลังหนึ่ง ทรายได้ยินเสียงพ่อสั่งให้ช่วยกันยกกระเป๋าขึ้นบ้าน ส่วนพ่อเดินแยกออกไปข้างบ้าน ที่ปกคลุมไปด้วยไม้ยืนต้นประเภทไม้ผล ปลูกเป็นแถวเป็นแนวรายล้อมอยู่รอบบ้าน อากาศยามเย็นเช่นนี้จึงมีแสงแดดอ่อนรำไร ทำให้ภายในสวนมองดูร่มรื่น และไม่ถึงกับมืดครึ้มจนเกินไป

          ยังไม่ทันที่แม่กับทรายจะยกกระเป๋าเสื้อผ้าเข้าไปในบ้านของย่า อาหญิงก็ขับรถกลับจากโรงพยาบาล มาจอดเคียงคู่กับรถของพ่อ

          “ทรายพาอาไปหาพ่อเถอะ เดี๋ยวแม่ยกกระเป๋าเอง” แม่บอกทราย

          “ค่ะแม่”

          พ่อเดินผ่านสวนทะลุออกสู่ทุ่งนาอันเป็นพื้นที่โล่ง ผืนดินแห้งแข็งแตกระแหง มีก้อนดินก้อนโตๆเกลื่อนกลาดระเกะระกะไปทั่ว คงเป็นเพราะชาวบ้านเข้ามาขุดดิน เพื่อหาปูหาเขียดและอึ่งอ่างไปตามประสา เวลาเดินต้องคอยยกเท้าอย่างระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นอาจพลั้งพลาดทำให้ล้มหัวคะมำได้

          ทรายกับอาหญิงเดินมาทันพ่อพอดี ตรงที่พ่อยืนเป็นบริเวณหัวนา พ่อสอดส่ายสายตาไปยังสองฟากฝั่งของคันนาที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา และเต็มไปด้วยต้นมะม่วงหิมพานต์ ลำต้นมะม่วงสูงใหญ่ใบหนาทึบ ปลูกเรียงรายกันเป็นพุ่มเขียวหนาแน่นตลอดแนวคันนา 

          ไม่ไกลจากจุดที่พ่อยืนมากนัก มีกระท่อมหลังเล็กๆ มองดูคล้ายเพิงพักเสียมากกว่า หลังคามุงด้วยตับจาก ข้างฝามีผ้าพลาสติกและลังกระดาษแปะซ้อนทับกัน หน้าบ้านมีโอ่งน้ำและแคร่ไม้ไผ่เก่าๆ ข้างบ้านมีราวตากผ้าที่ทำจากเชือกฟางมีผ้าขาวม้าสีคล้ำห้อยอยู่ บ่งบอกว่ามีคนอาศัยอยู่ภายในกระท่อมหลังนี้

          “กระท่อมนี้แหละพี่ ที่หนูคิดว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้แม่ล้มในวันนี้” อาหญิงบอกกับพ่อ

          “เรื่องมันเป็นยังไง เล่าให้พี่ฟังซิ” พ่อเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดอีกครั้ง เร่งเร้าให้อาเล่าความจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมด

          “เมื่อตอนสายๆหนูกับแม่พากันเดินไปที่ปลายนา เห็นไม้ยูคาของพี่ถูกตัดกองไว้มากมาย ใกล้ๆกันหนูเห็นถุงหูหิ้วสองใบข้างในมีมะม่วงอยู่เต็มถุง แม่กับหนูคิดว่ามันสองคนนั่นแหละที่เป็นขโมย พอเห็นเราเดินมา จึงรีบเดินหลบเข้ากระท่อมไปเสียก่อน”

          “แน่ใจเหรอว่าเป็นฝีมือของสองคนผัวเมียนั่น” พ่อถาม

          “จะมีใครล่ะพี่ ก็มีกันอยู่แค่นี้เท่านั้น”

          “งั้นก็เอาไว้ไม่ได้แล้ว” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนและเต็มไปด้วยอารมณ์ที่โกรธจัด จนทรายสะดุ้ง อยากจะจับมือพ่อไว้ให้ใจเย็นๆ แต่ไม่ทันเสียแล้ว พ่อสาวเท้าเข้าไปใกล้กระท่อม ก่อนที่จะหันมาบอกอาหญิง

          “ไปเอาน้ำมันมาให้พี่เดี๋ยวนี้ พี่จะเผากระท่อมไม่ต้องให้ใครมาอาศัยอยู่อีกต่อไปแล้ว”

          “ช้าก่อนค่ะพี่ หนูยังเล่าไม่จบเลย หนูคิดว่าแม่คงโกรธมากและอากาศก็ร้อนมากด้วย แม่ก็เลยเป็นลม ตรงที่พี่ยืนอยู่นี่แหละ พอหนูกับแม่เรียกสองคนผัวเมียออกมาจากกระท่อม เขาไม่ยอมรับว่าเป็นคนขโมยของ แม่คาดคั้นเอาความจริงจนเหนื่อย พี่ก็รู้ว่าแม่ไม่ชอบคนขี้ขโมย ขอกันดีๆก็ได้ แม่คงเสียใจด้วยล่ะพี่ ที่เลี้ยงคนไม่ซื่อเอาไว้”

          “น้องต้องเรียกพวกมันออกมาเดี๋ยวนี้” พ่อสั่งอาหญิงด้วยเสียงอันดัง

          สิ้นเสียงของพ่อ ประตูกระท่อมก็ค่อยๆเปิดออก เสียงจากประตูไม้ไผ่ที่กระทบพื้นดินดังโกรกกราก ผู้ที่อาศัยอยู่ในกระท่อมทั้งสองคนประคองกันออกมา ผู้เป็นสามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับอาหญิงของทราย ส่วนภรรยาดูจากใบหน้าแล้วก็น่าจะอ่อนเยาว์กว่าหลายปี ทั้งคู่เดินมานั่งอยู่ตรงหน้าของพ่อ แล้วพนมมือยกมือไหว้พ่อพร้อมกัน

          “เก็บข้าวของให้เรียบร้อยนะแล้วอย่าหนีไปไหนล่ะ รอตำรวจกับผู้ใหญ่มารับตัวไป เดี๋ยวผมจะเผากระท่อมหลังนี้” พ่อพูดอย่างเด็ดขาด สายตาจับจ้องสองคนผัวเมียด้วยความโกรธสุดขีด

          “ผมผิดไปแล้วครับ ยกโทษให้ผมด้วย เก็บข้าวของแล้วผมสองคนก็จะไป แต่ได้โปรดอย่าได้แจ้งตำรวจเลยนะครับ ผมขอร้อง” สามีพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พร้อมกับก้มลงกราบอย่างนอบน้อม

          ภรรยาปฏิบัติตามสามี ค่อยๆก้มกราบอย่างช้าๆ พอเงยหน้าขึ้น ทรายสังเกตเห็นหยดน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาคู่นั้น ช่างเป็นใบหน้าของหญิงสาวที่ดูหม่นหมองและเศร้าสร้อยยิ่งนัก

          “ไปเก็บของได้แล้ว” พ่อบอกชายหญิงทั้งสองที่นั่งอยู่ตรงหน้า

          ผู้เป็นสามีลุกขึ้นยืน เอื้อมมือทั้งสองไปจับแขนภรรยาแล้วประคองให้ลุกขึ้นยืน แต่แล้วทันใดนั้นร่างของฝ่ายหญิงก็ซวนเซเกือบจะทรงตัวไม่อยู่ พ่อของทรายจึงเข้าไปช่วยประคองอีกแรงหนึ่ง

“เธอกำลังท้องน่ะครับ เลยไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง”

“กี่เดือนแล้ว” พ่อถาม

“๗ เดือนกว่าแล้วครับ”

          พ่อปล่อยมือออกจากคนท้อง สองสามีภรรยาทรุดนั่งลงบนแคร่อย่างเรียบร้อย พ่อกวักมือเรียกทรายกับอาหญิงให้เข้ามาหา พ่อนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนหันไปพูดกับผู้เป็นสามี

          “เข้าไปพักผ่อนในบ้านเถอะ คราวหน้าคราวหลังอย่าริอ่านขโมยของในที่นาของผมนะ” พ่อพูดเบาๆแต่ก็ได้ยินกันทุกคน

          “ครับ”

          “เราไปเยี่ยมย่ากันเถอะ” พ่อพูดพร้อมกับเดินนำหน้าทรายและอาหญิงออกจากบริเวณกระท่อมหลังนั้น ทรายมองหน้าอาหญิงอย่างงุนงง อาไม่ได้พูดอะไรเลยสักนิด ได้แต่เดินตามมาอย่างช้าๆ

          ค่ำคืนนี้บรรยากาศภายในบ้านของย่าดูเงียบเชียบและวังเวง หลังจากไปเยี่ยมย่าที่โรงพยาบาล พอกลับมาทรายก็เห็นพ่อมานั่งอยู่ที่นอกชานเป็นเวลานานแล้ว ดวงตาพ่อเหม่อลอยออกไปในท่ามกลางความมืดมิด

          ทรายเดินตามแม่ออกมาดูพ่อด้วยความเป็นห่วง แม่จับที่หัวไหล่พ่อแล้วบีบเบาๆ ทรายกอดพ่อไว้ อยากให้พ่อพูดอะไรออกมาบ้าง

          “พ่อไม่ต้องคิดอะไรมากนะ การให้ของพ่อเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดแล้ว สามีเขาต้องดูแลภรรยาที่ท้องอย่างใกล้ชิด ไม่มีเวลาออกไปทำงานนอกบ้าน ก็เลยแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้” แม่พูดปลอบใจพ่อ ทรายเห็นพ่อพยักหน้าแล้วยิ้มให้แม่ เป็นรอยยิ้มที่สวยงามและเยือกเย็นกว่าเมื่อตอนกลางวันมากนัก

          เสียงไก่ขันดังมาจากหมู่บ้าน ทรายตื่นขึ้นมาก็พบว่าพ่อกับแม่ยกกระเป๋าขึ้นรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทรายรีบอาบน้ำแต่งตัว ได้ยินเสียงแม่บอกกับพ่อว่าจะไปหาทานมื้อเช้าในระหว่างทาง

          “เอาเงินนี่เก็บไว้นะ” พ่อยื่นเงินให้อาหญิงจำนวนหนึ่งแล้วบอกว่า “ฝากดูแลแม่ด้วยนะ กลับจากเยี่ยมแม่แล้วอย่าลืมซื้อข้าวสาร และกับข้าวมาฝากสองคนนั่นด้วย พี่ไปล่ะ”

          “ค่ะพี่ เดินทางปลอดภัยนะ”

ชยันต์  เพชรศรีจันทร์

๒๔  เมษายน  ๒๕๖๗

          

 

 

          

 

          

 

                   

                    

 

          

           

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 717969เขียนเมื่อ 24 เมษายน 2024 18:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน 2024 18:27 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท