รู้จักตน


อะไรๆ ก็เกิดจากตัวเราทั้งนั้น..

การรู้จักตน เป็นสิ่งที่สำคัญ

การพิจารณาดูตน เข้าใจในตน เป็นสิ่งสำคัญ

อะไรๆ ก็เกิดจากตัวเราทั้งนั้น.. เช่น

เมื่อเราทำสิ่งที่เรา"คิดว่าดี" แต่คนอื่นว่าไม่ดี เราก็"คิด"เสียใจ เกิดความโกรธ แล้วมันเกิดอยู่ที่ไหน ก็เกิดในตัวเราไง..

หากเราทำในสิ่งที่"คนอื่นประเมินว่าไม่ดี" มีคนอื่นมาเตือนเรา เราก็โกรธ และเสียใจอีก  ความโกรธความเสียใจเกิดขึ้นที่ไหน...ก็ที่ตัวเราอีกนั่นแหละ

อะไรๆ ก็เกิดในความคิดของเรา จากตัวเราทั้งนั้น.. ลองคิดดูว่าถ้าเราไม่ได้ยินเรื่องเหล่านี้ ไม่ได้เห็นเรื่องเหล่านี้ ไม่ได้สัมผัสเรื่องเหล่านี้ จิตเราจะเดือดร้อนรู้สึกอะไรกับเรื่องเหล่านี้ไหม...  

คุณ P หมอจิ้น ได้กรุณาให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมไว้ว่า " ตาเห็น ใจเห็น ก็ทุกข์มาก  ตาเห็นแต่ใจไม่เห็น ก็ทุกข์น้อย  ตาไม่เห็น ใจไม่เห็น ไม่ทุกข์เลย "

ดังนั้นต้องเข้าใจตนเอง หมั่นพิจารณาตนเอง คอยตามดู ตามรู้ เพราะหากเข้าใจตนเองแล้วก็เหมือนกับเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อเข้าใจ ก็ย่อมไม่ทุกข์ เป็นการดับทุกข์โดยการพิจารณา เจริญสติและทำความเข้าใจธรรมชาติของตนเอง..ของมนุษย์ทั้งหลาย

บันทึกนี้เกิดจากการฟังเทปคำเทศน์หลายๆ ตอนของหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง เมื่อคิดได้แล้วก็เลยอยากนำมาฝากกันค่ะ

หมายเลขบันทึก: 97145เขียนเมื่อ 19 พฤษภาคม 2007 10:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม 2012 23:15 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

สวัสดีครับท่านอาจารย์กมลวัลย์

ผมเห็นด้วยอย่างมีนัยสำคัญยิ่งครับ ฮ่าๆๆ

เข้าใจตนเองมากเท่าใด ก็จะเข้าใจคนอื่นมากเท่านั้น

สวัสดีค่ะคุณข้ามสีทันดร

เป็นเรื่องสำคัญค่ะที่ต้องรู้จักตัวเอง เพื่อรู้จักผู้อื่น หลวงปู่บอกว่า เรากะเขาก็เหมือนกัน ประกอบไปด้วยกายกับจิตเท่านั้น  แต่สร้างเรื่องได้มากเหลือเกิน : )

ขอบคุณที่แวะเข้ามา ลปรร นะคะ

เมื่อวาน ภรรยาผมเล่าให้ฟังว่า มีคนไข้ บอกทุกข์มาก เพราะลูก ๆ เกเร ไม่เรียนหนังสือ แถมเที่ยวสุรุ่ยสุร่าย

ก็ไม่รู้จะปลอบใจแกว่ายังไง บอกแกไปว่า

" ตาเห็น ใจเห็น ก็ทุกข์มาก  ตาเห็นแต่ใจไม่เห็น ก็ทุกข์น้อย  ตาไม่เห็น ใจไม่เห็น ไม่ทุกข์เลย "

พูดเสร็จภรรยาผมก็มานั่งงง ว่าตัวเองพูดไปได้ยังไง คุณป้ายิ้มได้ บอกเออจริง

ผมบอกว่า มันอยู่ในจิตใต้สำนึก  เข้าวัดที่อบรมเรื่องเหตุเรื่องผล อ่านหนังสือ รับรู้เรื่องราวของธรรมะบ่อย ๆ เมื่อมีเหตุการณ์ที่ต้องใช้ มันจะออกมาเอง ( ปรกติ ผม เข้าวัดหนองป่าพง วัดป่านานาชาติ  หลวงพ่อชาและลูกศิษย์ ผมเชื่อและศรัทธา หลวงพ่อปัญญา หลวงพ่อพุทธทาส หลวงพ่อประยุทธ )  ภรรยาผมพลอยได้รับรู้เรื่องราวไปโดยไม่รู้ตัว

หลวงปู่ชา ท่านเข้าถึงในพระธรรม จากการฟังเทป ดิฉันคิดว่าท่านเป็นพระปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติแล้วเข้าใจ ประกอบกับมีความสามารถมาถ่ายทอด ก็เลยสามารถถ่ายทอดให้เราฟังโดยใช้คำพูดง่ายๆ แต่ความหมายลึกซึ้ง ทำให้เราเข้าใจธรรมที่ท่านสอนได้ง่าย สามารถนำไปปฏิบัติได้ และซึมซับเข้าไปในชีวิตประจำวันเรานี่แหละค่ะ

จะขออนุญาตนำ " ตาเห็น ใจเห็น ก็ทุกข์มาก  ตาเห็นแต่ใจไม่เห็น ก็ทุกข์น้อย  ตาไม่เห็น ใจไม่เห็น ไม่ทุกข์เลย " ไปใส่ไว้ในบันทึกนะคะ เพราะคิดว่าสรุปได้ชัดเจนกว่าที่ดิฉันเขียนไว้ค่ะ

ขอบคุณที่แวะเข้ามา ลปรร นะคะ ขอขอบคุณภรรยาคุณหมอด้วยค่ะ.. ดิฉันว่าคนไข้ของคุณหมอทั้งสองคนเป็นผู้ที่โชคดี เพราะได้รับการดูแลทั้งกายและใจค่ะ

สวัสดีครับอาจารย์

P
  • เป็นบันทึกที่ตรงกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผมช่วงนี้มากๆครับ
  • จากการที่เราเริ่มเรียนรู้  เริ่มตั้งคำถามกับชีวิตเราเอง รวมถึงธรรมชาติรอบตัว  จากประสบการณ์ของเราเองที่พบกับปัญหาต่างๆ  นำไปสู่การเรียนรู้และแก้ปัญหา  การเรียนรู้ของผมเองเริ่มต้นที่การเรียนรู้จากผู้รู้  แนวคิดหลักการต่างๆที่สำคัญ  การอ่าน  การไตร่ตรอง นึกคิด  นำมาสู่ความเข้าใจทั้งภายในตนเองและธรรมชาติรอบตัวเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ  
  • ที่อ่าน  ที่เรียนรู้  ที่ปฏิบัติมาทั้งที่ผ่านมาและตอนนี้ก็เพื่อ..การรู้จักตน..ดั่งเช่นบันทึกของอาจารย์ครับ..  ยิ่งเรียนรู้  ยิ่งปฏิบัติ  ยิ่งสงบ  เราก็ยิ่งมองเห็น  เข้าใจธรรมชาติด้านในของเราเองมากยิ่งขึ้นครับ  พร้อมๆกับการเข้าไปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ยังไม่รู้ ไม่ถูกต้อง ไม่จริง ไม่ดี ...
  • ทั้งนี้ผมเข้าใจว่าถนน  เส้นทางที่จะไปสู่การรู้จักตนของแต่ละคนคงจะไม่เหมือนกัน  แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเป้าหมายสูงสุด  ซึ่งจะยังไม่สามารถบอกอธิบายได้มาก  เพราะคงจะต้องใช้เวลาอีกนานเหมือนกันครับที่ผมจะเข้าใจได้  แต่ที่ผมชอบคือ หนังสือท่านอาจารย์หมอประเวศ ครับ  คือการเข้าถึงความจริง  ความงาม  และความดี
  • ขอบคุณครับ..
สวัสดีค่ะคุณหมอสุพัฒน์
P

ดิฉันก็เห็นด้วยค่ะว่าเส้นทางในการรู้จักตนของแต่ละคนคงจะไม่เหมือนกัน ต่างกรรมต่างวาระค่ะ แต่อย่างน้อยเราก็มองเห็นยอดเขาที่เรากำลังมุ่งไปสู่ว่าอยู่ตรงไหน เป็นยอดเดียวกัน แต่เราอาจจะมาจากคนละด้านเชิงเขา อาจมองเห็นเส้นทางที่เหมาะของแต่ละคนแตกต่างกัน แต่มีจุดมุ่งหมายในการบรรลุถึงยอดเขาเดียวกันแน่นอน

ดีใจที่ได้แหงนมองเห็นยอดเขา แต่ก่อนไม่เคยเห็นเขาลูกนี้มาก่อนด้วยซ้ำ เห็นแต่ทางเดินข้างหน้า แต่ทางเดินไปไหนก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้อย่างน้อยก็กำลังพยายามเดินไปสู่ถนนสายความจริง สายพระธรรมนี้แหละค่ะ..

บันทึกนี้เอาไว้เตือนตัวเองว่า อันดับแรกก็ต้องเข้าใจความจริงเกี่ยวกับตัวเราก่อน รู้จักตัวเราก่อน เพราะถ้าไม่รู้จักตัวเรา แต่ใช้ตัวเรามองออกไป เราอาจมีสายตาและความคิดที่ผิดก็ได้ แต่ไม่รู้ตัว เพราะไม่เคยเห็นตัวเองหรือรู้จักตัวเองมาก่อนเลย..

ขอบคุณคุณหมอที่เป็นกัลยาณมิตรให้กำลังใจในการปฏิบัติเสมอมาค่ะ : ) ได้อ่านข้อคิดเห็นของกัลยาณมิตรใน G2K ทำให้ดิฉันได้ไตร่ตรอง และได้เขียนได้เข้าใจได้ปฏิบัติมากขึ้นค่ะ .. ขอบคุณที่แวะเข้ามา ลปรร เสมอนะคะ

ตาเห็น ใจเห็น ก็ทุกข์มาก 

.......................................................

สำคัญจริงๆเลยคะ....เห็นด้วยความคิด คิดไปทั่ว 

สวัสดีค่ะคุณ

P

ใช่เลยค่ะ ถ้าตาเห็น ใจเห็น แล้วความคิดมันเกิด เพราะมีเรื่องมากระทบจิตของเรา ทำให้เราเกิดอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ก็ต้องดูกันไปค่ะ ดูให้รู้ว่าอันนี้คือโกรธ อันนี้คือปิติ เป็นต้น จะได้รู้ว่ามีการเกิด-ดับของอารมณ์เหล่านี้อยู่..จะได้รู้ว่ามันไม่เที่ยง และไม่ยึดสิ่งเหล่านี้เป็นอัตตาหรือสาระค่ะ

แต่บางครั้งตาก็ไม่ได้เห็นแล้ว แต่ใจเห็น คือเอาเรื่องเก่า หรือจินตนาการเรื่องใหม่มาคิด อันนี้ก็มีผลแย่พอๆ กับข้างต้นค่ะ เพราะจิตไปรับรู้ เพราะฉะนั้น ตาไม่เห็น ใจเห็น ก็เกิดทุกข์ได้ค่ะ

ขอบคุณที่แวะเข้ามา ลปรร เสมอนะคะ : )

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท