ในช่วงที่ผ่านมานี้ g2k ของเรามีdigital divide เป็นประเด็นร้อน (hot issue) ที่ปลุกให้ตื่นตัว และกลับมามองปัญหาตัวแม่ที่แฝงตัวอยู่อย่างเงียบๆ ปล่อยให้ลูกหลานของมัน อาทิ ปัญหาการกู้เงินนอกระบบ, ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบของพ่อค้าคนกลาง, ปัญหาการอ่านออกเขียนได้ของเด็กในชนบท, ปัญหาการขาดแคลนสาธารณูปโภคในพื้นที่ห่างไกล, ปัญหาการกระจายรายได้, ปัญหาการหลั่งไหลของคนในชนบทสู่เมืองเพื่อหางานทำ,ปัญหาการขาดแคลนพลังคนหนุ่มสาวเพื่อพัฒนาท้องถิ่น และอื่นๆ อีกมากมาย เหล่านี้ซึ่งเป็นปัญหาปลายเหตุมาก่อกวนให้ปวดหัวกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แก้ไขกันจนลืมมองหาต้นเหตุที่แท้จริงของมัน
"ความเหลื่อมล้ำ" ไม่ว่าทางความรู้ เทคโนโลยี หรือแม้แต่สถานะภาพทางเศรษฐกิจ
แน่นอนว่าเป็นธรรมดาของสังคมที่ต้องมีความเหลื่อมล้ำ เป็นสัจธรรมของโลก มีขาวก็ต้องมีดำ ถ้าไม่มีขาวจะรู้ได้อย่างไรว่าดำเป็นอย่างไร แต่เมื่อยังต้องใช้ชีวิตอยู่บนความเหลื่อมล้ำแห่งนี้ มันคงเป็นการดีไม่น้อยถ้าจะย่นระยะห่างของมันลงมา
หลังจากที่ได้อ่านหลากหลายบันทึก รับข้อมูลจากหลายๆความคิดเห็นที่ส่งผ่านกันบนเครือข่ายนักปฏิบัติแห่งนี้ และมีโอกาสได้ชมคลิ๊ป bridging digital divide เกี่ยวกับพื้นที่ห่างไกลแห่งหนึ่งในไต้หวันที่ internet สามารถสร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านในการส่ง ลูกพีชออกขายผ่านเวปไซด์ โดยมีอาจารย์จากมหาวิทยาลัย Chung Yuan Christian University และลูกศิษย์ เป็นผู้มาติดตั้งระบบและสอนเด็กๆที่นี่ให้ใช้งาน internet จากนั้นเด็กๆเหล่านี้ก็เป็นผู้จัดการดำเนินการ e-commerce เอง
ตัวอย่างของความพยายามเชื่อมความต่างในสังคม โดยมีกลุ่มคนผู้รู้เดินทางเอาความรู้ไปเชื่อมต่อยังจุดที่ขาดหรือ ความรู้ยังเข้าไปไม่ถึง..
เมื่อมองกลับมา..จะว่าไปในประเทศไทยของเรามีบุคคลเหล่านี้อยู่มากมายที่ทำหน้าที่ของพวกเขาในการเชื่อมต่อความรู้ ตามความสามารถของเขาเหล่านั้น
ด้วยสายงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ทำให้มองเห็นว่า ความไม่รู้เป็นอีกประเด็นสำคัญของ digital divide การลดความไม่รู้ก็ต้องเพิ่มความรู้ แล้วพระเอกนางเอกของเรื่องนี้ก็คงไม่พ้น ครู อาจารย์ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศไทย
แล้วทำอย่างไรละ?? นั่นสิๆ
จริงอยู่ว่า เทคโนโลยีเป็นกุญแจสำคัญที่จะลดช่องว่างตรงนี้ แต่ในเมื่อด้วยเทคโนโลยีอันจำกัดในหลายพื้นที่ และบางแห่ง(เทคโนโลยี)มันก็ยังเข้าไปไม่ทั่วถึง แล้วจะให้ทำอย่างไร?
ในฐานะคนเป็นครู อาวุธและเครื่องมือที่ดีที่สุดคือ ปาก ดังนั้นก็ต้องใช้ปากให้เป็นประโยชน์นะสิคะ อิอิ
โดยความคิดเห็นส่วนตัว
ครูสามารถขับเคลื่อนความไม่รู้ออกไป และลดการเหลื่อมล้ำทางความรู้ได้โดยการ
แล้วทำอย่างไรถึงจะได้ครูที่มีประสิทธิภาพขนาดนี้!!
จะว่าไปมันก็เป็นเกลียวคลื่นที่ส่งผ่านกันมาเป็นทอดๆ นานมาแล้วที่เราถูกปลูกฝังให้พอเพียงกับความรู้ที่มีอยู่(อาจด้วยวิถีชีวิตเรียบๆ ง่ายๆ และความเคยชิน ส่งผลให้เราอยู่ได้โดยไม่ต้องขวนขวายอะไรมากมาย) การปฏิวัติครูเพื่อนำไปสู่การเป็นผู้ใฝ่รู้ด้วยจิตวิญญาณนั้นเป็นเรื่องยาก สิ่งที่ทำได้คงเป็นเพียงการสร้างความตระหนักว่าตนเอง(ครู)ยังรู้ไม่พอ (อาจค่อนข้างเป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้นะคะ แต่ก็สร้างได้แน่นอนค่ะ ส่วนสร้างอย่างไรนั้น คงต้องฝากเป็นคำถามไปขบคิดกันต่อแล้วล่ะค่ะ แต่อย่างน้อยๆก็ดีใจว่าตอนนี้ก็มีผู้ใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้แล้ว ที่นี่) คงจะเป็นแรงขับที่ดีที่สุดที่จะนำพาไปสู่การขวนขวายความรู้ของตัวครูเอง อันจะส่งผลไปยังการปลูกฝังการใฝ่รู้ในเด็กต่อไป (โดยส่วนตัวเชื่อว่า ทัศนคติของครูมีผลต่อการสอนในห้องเรียนค่ะ ครูใฝ่รู้ก็จะกระตุ้นให้เด็กใฝ่รู้ตามไปด้วย)
แล้วคนที่ไม่ใช่ครูล่ะ??
โดยการบอก การเล่า การนำเสนอสิ่งดีๆ ซึ่งถือเป็นการให้ความรุ้ทางหนึ่งที่ง่ายมากๆ แค่นี้คุณก็จะกลายเป็นครูโดยจิตวิญญาณแล้วค่ะ อิอิ
การลดความเหลื่อมล้ำ ต้องลดทอนความไม่รู้ของคนในสังคม เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับบันทึกของ อ.จันทวรรณ แค่คุณรู้ว่าดีแล้วบอกต่อ ความเหลื่อมล้ำก็ลดลงแล้ว ว่ามั้ยคะ?
ปล.ด้วยประสบการณ์ในอันน้อยนิดในวงการการศึกษาและโลกใบนี้ จึงยังไม่แน่ใจนักว่ามุมมองนี้ถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ควรจะเป็นอย่างไร ดังนั้นจึงกำลังรอการเชื่อมความต่าง(กันคนละมุม)ทางความคิดและประสบการณ์จากผู้รู้ทุกท่านอยู่นะคะ อิอิ
Reference:http://www.taitran.com/
สวัสดีค่ะน้องสาวหัวใจติดปีก
ขอบคุณค่ะสำหรับแนวคิดดีๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของการลด digital divide ค่ะ
พี่ชอบนะ "สร้างความตระหนักว่าตนเอง(ครู)ยังรู้ไม่พอ" เพราะถ้าคุณครูรู้สึกว่าความรู้ยังไม่พอก็จะขวนขวายความรู้ใหม่ๆ ให้ลูกศิษย์อยู่เสมอ
เด็กในเมืองกับเด็กนอกเมืองจะได้ค่อยๆ มีความต่างลดลงบ้าง
สวัสดีค่ะ พี่สี่ซี่
การสร้างให้ตระหนักรู้นี่สิคะยาก ค่อนข้างเป็นนามธรรม ต้องได้รับการปลูกฝังหรือปรับเปลี่ยนทัศนคติ แนวความคิดเพื่อนำไปสู่การลงมือปฏิบัติอย่างเป็นธรรมชาติ นั่นคือค้นคว้าด้วยความเต็มใจนั่นเอง คงต้องอาศัยทั้งเวลา,กระบวนการทางสังคมและที่สำคัญที่สุดคือการยอมรับตัวเองค่ะ
ยากแต่ก็มีหนทางค่ะ เพราะเราไม่ได้ย่ำอยู่กับที่ อิอิ
กลับไปใช้ระบบอนารอกงัย
Bridging the Digital Divide เป็นเรื่องราวที่ดีๆ อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตมาแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม ดูแล้วก็ตื้นตันใจ ที่สถาบันการศึกษา อาจารย์ นักศึกษา ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร รู้สึกดียิ่งขึ้น ตรงที่รัฐบาลเขาเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการนี้ด้วย
ฝันว่าประเทศไทยจะมีอะไรแบบนี้บ้าง ถ้า...
ถ้า ICT เปลี่ยนภาระกิจจากการบล็อคเว็บ มาเป็นการเปิดโอกาสให้คนบ้านนอกได้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้มากและง่ายกว่านี้
ถ้า SIPA เปลี่ยนภาระกิจจากการตั้งเป้าจะเป็น Asia software hub - ซอฟต์แวร์ไทยสู่ตลาดโลก มาเป็นซอฟต์แวร์ไทยเพื่อคนไทย เพื่อเกษตรกรไทย
ถ้า NECTEC เปลี่ยนภาระกิจทำ A, B, C, D แห่งชาติที่แทบจะไม่มีใครใช้ มาทำอะไรที่ชาวบ้านร้านตลาดได้ใช้งานจริงๆ
สวัสดีค่ะคุณ กวิน
นั่นสินะคะ back to basic อิอิ
สวัสดีค่ะพี่ ต้นกล้า
จะว่าไปในสังคมไทยก็มีลักษณะความร่วมมือแบบนี้อยู่นะคะ เพียงแต่ว่าเป็นโครงการที่ขับเคลื่อนด้วยกลุ่มคนเล็กๆ ที่ขาดการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนรายใหญ่ แต่ถ้าหากเราร่วมมือกันในการประชาสัมพันธ์และสร้างความตระหนักรู้ให้เกิดขึ้น นอกจากนั้นก็ช่วยกันลงมือต่อจิ๊กซอร์เหล่านี้ทีละเล็กละน้อยตามกำลังความสามารถ เชื่อแน่ว่า ไม่นานนักช่องว่างก็จะแคบลงและเข้มแข็งขึ้นด้วยการยื่นมือมาช่วยพยุงกันค่ะ
ขอบคุณที่แวะมาแสดงความคิดเห็นและเปิดมุมมองทางเทคโนโลยีในสังคมเรานะคะ
ตามเข้ามาอ่านเรื่อง ความรู้ค่ะ
แต่ความรู้นั้น จริงๆ ยังมีความซับซ้อน พันกันไป พันกันมา จนเป็นกระบวนการ นำไปสู้ความรู้อย่่างใหม่ๆได้อีก คือ ข้อมูลต่างๆมีความสัมพันธ์กันไปหมด
ดังนั้น ถ้าจะให้เรียกว่า "รู้ลึก" ก็คือรู้ไปถึงกระบวนการสร้างความสัมพันธ์ของความรู้ด้วย บางทีเราเข้าไปค้นในอินเตอร์เนทมากเท่าไร เราก็ยิ่งจะรู้อะไรกว้างขึ้นๆ ไปเรื่อยจนเลยจุดที่สนใจไปก็มีค่ะ
มนุษย์มีสามารถคิดอะไรที่ลึกขึ้นๆ ไปได้ไม่สิ้นสุด จนสามารถสร้างความรู้ใหม่ขึ้นมาได้
ในขณะที่อินเตอร์เน็ตทำได้เพียง ทำให้เรารู้อะไรกว้างขึ้นเท่านั้น แต่ไม่สามารถทำให้เรารู้ลึกได้
อย่างไรก็ตาม เรื่องการแบ่งปันความรู้ การเพิ่มความรู้ ให้แก่กัน เป็นสิ่งที่ สนับสนุนอย่างมากๆอยู่แล้วค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณ Sasinand
ขอบคุณมากค่ะที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น
เห็นด้วยค่ะว่าinternet เป็นเพียงหน้าต่างเปิดไปสู่โลกกว้างเท่านั้น การจะรู้อะไรอย่างแท้จริง ความรู้ทางเดียวช่วยไม่ได้แน่นอน นอกจากนั้นinternet ก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนักในการนำมาใช้ในการอ้างอิงแหล่งความรู้ (แม้ว่าหลายๆwebsite สามารถเชื่อถือได้ก็ตาม)
การรู้อย่างลึกซึ้งนั้น โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นอีกstep ของการเรียนรู้ค่ะ เมื่อเด็กรู้ในระดับพื้นฐานแล้ว การต่อยอดสู่ความรู้ในเชิงลึกย่อมตามมาเป็นกระบวนการในลำดับต่อไป สำหรับปัญหาdigital divide นี้ คิดว่าเป็นเพราะเรายังขาดความรู้แม้กระทั่งในระดับพื้นฐาน อาทิ เด็กในชนบทบางคนไม่กล้าใช้ internet ด้วยเหตุผลว่า ใช้ไม่เป็น ภาษาอะไรไม่รุ้ ไม่รู้จะกดตรงไหน, ผู้ใหญ่บางคนมองว่า internet เป็นเรื่องของคนหนุ่มสาว ทำให้ไม่กล้าที่จะลองเข้ามาสัมผัสโลกdigital แห่งนี้ เป็นต้น การพาพวกเค้าเหล่านั้นออกจากโลกแห่งความกลัว ความไม่รู้ น่าจะเป็นแนวทางเบื้องต้นในการลดความเหลื่อมล้ำตรงนี้ค่ะ
และเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า มนุษย์มีสามารถคิดอะไรที่ลึกขึ้นๆ ไปได้ไม่สิ้นสุด จนสามารถสร้างความรู้ใหม่ขึ้นมาได้ การรู้ในมุมกว้างผ่านโลกของ internet ก็จะช่วยเปิดโลกทรรศ และช่วยให้เห็นอะไรๆ ในมุมที่ต่างออกไป จนกระทั้งเค้าเกิดการพัฒนาต่อไปอย่างไม่สิ้นสุดค่ะ :)
คุณครูครับ ... ผมมีคำถามครับ :)
... หากคุณครูใช้ "ปาก" ... แล้วเด็กไม่อยากฟัง เอามืออุดหู คุณครูจะทำอย่างไรคร้าบ ???
...........................................................
มีคนบอกว่า หากอยากให้ครูรู้จักตนเอง
ประการที่ 1 ... ต้องทำให้ครู "ตระหนก" ก่อน
ประการที่ 2 ... จึงค่อยทำให้ครู "ตระหนัก"
ประการที่ 3 ... เมื่อครูพร้อม จึงส่งความรู้ต่อไปให้ครูใช้เป็นเครื่องมือได้
สรุป "ตระหนก" ก่อน "ตระหนัก" อิ อิ
...........................................................
สมแล้วที่น้องเจ้าเป็น "ครู" ... คิดได้เป็นระบบดีมาก ๆ ครับ :)
กลับมาอย่าลืมมาอบ ... ครูที่ไม่ "ตระหนัก" ให้ด้วยนะ เพราะส่วนใหญ่ "ตระหนก" ท่าเดียว (อาจจะหลายท่านะ 555)
สู้ สู้ :)
สวัสดีค่ะ พี่อาจารย์ Wasawat Deemarn
ขอบคุณสำหรับคำถามค่ะ (เอ๊ะ ประโยคแบบนี้ คุ้นๆมั้ยคะ 555)
ไม่อยากฟังเพราะไม่เห็นประโยชน์ในการฟัง ดังนั้นต้องสร้างความตระหนักว่า การฟังนั้นดี
.............................................................
ก็ว่ากันไปตามองค์ความรุ้ที่มีอยู่...ผิดถูกอย่างไร ของพี่อาจารย์ช่วยชี้แนะด้วย ข้าน้อยด้อยด้วยประสบการณ์ มิอาจมองเห็นจุดอ่อนของกระบวนยุทธ์นี้
อิอิ :)
555 เจ้าน้องอาจารย์ หัวใจติดปีก เอ่ย ... พี่เฝ้ารอคำตอบของน้องอยู่
และพี่พบว่า ... หัวใจของน้องเป็นครูแล้วล่ะนะ :)
อะนะ จริงเหรอคะ! พี่อาจารย์เอาอะไรวัดอะคะ (ไม่ได้ถามเพราะลบหลู่นะคะ แต่อยากรู้จริงๆ แหะๆ)
แต่ยังไงก็ขอบคุณค่ะที่มาช่วยสร้างความมั่นใจให้รู้ว่า เราเดินทางมาถูกแล้ว :)
การเขียนในบันทึกนี้ไม่ง่ายนะครับ หากไม่ใส่ใจและมีวิญญาณของความเป็นครูจริง ๆ :)
สู้ สู้ ครับ
มาเก็บเอา "ความรู้" ของคนที่มีวิญญานของความเป็นครูค่ะ ^^ นี่นะ ต้อมตามไปดูคลิปที่คุณให้ไปดู เยี่ยมไปเลย ชอบเสียงสาวน้อยฟันหลอมาก
สวัสดีค่ะ คุณต้อม
สาวน้อยฟันหลอตอนนี้มีอัลบั้มเป็นของตัวเองแล้วนะคะ
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมค่ะ