เก่งเฉพาะทาง รู้ลึกๆ แต่โง่กว้างๆ


"รู้กว้าง มาเสริมรู้ลึก" "ลึกมากไป ก็ตื้นได้"

คนหลายคน  ชอบที่ จะ เก่งทางใดทางหนึ่ง แบบสุดๆ สุดโต่ง

ซึ่งผมก็เห็นด้วยไม่ว่าอะไร  .....  เพียงแต่ จะถามว่า

  • แน่ใจนะว่า ที่เก่งน่ะ  เก่งสุดแล้ว   
  • หลงตนเองหรือเปล่า   
  • บ้ายอหรือเปล่า  
  • เก่งในรู   คือ  เก่งเฉพาะ ในประเทศหรือเปล่า  หรือ แค่ในรั้วตนเอง
  • เคยเฉลียวใจไหม
  • ฯลฯ

ผมอุปมา  เกี่ยวกับการใช้จอบ  "ขุดดิน"  ให้ฟังนะ

ถ้าเราขุดไปเรื่อยๆ ให้จอบ ด้ามเดียว     จะขุกลึกได้ ระดับตื้นๆ เท่านั้นเอง     (ลงลึก เรื่องใดเรื่องหนึ่ง)   อย่างมาก ก็ไม่กี่ นิ้ว  ไม่กี่ คืบ

แต่ ถ้าเรา ยอมเสียเวลา  ขยายปากหลุมที่เราขุด  ----->  ไปเสือกๆเรื่องอื่นๆบ้าง  ไปอ่าน ไปฟัง   คนนอกวงการของเราบ้าง  ไปสุนทรียสนทนากับคนโน คนนี้   ไปฟังคนประหลาดๆ วิจารณ์งานของเราบ้าง ...... "  ไปเปิดหู เปิดตา และ เปิดใจ  มองโลกด้วยมุมมองใหม่ ไม่ว่าจะร้าย หรือ จะดี ......."    ไป คว้าจับ ข้อมูล แนวคิด สะกิดใจ  ไปสร้าง sense ให้ตนเอง

ไม่น่าเชื่อครับ  จะลงลึกเรื่องที่ตนเองถนัด  ได้มากกว่าเดิม  

ขุดลงลึกกว่าเดิม  อาจจะเป็นเมตร  เป็นกิโล เป็นโยชน์เลยก็ได้   ถ้า  ได้เครื่องมือดีๆ  ได้เพื่อนมาช่วยขุด

อย่าประมาทครับ   อย่านึกว่าเป็น เซียนเรื่องหนึ่งๆแล้ว  จะยกเลิกเรื่องอื่นๆ   เห็นเรื่องของคนอื่น งี่เง่าไปหมด  ของเรา จ๊าบกว่า  ...... นี่แหละ  ที่ ขุดไว้กลับจะตื้นเขินได้ เฉยเลยน่ะ   .....ตัว "หลง"  นี่แหละ mental model มาขวางกั้นการเรียนรู้ 

"รู้กว้าง มาเสริมรู้ลึก"    "ลึกมากไป ก็ตื้นได้"

ลึกมากไปตื้นได้  เพราะ ขอบหลุม ขอบบ่อ ถล่มลงมาทับตนเอง  ฮ่าๆๆๆ

 

คำสำคัญ (Tags): #sensing
หมายเลขบันทึก: 104439เขียนเมื่อ 19 มิถุนายน 2007 07:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2012 00:08 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (19)

เรียน ท่านไร้กรอบ ขออนุญาต เติม

  •  อย่าฉลาดลึก
  • แต่
  • โง่กว้าง ครับ
  • ประเทศ จะมึน
  • แวะเข้ามาอ่านครับอาจารย์
  • อ่านแล้วได้ทั้งอรรถรสและอรรถปัญญาพร้อมกันเลยครับ
  • ขอบคุณมากครับสำหรับข้อคิดที่ดีๆครับ

 สวัสดีค่ะ

อ่านบันทึกของอาจารย์เป็นประจำค่ะ เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ

"รู้กว้าง มาเสริมรู้ลึก"    "ลึกมากไป ก็ตื้นได้"

ขอบคุณ ทุกท่าน  ที่มา อ่านครับ

สวัสดีครับอาจารย์

  • ก่อนอื่น ขอแซว .. ที่ว่า ไปเสือกๆเรื่องอื่นๆบ้าง  ผมว่าอาจารย์คงไม่ตั้งใจนะครับ
  • เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ลึกแบบหลง นั้นมักไร้สาระครับ .. เปิดใจ เชื่อมโยง บูรณาการ สิ่งที่ควรรู้ให้พอดีๆ  ไม่ขาด  ไม่เกิน โอกาสได้ใช้ความรู้อย่างคุ้มค่า มีสูงครับ
  • สรุปแล้วผมว่า อย่าบูชาศาสตร์ใดว่าวิเศษ เชื่อมโยงศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ผสมให้ลงตัวแล้วนำไปใช้ทำงาน  เรื่องลึก  เรื่องกว้างก็เช่นกัน จัดการให้ได้ลึกแต่พอเหมาะ กว้างแต่พอดี ครับ
P
  • พี่หลวงครับ ที่ว่า เสือกๆเรื่องอื่นๆบ้าง น่ะ ผมว่า อ.วรภัทร์ ท่านตั้งใจนะครับ  อิอิ (ผมเข้าใจอย่างนั้น)
  • และขอขอบคุณท่าน อ.วรภัทร์ ที่ให้ปัญญาแก่คน รู้ตื้นและแคบ อย่างผมครับ

สวัสดีค่ะ อ.

อ.ไม่ไปเจอกับ FA3 ที่สตึกหรือคะรอบนี้

ไม่รู้เป็นไง คำว่า เสือกๆ ของอาจารย์มันผุดขึ้นมาในหัวเรื่อยเลย เวลาที่ไปในที่ที่ไม่เคยไป เดี๋ยวนี้รู้สึกตัวเองจะชอบปฏิบัติตามคำสั่งสอนของอาจารย์ในข้อนี้มากขึ้นค่ะ แต่ก็ทำในเรื่องสร้างสรรค์นะคะ

เห็นด้วยว่า บูรณาการองค์ความรู้ ช่วยให้เราได้เปิดโลกทัศน์ ทั้งยังเป็นส่วนกลับมากระตุ้น ต่อยอดความคิดในศาสตร์ของตนเอง

น่าสนใจนะคะ... 

เก่งแบบเป็ด

เก่งในรั้ว ในรู ในกะลา

เก่งแบบหลงคิดไปเอง

เก่งแต่ปาก

เก่่งแต่วิพากษ์ผู้อื่น

ฯลฯ

 เคยมีราชบัณฑิตท่านหนึ่ง กล่าวว่า "จะสวยก็อย่า สวยสุดแต่ในซอย สวยให้ออกถนนใหญ่ สวยให้เห็นทั้งจังหวัด ทั้งในประเทศ ทั้งนอกประเทศ ลืมตาดูบ้างว่าคนอื่น อื่น เค้าไปถึงไหนกันแล้ว"

คนเก่งจริง จะไม่ชมตัวเอง

คนเก่งจริง จะไม่พล่ามแต่ว่าตัวเองเก่ง

คนเก่งจริง ย่อมพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นได้เองจากการกระทำ  

..เป็นคำพูด ที่ติดในความทรงจำดิฉัน จนทุกวันนี้เลยค่ะ.... 

 

 

 

 

ตามอ่านข้อเขียนอาจารย์ค่ะ   อาจารย์เปรียบเทียบธรรมะและชีวิตจริงได้ดีมากค่ะ

นำภาษาอาจารย์มาใช้ รู้สึกสะใจดีค่ะ

มนุษย์เรา มีความรู้แค่ใบไม้กำมือเดียว คำว่าเก่งจะซ่อนอยู่ตรงไหนละครับ เครื่องมือวัดความเก่งของมนุษย์ไม่มี

แต่ที่แน่ๆน่าจะรู้ตัวว่า โง่น้อย หรือโง่มาก ถ้าโง่น้อยก็มาแปลว่าเก่งอย่างนั้นหรือครับ ในเมื่อศาสตร์ไหนๆของมนุษย์มันอยู่แค่ระดับสารบัญเท่านั้น

ถ้าหาความรู้ไปเรื่อยๆ ก็จะรู้ว่าโง่ไปเรื่อยๆ ก็แค่นั้น ..ความเก่งยังอยู่ห่างไกลไม่รู้กี่ล้านปีแสง อิอิ ..

อย่าเชื่อคนไม่เก่งบอกนะครับ เพราะทำยังไงผมก็เป็นได้แค่เข่งๆๆ ที่มีรูรั่วเยอะ ความฉลาดมันหลุดตกน้ำป๋อมแป๋ม ค้างอยู่แต่ตัวโง่ เลยโง่ป่ายป่วงจนเป็นปกติ

กราบสวัสดีครับท่านอาจารย์

       อ่านบทความแล้วเห็นด้วยครับ ทำให้ผมมองทบทวน บางครั้งผมคิดว่า เรารู้แค่ตรงนั้นแต่โง่รอบทิศทาง หลุมที่เคยขุดมาว่ารู้แล้ว ก็อาจจะมีการถมพังลงไป คล้ายๆ กับจรวดหรือเครื่องบินที่บินบนฟ้า รู้แค่เส้นทางที่เราเห็นกับมลพิษที่ปล่อยออกมาที่เราเห็นเหมือนเมฆแต่ในที่สุดมันก็สลายตัวไป แต่โง่รอบทิศทางเลย เผลอๆ ในที่ที่เรายืนอยู่เราโง่มากกว่าอีกก็ได้ หรือเปล่าครับ

       การขุดดินแล้วเหวี่ยงก้อนดินทิ้ง เราไม่ได้รู้เลยว่า ก้อนดินที่เหวี่ยงทิ้งไปนั้นเรารู้หรือเปล่าว่ามีอะไรอยู่บ้าง

       เกิดมาเพื่อโง่ หรือเกิดมาเพื่อรู้กันแน่หนอ... ขอโทษด้วยนะครับ ผมอาจจะแสดงความเห็นโง่ออกไปด้วยนะครับตามที่ผมคิดว่าผมรู้แต่มันอาจจะคือความโง่ของผมก็ได้ สิ่งที่เราคิดว่าเรารู้อาจจะเป็นสิ่งที่โง่ของอีกคนก็ได้ใช่ไหมครับ

กราบขอบพระคุณมากครับ

ผมกำลังคิดโปรเจคปริญญาตรีของสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์อยู่ครับ แล้วมีความคิดว่า เราจะสามารถทำ Software อะไรขึ้นมาช่วยชาวเกษตรกรได้บ้าง เลยอยากจะถามท่านอ.วรภัทร์และท่านอื่นๆว่า ใครพอมีแนวคิดถึงการทำให้ Software ช่วยแก้ไขปัญหาของเกษตรกร หรือช่วยเพิ่มในสิ่งที่มีอยู่ให้ดีขึ้นไปได้อีกบ้างครับ เนื่องจากผมไม่ได้เคยผูกพันกับการเกษตรมาเลย จึงยังมองไม่เห็นถึงปัญหาที่มีอยู่

แวะมาอ่านครับ

เผื่อจะลดความเขลา ให้เบาบางลงบ้าง

ขอบคุณจากใจ แฟนประจำครับ

คำว่า เสือก  เป็นคำเพราะมากนะ   คนโบราณ คิดขึ้นมา   

คนสมัย ชาติมหาอำนาจตะวันตก มาใส่กรอบ  ให้เราคิดแบบเสพนิยม   ทำให้ แม้นแต่ คำพูดที่ว่า ดีๆ ใช้กันบ่อย ๆ   ก็ยัง มาแบ่งแยกว่า สุภาพ ไม่สุภาพ   

ภูมิปัญญาไทย  คิดคำ ง่ายๆ สั้นๆ    เพราะ ลดการบริโภคนิยม     เวลาพิมพ์ MSN ก็ชัดเจน    แสดงความรู้สึกได้ดี

เรื่อง software การเกษตร   คงต้อง ล้อมวง ทำ สุนทรียสนทนา  เร้าพลัง   กับ ผู้รู้  ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน ฯลฯ  แล้ว จะ ปิ๊งเองแหละ  .....  ที่ไร่ปากช่องของผม  เพิ่ง ลงถั่วเอง    ผมกำลังฟื้นดิน ที่เจอเคมีไปเพียบ  ให้ มาเป็น อินทรีย์ให้ได้ 

ผมยัง เหมือนอย่างครูบาฯว่า  เป็น เข่ง    รูรั่วมีเพียบเลย

อย่างว่านะครับ   เรียนรู้ทางโลก  เรียนให้ตาย  ก็ไม่พ้นทุกข์ได้หรอก     อย่างมาก ก็แค่ ลดเวทนาได้บ้าง

เรียนรู้ทางธรรมสิ  รู้ "กาย เวทนา จิต ธรรม"  ของเรานี่แหละ   ---->  จ๊าบสุดๆแล้ว      เรียนแล้ว มีวันจบ  หมดกิจที่จะเรียน    แต่ เรียนทางโลก  มันใหญ่ กว้างเอามากๆ

กรุณาอ.หรือท่านผู้ทั้งหลาย อธิบายคำว่า "สุนทรียสนทนา" ให้ผมเข้าใจหน่อยครับ เห็นอ.พูดหลายครั้งแล้ว แต่กลัวเข้าใจไม่ตรงกับสิ่งที่อ.หมายถึง

การเรียนเรื่องทางโลกมันกว้างมากเพราะว่ามันไปทางอ้อมมากมาย ทั้งๆที่จุดมุ่งหมายเดียวกับการเรียนทางธรรม ใช่ไหมครับ

สุนทรียสนทนา  คือ  Dialogue

ไปถาม "กู" ได้ครับ    -->  google

ลองศึกษา งาน ของ Dave Snowden  ก็จะเป็นแนว Strotytelling  ซึ่ง หลักการ คล้าย สุนทรียสนทนา

***************

แนว สุนทรียสนทนา  ของผม  ไม่ค่อย จะเหมือน กับ ที่ท่านอื่นๆ สอนนะ

ของผม เพี้ยนๆไปหน่อย  คือ  ผม ใช้ หลัก "จิตดูจิต"    เน้นสร้างกำลังสติ  แยกแยะความคิด  เป็นความคิดที่เกิดจากจิตปรุงแต่ง หรือ เป็นความคิดฟุ้งซ่าน ปรุงแต่ง    

หากจิตเกิด (ดูได้จาก หัวใจเต้น เกร็งกล้ามเนื้อ ฯลฯ) จะมีความคิดประเภท วิตก วิจารณ์  กังวล เพ่งโทษ อคติ ลำเอียง ฯลฯ  ผุดออกมา  ก็ตบทิ้ง ข่มทิ้ง  ดุตนเอง สอนตนเองให้มากๆ

จนจิตของเราปกติ   ก็ค่อย สนทนา

หากจิตเรา  มีแต่  จะโต้แย้ง จะสอดแทรก  จะเสริม ฯลฯ ก็หัด รอให้เขา พูดจบก่อน

ช่วงรอ คนอื่นพูดจบเนี่ย   ดูจิต ดูกาย ดีนักแล   เห็น จิต เห็น ความคิดชัดครับ

 

อ่าน blog ของอาจารย์แล้วถูกใจ ได้แรงอก(สำนวนใต้)

 

เมื่อนักวิทยาศาสตร์ไร้กรอบ ได้กำหนดกรอบให้ตัวเองอย่างไม่รูตัว ขาดสติ สมาธิ ขาดการติดตามตัวเอง ไว้นานแล้ว. อาจจะตั้งแต่ create วลีการตลาดนี้ขึ้นมาด้วยซ้ำ. การกระทำนั้นมิได้เสริมสร้างเกียรติยศ ชื่อเสียงของเจ้าเรือนหุ้นที่สุจริต ของพุทธบริษัทเลย กลับกันผู้พบเห็นเขาต่างมองว่าปรัชญานี้ อนุญาติให้มีทุจริตปนปนไปกับปรัชญาได้

การที่มีผู้คนมากมายตั้ง5-6พันล้านคน เขากตัญญูต่อผู้กำหนดทฤษฎี bigbang กัน แต่ท่านกลับตีกรอบว่าขอบคุณธรรมชาติที่มีbigbang นั่นทำให้ท่านนั้นตกเป็นที่2ทันที

ในเมื่อสมมุติฐานว่ามนุษย์สามารถกตัญญูได้เท่าเทียมกัน แล้วเป็นเซรุ่มป้องกันการทะเลาะเบาะแว้งกันได้ สงบ สันติต่อโลกไดง่าย ไม่มีอภินิหารใดใด วิทย์ไร้กรอบของแท้. ไม่ใช่ไว้แสวงหาชื่อเสียง และความมั่งคั่งใดใด

 

เมื่อนักวิทยาศาสตร์ไร้กรอบ ได้กำหนดกรอบให้ตัวเองอย่างไม่รูตัว ขาดสติ สมาธิ ขาดการติดตามตัวเอง ไว้นานแล้ว. อาจจะตั้งแต่ create วลีการตลาดนี้ขึ้นมาด้วยซ้ำ. การกระทำนั้นมิได้เสริมสร้างเกียรติยศ ชื่อเสียงของเจ้าเรือนหุ้นที่สุจริต ของพุทธบริษัทเลย กลับกันผู้พบเห็นเขาต่างมองว่าปรัชญานี้ อนุญาติให้มีทุจริตปนปนไปกับปรัชญาได้

การที่มีผู้คนมากมายตั้ง5-6พันล้านคน เขากตัญญูต่อผู้กำหนดทฤษฎี bigbang กัน แต่ท่านกลับตีกรอบว่าขอบคุณธรรมชาติที่มีbigbang นั่นทำให้ท่านนั้นตกเป็นที่2ทันที

ในเมื่อสมมุติฐานว่ามนุษย์สามารถกตัญญูได้เท่าเทียมกัน แล้วเป็นเซรุ่มป้องกันการทะเลาะเบาะแว้งกันได้ สงบ สันติต่อโลกไดง่าย ไม่มีอภินิหารใดใด วิทย์ไร้กรอบของแท้. ไม่ใช่ไว้แสวงหาชื่อเสียง และความมั่งคั่งใดใด

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท