ได้ดูเรื่องราวของชายคนหนึ่งจาก YouTube ครับ มีหลายคลิปเลย (แต่ในประเทศด้อยพัฒนาประเทศหนึ่ง ก็ยังคงดู YouTube.com ไม่ได้) ดูแล้วต้องมาเขียนบันทึกนี้ครับ
รายการ Britain's Got Talent ซึ่งเป็นรายการประกวดความสามารถของนักร้องนักแสดงสมัครเล่น ชิงรางวัลชนะเลิศหนึ่งแสนปอนด์
เมื่อต้นเดือนมิถุนายนปีนี้ มีรอบคัดเลือก คุณพอล พ็อตส์ (Paul Potts) พนักงานขายโทรศัพท์มือถือ จาก South Wales ก็มาคัดเลือกด้วยหมายเลข 31829 ด้วยหน้าตาเอ๋อๆ ฟันเก ออกอาการไม่มั่นใจในตัวเอง เมื่อกรรมการถามว่า "พอล วันนี้คุณมาทำอะไรที่นี่" พอ พอล พ็อตส์ ตอบว่า "มาร้องโอเปร่าครับ" กรรมการกลับทำหน้าเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด
แต่ในทันทีที่เขาเริ่มร้อง Nesson Dorma จากโอเปร่าเรื่อง Turandot ของ Puccini แม้จะเป็น segment สั้นๆ ผู้ชมเริ่มกรีดร้อง หน้าของกรรมการทั้งสาม เปลี่ยนเป็นประหลาดใจอย่างใหญ่หลวง
พอลร้อง Con te partirò ในรอบรองชนะเลิศในวันที่ 14 มิ.ย. และกลับมาร้อง Nesson Dorma (ฉบับยาว) ในรอบชิงชนะเลิศอีกครั้งหนึ่ง ในวันที่ 17 มิ.ย. ซึ่งแน่นอนว่าเขาชนะ โดยเขาได้รับ standing ovation ในทุกรอบ -- สำหรับรางวัลแสนปอนด์ เขาบอกว่าจะเอาไปจัดฟัน -- เรื่องจัดฟันนี้ ทำไม่ทันการแสดงหน้าพระที่นั่ง Queen Elizabeth ในงาน Royal Variety Performance
ที่ผมนำเรื่องนี้มาเขียน ก็อยากเตือนผู้บริหารทั้งหลายว่า
แวะเข้ามาดูอะไรดีๆค่ะ
มาเรียนรู้ด้วย ขอบคุณครับ
เห็นด้วยเจ้าคะ แต่ไม่ทั้งหมดนะ
It so happened that an English version of Con Te Partiro - Time to Say Goodbye by Sarah Brightman and Andrea Bocelli got me listening to the music by Andrea Bocelli and opera.The fact that he is blind may have little to do with his voice. But of course, when you see a blind man, you would have a bias/pre-judge of the things he can't do.
It makes more sense that "equal opportunity" is a thing that needs to be "given" and constantly monitored in a work place.
i.e. Give book a chance as "Don't judge a book by its cover".
สวัสดีค่ะ
เคยมีประสบการณ์ที่ตรงกันข้ามค่ะ
เคยรับคนมาทดลองงาน บุคคลิกใช้ได้ แม้จะดูไม่ค่อยน่าไว้ใจนัก
ล่อกแล่กไป แต่พูดจาน่าเชื่อถือ แววตาเปล่งประกายกระตือรือล้น ความรู้สึก อยากให้ลองงานสักหน่อย แม้ไม่มั่นใจ เพราะพูดลื่นไป รับปากว่าทำได้ไปหมด
ก็จริงอย่างคาดค่ะ
พูดเก่ง งานไม่ได้เรื่องค่ะ
ฮา ฮา ฮา ... คนพูดเก่งมีโอกาสผ่านสัมภาษณ์มาได้สูงครับ แต่เวลาเจอนายที่มองสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงแล้ว มักจะไปก่อนครับ!
ถึงอย่างไร ผมก็คิดว่าทุกคน ควรได้รับโอกาสครับ ในขณะเดียวกัน ทุกคนก็ควรเข้าใจว่าความอดทนของคนมีจำกัดเช่นกัน ไม่มีนายคนไหนยอมให้คนห่วย รอด/ลอยนวลไปได้เฉยๆ หรอกครับ ถ้านายเป็นนาย
ผมมองว่าการมีอคติเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้กับความเป็นปุถุชน ประเด็นหลักๆ ที่สำคัญกว่านั้นน่าจะเป็นการระวังไม่ให้อคติมาก้าวก่ายการตัดสินใจมากเกินไปมากกว่า
ในกรณีเช่นนี้แม้กรรมการจะทำหน้าเบื่อหน่าย แต่พวกเขาก็ไม่ได้วิจารณ์อะไรมากไปกว่านั้น และให้โอกาส (แม้อาจจะไม่เต็มใจนัก)
ผมมองว่าเรื่องของการทำงานก็เช่นกัน ถ้าผู้บริหารเอาแต่มองความสามารถในการนำเสนอ (ซึ่งก็เป็นส่วนที่จำเป็นเหมือนกัน) แต่ลืมมองความสามารถด้านอื่นๆ ที่สร้างความประทับใจได้น้อยกว่า ก็เป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารเหล่านั้นที่ต้องรับผิดชอบเมื่อองค์กรไปไม่รอดเพราะขาดความสามารถด้านอื่นๆ ไป
คุณ LewCPE: สองย่อหน้าหลัง ผมเห็นด้วยครับ แต่ติดใจความเห็นในย่อหน้าแรก
อารมณ์ความรู้สึกเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับคน แต่การยึดเอาอารมณ์ความรู้สึกเป็นที่ตั้งสำหรับการตัดสินใจนั้น จึงเรียกว่าอคติ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้ให้ความหมายไว้ในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ว่า อคติคือ "ฐานะอันไม่พึงถึง, ทางความประพฤติที่ผิด, ความไม่เที่ยงธรรม, ความลำเอียง" ประกอบได้ด้วย ฉันทาคติ (ลำเอียงเพราะชอบ) โทสาคติ (ลำเอียงเพราะชัง) โมหาคติ (ลำเอียงเพราะหลง ผิดพลาดเพราะเขลา) ภยาคติ (ลำเอียงเพราะกลัว)
ผมคิดว่าเราเห็นตรงกันว่าอคติเป็นสิ่งไม่ดี แต่ผมเห็นต่างกับคุณลิ่วในแง่ที่ว่าผมคิดว่าอคติกำจัดออกได้ เพียงแต่ไม่ยึดเอาอารมณ์ความรู้สึกมาใช้ตัดสินใจประเมินอะไรก็ตามครับ
อารมณ์ ชอบ/ชัง/หลง-เขลา/กลัว มีอยู่เป็นปกติ แต่อคติจะมีหรือไม่ ขึ้นกับว่าเราใช้อารมณ์เหล่านั้นในการตัดสินใจหรือไม่ และจะยิ่งดีกว่านั้นอีกถ้ารู้ทันอารมณ์เหล่านั้นครับ
ถูกต้องแล้วที่นายPaul Potts ผู้มีฟันเก หน้าเอ๋อเข้ามาทำอะไรบางอย่างที่นั่นเพราะ นั้นคือเวที่สำหรับนักแสดงหน้าใหม่ และเมื่อเค้าได้รับชัยชนะ เวที่นั้นจะทำให้เขากลายเป็นผู้มีประสบการณ์และประกวดในเวทีอื่นที่อยู่ในระดับสูงต่อไป
บางครั้งการทำงานที่หนึ่งก็กลายเป็นบันไดให้กับคนหลายคนที่จะก้าวไปสู่การเป็นผู้มีประสบการณ์เพื่องานอื่นที่...ดีกว่า ที่ใฝ่ฝัน หรือตรงใจ...เมื่อเขาออกไปสู่ที่ใหม่ ที่เก่าก็เสียดายที่อุตส่าหืสอนงาน แนะนำวิธีการทำงานให้ พอไม่ทันไรก็ไปสมัครที่อื่น(เพราะมั่นคงกว่า) องค์กรเดิมเสียดาย แต่องค์กรใหม่ดีใจ เพราะไม่ต้องสอนงานก็เริ่มปฏิบัติงานได้ทันที
แน่นอนคนเป็นนายต้องเสียดายและเสียใจแต่ก็ต้องทำใจด้วยว่าคนทุกคนย่อมมองหาสิ่งที่ดีกว่า และที่คนเป็นนายควรดีใจ คือเขาเป็นงานเพราะเรา เขามีประสบการณ์เพราะองค์กร เพราะผ่านงานที่เรา จากเวทีการทำงานที่เรา เขาจึงรับเข้าทำงาน
นี้เป็นประสบการณ์จริงที่เกิดที่ทำงาน ก็ได้แต่ดีใจถ้าเขาไปได้ดี เราควรให้โอกาสกับทุกคน(อย่างถูกทาง)
ตอนนี้ดูคลิปได้แล้ว ก็ควรรีบดูครับ เวลาดู ไม่ใช่ดูเขาร้องเพลง แต่ควรสังเกตอากัปกริยาของคน ทั้งกรรมการ ทั้งผู้ชม ดูให้เห็นว่าอคติ/ความผิดคาด ทำให้คนดูตลกขนาดไหน
อาจารย์รัช: ที่ทำงานเก่าไม่ควรจะเสียใจอะไรมากหรอกครับ ถ้าเขาเป็นคนดีแต่องค์กรไม่สามารถรักษาเขาไว้ได้ ก็ไม่ต้องไปโทษคนอื่นครับ
เมื่อคนไม่มีใจทำงาน งานคงจะออกมาดีลำบาก แล้วเวลาเขาไม่มีใจทำงานแล้ว ก็ไม่เคยเห็นใครมาขอลดเงินเดือนกันสักคน เงินเดือนค่าจ้างรับเต็ม แต่งานกลับทำไม่ 100%
ผมมีความรู้สึกไม่ดีต่อคนที่เปลี่ยนงานบ่อยๆ ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องการตัดสินใจ ก็คงเป็นเพราะทำงานได้ไม่ดีพอ ถ้าหากเจ๋งจริงแล้ว ทำไมที่ทำงานเก่าจึงไม่เห็นครับ