อนุสนธิจากการหารือของกลุ่มสมาชิกบล็อกเกอร์ ในงานเฮฮาศาสตร์ ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 28 – 30 ก.ค. 2550 ที่มีครูอ้อยและท่านอาจารย์ Handy เป็นแกนนำ เพื่อเลี้ยงส่งอาจารย์ขจิต ฝอยทอง ไปศึกษาต่อที่รัฐโอเรกอน และร่วมพบปะสังสันทน์ ทำบุญ ปลูกต้นไม้ ที่สวนป่าอำเภอสตึก ของครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์
ในโอกาสนี้ ได้มีการเสวนา ปรึกษาหารือ ทั้งกลุ่มใหญ่ และกลุ่มย่อยถึงขั้นตอนและอุปสรรคในการจัดการความรู้ของประเทศไทย และระดับโลก ที่ทำให้ได้ข้อสรุปเพื่อประสานความเข้าใจ ระหว่างนักจัดการความรู้ในระดับต่างๆ ซึ่งพบว่าประเด็นสำคัญที่จะทำให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนก็คือ การแบ่งระดับการจัดการความรู้ได้เป็น 4 ชั้น ที่จำเป็นต้องมีอย่างเชื่อมต่อและครบถ้วน ในเชิงอุปมาอุปมัยได้ดังนี้ในโลกแห่งความเป็นจริง การจัดการความรู้ทั้ง 4 ระดับนี้ มิได้อยู่อย่างเอกเทศ แต่อยู่อย่างเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน และความจำเป็นที่จะต้องเชื่อมโยงทั้ง 4 ระดับนี้ให้เป็นเนื้อเดียวกัน จึงจะสามารถพัฒนาการจัดการความรู้ตามความคาดหวังของ สคส. ในการ "จัดการความรู้ทุกหย่อมหญ้า”
การจัดการความรู้ทุกหย่อมหญ้า ตามความฝันของ สคส จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีความเชื่อมโยงแบบ “เนียน” ไม่ขาดตอน ในทุกระดับของการจัดการความรู้ โดยเฉพาะช่วงต่อเชื่อมระหว่างระดับของความรู้ต่างๆ ตามคำอุปมาอุปมัยที่ว่า
ในอากาศมีน้ำ และในน้ำมีอากาศ ที่จะเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างอากาศกับน้ำ
ในทำนองเดียวกัน จุดเชื่อมต่อระหว่างดินกับน้ำก็จะเป็นดินผสมน้ำ หรือโคลน ที่มีสัดส่วนระหว่างดินกับน้ำตามลำดับสูง มาหาต่ำ คือดินในระดับสูง จะมีน้ำมากกว่าดินในระดับต่ำเป็นรอยเชื่อมต่อ (Transition Zone) ซึ่งจะทำให้ดินและน้ำเชื่อมโยงกันแบบเนียน เช่นกัน
และในอีกกรณีหนึ่ง การเชื่อมต่อระหว่างดินกับหิน ก็มีลักษณะที่ว่า ดินเกิดจากหินที่ผุพัง แตกสลายเป็นชั้นๆ จากหินกลายเป็นดิน (ความรู้พัฒนาออกมาจากภูมิปัญญา) และจากดินปรับตัวแน่นกลับกลายเป็นหิน (ความรู้ทำให้เกิดภูมิปัญญา)
ซึ่งมีลักษณะสอดคล้องกันกับระบบการจัดการความรู้แบบใหม่ ที่จะต้องนำความรู้จากแหล่งต่างๆ ในระบบข้อมูลข่าวสาร (ในอากาศ) มาสู่การสร้างฐานข้อมูล (ในน้ำ) และลองนำข้อมูลเหล่านั้นมาสู่การปฏิบัติเบื้องต้น เพื่อทดลองใช้ในพื้นที่ต่างๆ (ในดิน) และเมื่อใช้ความรู้ที่ได้อย่างถูกต้องและชัดเจนจนได้ผลดีแล้ว ก็จะนำไปสู่การตกผลึกทางความรู้ ความคิด ความเข้าใจ จนเกิดเป็นภูมิปัญญา (ในหิน) ที่มีฐานหนาแน่น สามารถรองรับน้ำหนักของดิน น้ำ และอากาศ ตามลำดับอย่างต่อเนื่องกัน และสามารถย้อนกลับจากภูมิปัญญา ผ่านการตีความและเข้าสู่ระบบข้อมูลและข่าวสารได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้น การจัดการความรู้ที่ดี จึงควรต้องมีทั้ง 4 ระดับ อย่างสมดุล ต่อเนื่อง และมีพลวัตร จึงจะทำให้เป็นการจัดการความรู้ทุกหย่อมหญ้าที่มีประโยชน์
ที่ผ่านมา ได้พบว่า มีความพยายามที่จะนำความรู้ระดับภูมิปัญญา เข้าสู่ระบบข้อมูลข่าวสาร และย้อนกลับไปหาฐานข้อมูล ซึ่งพบว่ามีปัญหาหลายด้าน ที่ทำให้สะดุด และต่อกันไม่ติด เกิดผลแบบ แยกเป็นชิ้นๆ ใช้งานไม่ได้ เข้ายาก หรือใช้อะไรไม่ได้
ผลพวงของการสะดุดอย่างหนึ่งก็คือ ทำให้มีนักวิชาการ นักจัดการความรู้ แบ่งความรู้ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit knowledge) และความรู้ฝังลึก (Tacit knowledge) ซึ่งใช้ความหมายในเชิงเปรียบเทียบเท่านั้น
เพราะความรู้เดียวกัน สามารถเป็นได้ทั้งความรู้ชัดแจ้ง และความรู้ฝังลึก ขึ้นอยู่กับว่า ใครบอกใคร
ใครเป็นผู้สื่อหรือผู้รับ
ถ้าผู้สื่อหรือผู้รับไม่ค่อยเข้าใจกัน ความรู้ก็จะมีแนวโน้ม เป็นความรู้ฝังลึก เข้าใจยาก หรือไม่เข้าใจเอาเลย ก็ออกผลมาว่าเป็น Tacit knowledge
แต่ถ้าผู้ส่งและผู้รับเข้าใจกันอยู่แล้ว ความรู้ดังกล่าว ก็จะมีแนวโน้มเป็นความรู้ชัดแจ้ง มากขึ้น ไม่ว่าเรื่องนั้นจะยากสักแค่ไหน เช่น เรื่องการทำสมาธิที่ว่ายาก ก็จะไม่ยาก ถ้าคุยกันระหว่างผู้ทำสมาธิจนสำเร็จแล้ว เป็นต้น
ในปัจจุบัน มีความพยายาม ที่จะนำเอาภูมิปัญญา (ระดับหิน) เข้าสู่ระบบข่าวสารข้อมูล(ระดับอากาศ) ซึ่งเป็นการหาจุดเชื่อมต่อได้ยาก เพราะอากาศกับหินไม่มีจุดที่จะเชื่อมกันได้แบบง่ายๆ นอกจากหินจะแตกให้อากาศแทรกไปได้ หรือ พยายามเอาหินบดโยนขึ้นไปในอากาศ แต่อย่างไรการเชื่อมก็ไม่เนียนอยู่ดี อยู่ไม่ได้นาน ก็แยกกันอีก
แม้จะเอาบอลลูนผูกหินให้ลอยในอากาศ ก็ยังสร้างจุดเชื่อมจริงไม่ได้เช่นเดิม
แต่ถ้าได้นำภูมิปัญญามาแปลผล ให้เป็นข้อมูลทางวิชาการ (เสมือนหนึ่งทำให้หินผุพังกลายเป็นดิน) ก็จะสามารถทำให้ความรู้ดังกล่าว เข้าสู่ระบบฐานข้อมูลเชิงวิชาการได้ง่าย (ดินเชื่อมกับน้ำเป็นดินนิ่มและโคลนเลน) ที่ทำให้นักวิชาการทั่วไปเข้าใจ และตีควาหมายได้อย่างถูกต้อง ก็สามารถกลายเป็นข้อมูลข่าวสารที่ไม่ผิดเพื้ยนอันเนื่องจากการตีความที่อาจผิดพลาด (เนื่องจากขาดประสบการณ์ตรงของนักวิชาการบางคน) และปัญหาการตีความหมายตามความเชี่ยวชาญเฉพาะตัว ซึ่งทำให้การจัดการความรู้ อาจผิดพลาด ไม่ได้ประโยชน์ หรือเกิดผลเสียหายได้
แต่ถ้ามีการจัดการความรู้เป็นขั้นๆ ตามระดับดังกล่าวข้างต้น ก็น่าจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ต่างระดับ และการส่งถ่ายข้อมูลข่าวสารในระดับต่างๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และตรงกับผู้ที่ต้องการใช้ประโยชน์
หลักการการจัดการความรู้ทั้ง 4 ระดับนี้ น่าจะเป็นแนวคิดในเชิงหลักการ เพื่อเชื่อมโยงนักจัดการความรู้ทุกระดับ ทุกประเภทเข้าด้วยกัน เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (COP – community of practice) ที่ครบถ้วนและสมบูรณ์แบบในตัวเอง ทั้งระดับพื้นที่ ระดับภาค ระดับประเทศ และระดับโลก ที่จะทำให้นักจัดการความรู้ทั้งหลาย ทำงานอย่างเชื่อมโยง สอดประสาน และสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้อย่างไร้พรมแดน (Seamless) ซึ่งเป็นพลังการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมสูงสุด เท่าทีเป็นไปได้ ในโลกแห่งความเป็นจริง
ดังนั้น ผมจึงขอเสนอว่า เราน่าจะใช้หลักการนี้ ที่จะทำให้นักจัดการความรู้ทั้งหลาย รู้และเข้าใจว่าตนเอง ทำกิจกรรมอยู่ในระดับใด มีบทบาท หน้าที่ในเรื่องใด และสามารถ มีส่วนร่วมกับชุมชนแห่งการเรียนรู้ ได้ในเรื่องและเวลาใด ที่จะทำให้ทุกภาคส่วน อยู่ร่วมกันอย่าง
ประเด็นนี้ว่ามาตามแนวคิดและยุทธศาสตร์การจัดการความรู้ของมหาชีวาลัยอิสาน ซึ่งเป็นข้อสรุปจาการเสวนาในตอนบ่ายของวันที่ 29 กรกฏาคม 2550
จึงเรียนมาด้วยความเคารพ ในความคิด การกระทำ และผลงานของทุกท่านในเครือข่ายการเรียนรู้ทั่วไป ทั้งใน G2K หรือ webblog อื่นๆ ชุมชน เครือข่ายภูมิปัญญา และศูนย์การเรียนรู้ต่างๆ ที่จะช่วยกันประคับประคองและพัฒนาการจัดการความรู้ให้เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง ทั้งกับตนเอง ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ และสังคมโลกได้อย่างสอดคล้องสืบไป
ขอบคุณครับ
กราบสวัสดีครับท่านอาจารย์
อาจารย์ได้แบ่งเป็นสี่ชั้น นับว่ายอดมากๆ เลยครับ ผมจะขอเพิ่มอีกหนึ่งชั้นจะได้ไหมครับ
เห็นด้วยกับอาจารย์ว่าทุกอย่างสัมพันธ์กันหมดเลยครับ เกี่ยวโยงเข้ากันเป็นวัฏจักรทางความรู้ หมุนเวียนเกี่ยวโยง สัมพันธ์ เกี่ยวข้องกันตลอดเวลา
ผมฝากคำที่คิดขึ้นมาเล่นๆ เพื่อโยงใยกับระดับชั้นการจัดการความรู้เหล่านี้ มาแลกเปลี่ยนกันเล่นๆนะครับ
ขอบคุณมากครับ ไว้จะมาเพ้อใหม่ครับ
สนุกในการทำนาและหาคำตอบนะครับ
สวัสดีค่ะ ท่านอาจารย์
... อันตัวปูความรู้ยังน้อยนิด
... มาเก็บเกี่ยวผลผลิตความคิดท่าน
... ไปสะสมเพาะบ่มเป็นประสบการณ์
.... เพื่อสร้างสรรค์สังคมอุดมปัญญา
ขอบพระคุณมากนะคะ รักษาสุขภาพค่ะ
สวัสดีครับท่าน ครับ
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ การก่อกำเนิดความรู้ การถ่ายเทความรู้ ด้วยการมีการนำแห่งการสื่อสารทางความรู้
และเห็นด้วยครับกับคุณเม้ง
ทุกๆความเคลื่อนไหว เชื่อมโยง ล้วนแล้วเป็นองค์ประกอบแห่งการสัมพันธ์ความรู้ สู่การรับรู้ ก่อเกิดแห่งปัญญา
โดยที่พวกเราคงจะต้องไม่ลืมถึง บทบาทที่จะก่อเกิดแห่งการเชื่อมโยงได้
คงเป็นการกล่าวได้ว่า ความร้อน ความเย็น ปฏิกิริยาเคมีต่อเนื่อง ซึ่งมาเป็นการสู่ความสมดุลย์ต่างๆ
ขอบคุณมากๆครับ คงจะได้มาร่วมสนทนากันต่อไป
สวัสดีอีกครั้งครับท่าน
ถือโอกาสนี้ขออนุญาตินำข้อความบางตอนไปรวมในรวมตะกอนครับ ขอบคุณมากครับ http://gotoknow.org/blog/mrschuai/113523#
สวัสดีค่ะท่าน ดร.แสวง
ขอบคุณครับทุกท่านที่เข้ามาแลกเปลี่ยน
ผมขอชื่นชมกับความคิดของคุณเม้งในระดับที่ ๕ ที่ผมลืมมองไปจริงๆ
ระดับนี้เป็น ความรู้แห่งการหลุดพ้น
เป็นต้นกำเนิดและที่รวมของทุกความรู้ ทุกระดับ ตามรอยพระพุทธองค์
ผมจะขอนำไปเชี่อมในการนำเสนอครั้งต่อไปครับ
สวัสดีครับอาจารย์
เป็นการสรุปรวม และต่อยอดสิ่งที่คุยกันได้อย่างน่าพอใจครับ เสียดาย ถ้าวันนั้น "บ่าวเม้ง" มานั่งร่วมวงด้วย สดๆ คงไม่ต้องกินข้าวปลากันเป็นแน่ .. รอวันนั้นอยู่ คิดว่าพอตั้งวงสนทนาได้คงต้องเตรียมเสบียงไว้ให้พร้อมอยู่ข้างๆตัว .. พลังแกมากเหลือเกิน .. คงต้องหาทางให้แกได้ปลดปล่อย ทันทีที่กลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดครับ
ผมว่าสิ่งที่คุยกันเป็นเชิงอุปมา อุปมัย เป็นปรัชญา แต่ทุกอย่างล้วนมีเป้าหมาย ที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ ปฏิบัติได้ ผู้ที่เป็นนักศึกษาจึงต้องมองให้ออก ตีให้แตก ประโยชน์มากมายก็จะก่อเกิดต่อวิถีแห่งการงานและการเรียนรู้ของทุกๆคน
อาจารย์พินิจ
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ว่าคุณเม้งเป็นผู้มีพลังมาก มีทิศทางที่ชัดเจน คมเฉียบ และลึกซึ้ง แม้ในวัยที่ยังไม่แก่เท่าเรา
ผมเลยฝันต่อไปว่า คุณเม้งน่าจะเป็นอีกแกนนำที่เข้มแข็งและมีพลังต่อไปในอนาคตครับ
ผมจะพยายามรักษาลมหายใจไว้รอวันนั้นครับ
สวัสดีค่ะ
ตัวอย่างที่อาจารย์กล่าวถึงเรื่องการทำสมาธิที่ว่ายาก ก็จะไม่ยาก ถ้าคุยกันระหว่างผู้ทำสมาธิจนสำเร็จแล้ว เป็นต้น
เป็นการยกตัวอย่างที่ชัดเจนมากค่ะ
เรื่องการทำสมาธิจะยากมากๆ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เริ่มเลย และจินตนาการไม่ได้ ว่า ทำแล้วจิตเรานิ่งได้อย่างไร
ความรู้ชัดแจ้ง และความรู้ฝังลึก ขึ้นอยู่กับว่า ใครบอกใคร
ขอบคุณมากค่ะ
สวัสดีครับท่านอาจารย์แสวง อ.พี่บ่าวแฮนดี้ และทุกท่านครับ
กราบขอบพระคุณมากๆ เลยนะครับ
คุณเม้ง
ผมก็ทำไปอิจฉาคุณเม้งไปที่พ่อ่แม่ผมไม่รวยเท่าพ่อแม่คุณเม้ง และถ้าเทียบระดับความคิดตอนที่เรียนปริญญาเอก ผมก็ไม่เท่าคุณเม้ง
ผมต้องสอนลูกหลานให้แต่งตัวใส่กระโปรงแฟนซี จะได้เก่งเหมือนคุณเม้งครับ
กราบสวัสดีครับ ท่านอาจารย์แสวง
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์
กราบสวัสดีครับท่านอาจารย์แสวง
อาจารย์ครับ
มีแต่คนว่าอ่านผมเขียนแล้วเครียดนะครับ ผมเลยกำหนดจุดยืนไม่ค่อยถูก
แต่แม้ผมจะอยู่ที่ไหน ชีวิตนี้สละแล้วเพื่อชาติ
เดือนหน้าอาจจะได้ไปพิษณุโลกครับ อยากไปเดินริมน้ำน่านซื้อของเก่ามาไว้ดูเล่นครับ
อาจารย์ครับ
โดยบังเอิญนะครับ ที่ได้ภาพมาตั้งประเด็นได้พอดี ไม่ได้ตั้งใจมากนัก ที่เขียนมาก็เป็น ad hoc arrangement ทั้งนั้นแหละครับ
แย้มไว้เลยนะครับ ภาพยังมีในสต็อกอีกพอสมควร ในอีกหลายมุมมอง รอให้สถานการณ์สุกงอมก่อนแล้วจึงจะเผยแพร่ครับ