ต้องขออภัยที่หายไปสองวันครับ รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปก็ไม่รู้ แต่ที่หายไปเพราะต้องค้นข้อมูลเพื่อไปบรรยายซึ่งพูดเสร็จไปเมื่อเช้าแล้วครับ (ง่วงแทบตาย! สงสารคนฟัง)
ความจริงผมก็แวะมาอ่านแต่ไม่มีเวลาตอบ รู้สึกยินดีที่มีความคิดเห็นคุณภาพงอกเงยขึ้นที่นี่ โดยบล๊อกเกอร์คุณภาพที่มีแฟนคลับเยอะนะครับ
Deep listening ในความเข้าใจของผม-ในบริบทของคนเป็นนาย นั้น ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า วัตถุประสงค์ของการฟังอยู่ที่การเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง ครับ ใช้ทักษะในการฟังแยกแยะ สาระ-ประเด็น ออกจาก ข้อมูลเสริม-อารมณ์-สัญญาณรบกวนต่างๆ นำสิ่งที่ได้รับฟังมา มาประมวลกับข้อมูลที่มีอยู่เดิม เพื่อหาความหมายใหม่ หาความรู้-ความเข้าใจใหม่ หาทางออกสำหรับประเด็นที่ต้องการจะแก้ไข
นอกจากนั้น ผมยังเห็นว่าการฟังเป็นทักษะจำเป็นของชีวิตที่ฝึกได้ครับ เราเลือกเองและเลือกวิธีเองว่าจะหรี่เสียง"คนช่างพูด"ลงหรือไม่-อย่างไร; สมาธิในการฟังสามารถหรี่เสียง"คนช่างพูด"ลงได้ แต่มันเป็นเรื่องที่ต้องฝึกครับ
การฟังเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง ในการดำรงชีวิต (นอกเสียจากจะปลีกวิเวก ไม่พบปะใครเลยจริงๆ) ในเมื่อการฟังเป็นเครื่องมือ เราก็เป็นคนเลือกใช้ และการฟังไม่ใช่จุดหมายปลายทางครับ
ศ.ดร.ชิต เหล่าวัฒนา (FIBO/KMUTT/MTEC/OLPC) เคยเขียนบทความไว้อันหนึ่งเมื่อเดือนตุลาคม 2548 ซึ่งผมชอบและเขียนความเห็นไว้ในบล๊อกภายในบริษัท ขอตัดตอนบทความดั้งเดิมเฉพาะต้นกับท้ายมาฝากให้คิดครับ
ได้ยินมาว่า มีการศึกษาวงสวิงและการตีกอล์ฟของแชมป์อย่างคุณไทเกอร์ วูดส์ รายงานการศึกษามีความหนาถึง 2,000 หน้ากระดาษ A4 โดยมีประเด็นการศึกษาครอบคลุมด้านโครงสร้างของข้อแขน ข้อมือ และกระดูกส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จนถึงพลศาสตร์การเคลื่อนไหว ผมกำลังค้นหาเอกสารนี้อยู่ สิ่งที่ผม “ทึ่ง” มากกว่าผลการศึกษานี้ คือ คุณไทเกอร์ วูดส์ ไม่เห็นจำเป็นต้อง “รู้” อย่างที่รายงานการศึกษานั้นพยายามจะรู้ แต่ก็ตีกอล์ฟเป็นแชมป์มาแล้วหลายสมัย ในขณะเดียวกัน คนอย่างผมที่มีพื้นฐานวิศวกรรมอาจมีความเข้าใจรายงานการศึกษานั้น ตั้งใจอ่านไปมาหลายรอบ ก็ไม่สามารถตีกอล์ฟได้เก่งเหมือนแชมป์ไทเกอร์ วูดส์ ได้เลย!!
ความรู้และความสามารถด้านกอล์ฟในระดับแชมป์นี้ จึงไม่สามารถถ่ายทอดผ่านคำพูดหรือตัวอักษรได้ (Tacit Knowledge)
อันที่จริง มีความรู้นานัปการ ในลักษณะนี้ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองเรามีอยู่มาก แม้ว่าท่านเหล่านั้นได้เกษียณจากการทำงานปกติไปแล้วก็ตาม หากผู้เยาว์อย่างพวกเราเคารพท่าน มีโอกาสทำงานรับใช้ท่านเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด หรือได้สัมผัส
เพียงแค่ “วิธีคิด” ของท่าน ก็สามารถเห็นทางสว่างและความจริง ที่ยากต่อการสื่อสารให้ครบถ้วนด้วยการพูดหรือเขียนได้
...เรื่องทางเทคโนโลยี ตัดออกเนื่องจากไม่อยู่ในประเด็นนี้...
ขอเน้นว่าเทคโนโลยีนี้เกิดขึ้นได้จากการปฏิสัมพันธ์ หรือปฏิบัติ มากกว่าการ ฟัง พูด อ่าน เขียน เรื่องนี้ก็เป็นความจริงในการศึกษาพุทธศาสนา ต่อให้ฟังเทศน์เก่ง คิดตามที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ สั่งสอนได้ดีเพียงใด หากไม่ปฏิบัติด้วยตนเอง ก็ไม่มี "ทางรู้” เลย มีได้แต่เพียง “ตัวกู ไม่มีตัวกูของกู” เท่านั้น