ผมขอบทความที่มองระบบการศึกษาไทยอย่างครอบคลุมรอบด้าน และเห็นภาพเชิงประวัติศาสตร์ ของ ดร. กฤษณพงศ์ กีรติกร นักวิทยาศาสตร์และนักการศึกษาที่ดีและเก่งที่สุดคนหนึ่งของสังคมไทย เอามาเผยแพร่ต่อดังต่อไปนี้ โดยที่บทความนี้ยาวกว่า ๕๐ หน้า จึงทยอยลงหลายตอน
ขอชักชวนให้ค่อยๆ อ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ จะได้ประโยชน์มาก
วิกฤติ กระบวนทัศน์ มโนทัศน์ เพื่อการปฎิรูปการศึกษา
กฤษณพงศ์ กีรติกร
ต่อจากตอนที่ ๑
ช่วงทศวรรษ 2540 ประเทศไทยเข้าสู่กระแสโลกาภิวัตน์ ประเทศไทยเห็นแต่โอกาสแต่ไม่เห็นภัยคุกคามของโลกาภิวัตน์ ในกระบวนการโลกาภิวัตน์นี้ ไทยเปิดประเทศและผูกประเทศกับโลกภายนอกทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และข้อมูลข่าวสาร ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ ข้อมูลข่าวสาร เงิน และความรู้เคลื่อนเข้าออกประเทศไทยด้วยความเร็วของแสง
ไทยพบวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 นอกจากนั้นพบว่าว่าความสามารถในการแข่งขันและความสามารถเชิงเปรียบเทียบลดลง ประเทศปรับตัวได้ช้า เหตุผลหลักหนึ่งคือคุณภาพของคนต่ำ สืบเนื่องจากคุณภาพการศึกษาทุกระดับตกลง ประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะถูกบีบจากด้านบนและด้านล่าง (nut cracker effect) ด้านบนเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ในเอเซียตะวันออกที่มีความหน้าทางเทคโนโลยี ด้านล่างเป็นประเทศกำลังพัฒนาเพื่อนบ้านที่มีค่าแรงถูกกว่า
อุดมศึกษาไทยถูกลากเข้าสู่กระแสโลกาภิวัตน์นี้ จากมิติเศรษฐกิจและมิติการใช้ประโยชน์ อุดมศึกษาไทยก็พบว่าโลกโลกาภิวัตน์ให้ทั้งโอกาสและภัยคุกคาม สถาบันอุดมศึกษาส่วนหนึ่งพยายามปรับตัว แต่จำนวนมากยังไม่รู้สึกร้อนหนาว จากมิติจิตวิญญาณสังคม ในสองทศวรรษของ 2530 และ 2540 การเปิดของสังคม เทคโนโลยีสารสนเทศ และกระแสฐานของรัฐธรรมนูญปี 2540 สำนึกทางสังคมและการเมือง ไม่ถูกผูกขาดด้วยสถาบันอุดมศึกษาต่อไป ฐานสำนึกจิตวิญญาณสังคมเป็นสาธารณะมากขึ้น จะเห็นได้จากเหตุการณ์พฤษภาคมทมิฬ 2535 จนในปี 2551/2552 เห็นการต่อสู้ของตัวแทนเสื้อสองสีที่มีฐานสาธารณะ บนของเจตนารมณ์เดียวกับทศวรรษ 2510 (โดยไม่พูดถึงตัวบุคคลและผลประโยชน์แอบแฝง) ฝ่ายหนึ่งต้องการรัฐบาลที่จริงใจกับประชาชน ยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง และมีความสุจริต อีกฝ่ายหนึ่งต้องการสังคมเห็นประชาชนส่วนใหญ่เข้าถึงโอกาส สิทธิประโยชน์และทรัพยากรอย่างทัดเทียม
ในมุมการวิเคราะห์ส่วนตัวของผม วัฒนธรรมการเรียนรู้ของคนไทยยังไม่นานเหมือนกับจีน ญี่ปุ่น หรือเกาหลี ซึ่งมีฐานวัฒนธรรมขงจื้อที่ให้คุณค่าแก่การเรียนรู้ ที่มีมาช้านานนับพันปี หรือการเรียนรู้ในยุโรปตั้งแต่สมัยกลาง ผมเห็นว่าการศึกษาไทยอย่างเป็นระบบเพิ่งจะเริ่ม ก่อนรัชกาลที่ 5 ประเทศมีโรงเรียนต่างๆ สำหรับราชกุมารและลูกหลานขุนนาง มีการสอนหนังสือในวัดสำหรับเด็กชาย ถ้าดูประวัติศาสตร์ การศึกษาในระบบโรงเรียนเริ่มจริงๆ ในรัชกาลที่ 5 ที่ทรงเริ่มการศึกษาเพื่อปวงชน โรงเรียนประถมศึกษาแห่งแรกคือโรงเรียนวัดมหรรณพารามตั้งขึ้นเมื่อปี 2428
ผมจึงมองว่าคนไทยส่วนใหญ่เพิ่งเริ่มเข้าสู่การศึกษาอย่างเป็นระบบมาประมาณ 120 ปี(แต่ยังไม่ถึงคนส่วนใหญ่จนอีก 60-70 ปีหลังจากนั้น คือหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่โรงเรียนประชาบาลเข้าถึงชนบทได้) จากรัชกาลที่ 5 เรามีกระทรวงศึกษาธิการ เกิดสถาบันพัฒนาข้าราชการซึ่งพัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรก คือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อายุไม่ถึงหนึ่งร้อยปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เกิดตามมาหลังจากนั้นประมาณยี่สิบปี ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองมีการตั้งมหาวิทยาลัยเฉพาะทาง คือด้านแพทยศาสตร์ เกษตรศาสตร์ และศิลปากร ในทศวรรษ 2500 จัดตั้งมหาวิทยาลัยภูมิภาคคือที่สงขลา/ปัตตานี ขอนแก่น และเชียงใหม่ ในยุคนั้นคนเรียนมหาวิทยาลัยได้ปริญญา ปริญญาเบิกทางสิ่งที่อาจารย์ชัยอนันต์ สมุทวนิชเรียกว่าฐานานุภาพ(Status symbol) คนเรียนมหาวิทยาลัยเป็นคนส่วนน้อย จบแล้วมีงานทำ ปริญญาเป็นใบเบิกทางการมีงานทำโดยไม่มีคำถามเรื่องคุณภาพ ปริญญาเป็นกลไกขยับฐานะทางสังคม( Social mobility)
บทความชุดนี้เป็น master piece ด้านให้ความลุ่มลึกในการทำความเข้าใจระบบการศึกษาไทย ต้องอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์จึงจะได้รับประโยชน์เต็มที่
วิจารณ์ พานิช
๒๖ พ.ค. ๕๒
เรี่ยน ท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ ตามาเรียนจาก กูรู ครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์ที่เคารพ
ขอบคุณมากมาย
เข้าใจมากขึ้น
ขอบคุณครับที่ให้ความรู้