ตาม ทฤษฎีหกเด็ก แล้ว บุญชัยคือตัวแทนของ “เด็กกลุ่มที่ 1 หรือเด็กที่เกิดในสถาพยาบาล” ที่จะต้องดำเนินการให้สถานพยาบาลออกหนังสือรับรองการเกิด
ย้อนเวลา 29 ปี เพื่อตามหาเอกสารรับรองการเกิด (ท.ร.1/1) ให้บุญชัย:
บันทึกการทำงานเพื่อการจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้า: กรณีครอบครัวป้าสันที ตอน 1
โดย ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล*
อนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิและสถานะบุคคลของผู้ไร้สัญชาติ ไทยพลัดถิ่น ผู้อพยพ และชนพื้นเมือง ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
6 สิงหาคม 2553
ในบรรดาลูกทั้ง 8 คน (มีชีวิตถึงปัจจุบัน 5 คน) ของป้าสันที มีเพียง บุญชัย ลูกชายคนสุดท้องเท่านั้นที่คลอดที่โรงพยาบาล เวล
#x000A;
านั้นป้าสันที สามีและลูกๆ อาศัยอยู่ที่บ้านทุ่งก้างย่าง อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ป้าสันทีไม่เคยฝากท้องลูกคนไหนกับโรงพยาบาล ตามประสาของชาวบ้านทั่วไป อีกทั้งอยู่ห่างไกลตัวเมือง จะมีก็เพียงเพื่อนบ้านและหมอตำแยที่ร่วมรับรู้ว่าหากว่าบ้านไหนจะมีการคลอดลูก หญิงสาวที่เคยผ่านมามีลูกก็จะมาช่วยหมอตำแยในการทำคลอด
แต่กรณีของบุญชัย ป้าสันทีเล่าว่า “คลอดยากเหลือเกิน มันไม่ยอมออกมาเสียที” สามีของป้าจึงตัดสินใจพามาหาหมอที่อำเภอท่ามะกา โดยพามาที่โรงพยาบาลท่าเรือ เพราะครั้งหนึ่งสามีของป้าสันทีเคยมารักษาโรคไข้เลือดออกที่นี่
เมื่อคลอดเด็กชาย บุญชัย ก่อนกลับบ้าน ทางโรงพยาบาลได้ออกหนังสือ “สมุดบันทึกสุขภาพ” ให้กับป้าสันที ป้าเก็บเอกสารเล่มนี้ไว้อย่างดี จนกระทั่งวันที่ป้าสันทีป่วย การไปรับตัวป้าที่บ้านเพื่อพาไปโรงพยาบาล ทำให้เอกสารหลายอย่างที่ถูกเก็บไว้อย่างดี ถูกมองเห็นโดยคนนอกครอบครัว[1]
ตาม ทฤษฎีหกเด็ก[2] แล้ว บุญชัยคือตัวแทนของ “เด็กกลุ่มที่ 1 หรือเด็กที่เกิดในสถานพยาบาล” ที่จะต้องดำเนินการให้สถานพยาบาลออกหนังสือรับรองการเกิด
เดือนกรกฎาคม 2553 ภายใต้ ‘หมวก’ ของอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิและสถานะบุคคลของผู้ไร้สัญชาติ ไทยพลัดถิ่น ผู้อพยพ และชนพื้นเมือง ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในการลงพื้นที่ครั้งที่ 2 ภายใต้โครงการพัฒนาต้นแบบการพิสูจน์สถานะบุคคลที่ตกหล่นจากการพิสูจน์สัญชาติพม่า กรณีนางสันทีและครอบครัว คณะทำงาน[3] ได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลท่าเรือ อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อติดตามให้ทางโรงพยาบาลออกเอกสารรับรองการเกิด (ท.ร.1/1) ย้อนหลังให้กับบุญชัย
ด้วยการประสานงานล่วงหน้า ผู้บริหารของทางรพ. ท่าเรือ พร้อมกับเจ้าหน้าที่หน้าห้องคลอดได้ให้เวลาพูดคุยกับคณะทำงาน คณะทำงานได้ซักซ้อมความเข้าใจถึงหน้าที่ของสถานพยาบาลตามมาตรา 23 แห่งพ.ร.บ.ทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 ในการออกเอกสารรับรองการคลอด ซึ่งทางรพ.เข้าใจดีถึงหน้าที่ของโรงพยาบาลในฐานะผู้ทำคลอด ผู้แทนของรพ. ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ทางรพ. จะดำเนินการออกหนังสือรับรองการเกิด (ท.ร.1/1) ให้กับเด็กทุกคนที่มาคลอดที่โรงพยาบาล โดยไม่คำนึงว่าเด็กมีสัญชาติไทยหรือไม่ อย่างไรก็ดี เนื่องจากเกิดน้ำท่วมห้องเก็บเอกสารซึ่งอยู่ชั้นใต้ดิน ทำให้สมุดบันทึกหน้าห้องคลอด และเอกสารจำนวนหนึ่งสูญหายและเสียหาย[4] เหลือเพียงบันทึกหน้าคลอดที่จัดทำขึ้นใน 2527 จนถึงปัจจุบันเท่านั้น
ในระหว่างที่คณะทำงานชี้แจงถึงข้อเท็จจริงของครอบครัวป้าสันที และบุญชัย มีความชัดเจนว่าผู้แทนของรพ. รับฟังอย่างตั้งใจและมีท่าทีระมัดระวัง และได้ให้ความสนใจกับสมุดบันทึกสุขภาพของบุญชัย เพราะปัจจุบันทางโรงพยาบาลไม่ได้ใช้สมุดดังกล่าวแล้ว นอกจากนี้ ทางรพ. ได้มีการเปลี่ยนมือเจ้าของและทีมผู้บริหาร
อย่างไรก็ดี ผู้แทนของรพ.ท่าเรือ ก็ยอมรับว่า สมุดบันทึกสุขภาพของบุญชัยนั้น เป็นสมุดบันทึกสุขภาพที่เป็นทางป
ฏิบัติของรพ.ท่าเรือ ทำให้เชื่อได้ว่าบุญชัยมาคลอดที่รพ.จริง
ร่วม 3 ชั่วโมงของการทำความเข้าใจกับกรณีศึกษา ข้อกฎหมายและทางปฏิบัติของสถานพยาบาลในการรับรองการเกิดของเด็ก ท้ายที่สุดทางรพ.ท่าเรือก็ออกหนังสือรับรองการเกิดให้กับบุญชัย
ถ้าไม่นับสมุดรายงานประจำตัวนักเรียน ที่ป้าสันทีผู้เป็นแม่รวบรวมเก็บไว้ ตั้งแต่บุญชัยเรียน ป.1-3 กล่าวได้ว่า วันนี้ บุญชัย มีเอกสารที่สะท้อนถึงข้อมูลส่วนบุคคลของเขา เป็นเอกสารที่รับรองจุดเกาะเกี่ยวระหว่างตัวเขากับ “สถานที่เกิด” คือ โรงพยาบาลท่าเรือ อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี มันยืนยันได้ดีว่าเขาเกิดในประเทศไทย ซึ่งภายใต้พ.ร.บ.สัญชาติ ฉบับที่ 4 พ.ศ.2551 บุญชัยคือ “คนไทยตามมาตรา 23” นั่นหมายความว่า เขาต้องรวบรวมเอกสารและพยานบุคคลเพิ่มเติมอีก เพื่อยื่นคำร้องขอลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนบ้าน
สำหรับคนทำงานแล้ว กรณีของบุญชัย-ตัวแทนของเด็กกลุ่มที่ 1 คือเด็กที่เกิดในสถานพยาบาล-ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของพวกเราไปแล้ว ในการดำเนินการเพื่อขอออกเอกสารรับรองการเกิดย้อนหลัง
และสำหรับกรณีของบุญชัยนี้ พวกเราได้ย้อนเวลากลับไปถึง 29 ปี
อย่างไรก็ดี การได้รับหนังสือรับรองการเกิดนี้ เป็นเพียงขั้นตอนแรกของการจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้า ครบขั้นตอนและถูกต้อง บุญชัยยังต้องเดินไปอีกสองขั้นตอน นั่นคือ ขั้นตอนที่สอง-การแจ้งเกิดกับหน่วยงานทะเบียนราษฎร เพื่อขอรับสูติบัตร และขั้นตอนที่สาม-คือการเพิ่มชื่อและรายการบุคคลเข้าในทะเบียนบ้าน
----------------------------
*อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
นักกฎหมาย สถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ (SWIT)
[2] วีนัส สีสุข “ทฤษฎีหกเด็ก” ใน “3 สูตรสำเร็จเพื่อการจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้า ครบขั้นตอนและถูกต้อง : คู่มือเล่มที่ 1 สำหรับผู้ปฏิบัติงานและเจ้าของปัญหา”, จัดพิมพ์โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ, มีนาคม 2553
[3] (1) กิติวรญา รัตนมณี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, (2) ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล นักกฎหมาย สถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ ในฐานะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิและสถานะบุคคลของผู้ไร้สัญชาติ ไทยพลัดถิ่น ผู้อพยพ และชนพื้นเมือง ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.), (3) นายวัฒชนะ วงศ์สินนาค เจ้าหน้าที่ กสม. (4) พวงรัตน์ ปฐมสิริรักษ์ นักกฎหมาย เจ้าหน้าที่ฝึกงานโครงการบางกอกคลินิค และ (5) กรกนก วัฒนภูมิ นักกฎหมาย สถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ
[4] สถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐพบว่า สาเหตุของการสูญหายและเสียหายของ บันทึกหน้าห้องคลอดของโรงพยาบาลหลายกรณีอาจเป็นเหตุสุดวิสัย คือ ไฟไหม้ น้ำท่วม ถูกปลวกกัดกิน รวมถึงสูญหายระหว่างการย้ายสถานที่ทำการ