หัวข้อที่ท่านรับเชิญบรรยายคือสถาบันพระปกเกล้า(และท่านทั้งหลายและหน่วยงานของท่าน)กับการจัดการความขัดแย้งในสังคมไทย หัวข้อที่เชิญไม่มีวงเล็บ ส่วนที่วงเล็บท่านเติมเข้าไปเพื่อให้พวกเรานักศึกษาที่เข้าเรียนได้ตระหนักและคิดถึงการช่วยจัดการความขัดแย้งในสังคมเพราะเป็นความคาดหวังของสถาบัน
เป็นที่ทราบกันว่าความขัดแย้งเป็นธรรมดาของมนุษย์ ขัดแย้งในครอบครัว เพื่อนฝูง ที่ทำงาน กลุ่ม ฯลฯ
การแก้ไขปัญหาในอดีตจะใช้อำนาจที่เหนือกว่ามาแก้ปัญหาความขัดแย้งเช่นผู้บังคับบัญชา แก้ปัญหาความขัดแย้งของลูกน้อง สั่งให้คืนดีกันและสงบทั้งสองข้าง
จัง จาค รุซโซ บอกว่าการปกครองเกิดจากการแย่งผลประโยชน์สาลีเกษตรจึงต้องมีผู้มาตัดสินแบ่งผลประโยชน์ ยกให้ผู้นั้นเป็นกษัตริย์ จึงเป็นการปกครองโดยผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า การออกกฎหมายจึงเขียนขึ้นมาเพื่อยุติความขัดแย้ง ศีลจึงถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนขัดแย้งกันในสังคม
ฐานคิดนี้มาจากตะวันตก เริ่มมาตั้งแต่อาณาจักรโรมัน มีการปราบปรามเผ่าต่างๆเพื่อรวมเข้ามาในจักรวรรดิ์ เมื่อรวมเข้ามาอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มก้อนจึงเกิดสันติภาพ เรียกว่า Roman Peace ต่อมาอาณาจักรโรมันก็ถูกพวกบาบาเรียนทำลาย และก็พัฒนามาเรื่อย จนเกิดทฤษฎี อำนาจรัฐเป็นอำนาจสูงสุด แล้วก็พัฒนาความคิดจนเกิดความคิดอย่ากมีรัฐบาลโลกหรือสันนิบาตโลก แล้วพัฒนามาเป็นสหประชาชาติ แต่ก็ยังทำให้โลกสงบอยู่กันอย่างสันติไม่ได้
เหตุการณ์ ๑๑ กันยายน หรือที่เรียกว่า ๙๑๑ เกิดขึ้นก็เพราะตอบโต้อำนาจรัฐ
ในปัจจุบันมีคดีขึ้นสู่ศาลมากขึ้น ก็ย่อมแสดงว่าความขัดแย้งยังคงเพิ่มขึ้น การจัดการความขัดแย้งควรจัดการด้วยการมีส่วนร่วมของคนที่เสมอภาคกัน หันมาดูในพุทธศาสนา เมื่อพระสงฆ์สวดระงับอธิกรณ์ ภิกษุที่สวดอธิกรณ์จะต้องเป็นภิกษุที่ไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ทำหน้าที่ ทางตะวันตกเมื่อเกิดปัญหาความขัดแย้งแก้ไขไม่ได้ก็มาเอาแนวคิดทางตะวันออกไปใช้ มีการนำแนวความคิดป้องกันความขัดแย้ง แต่เดิมรัฐจะทำอะไรก็สั่งไป แต่เดี่ยวนี้ต้องลงไปฟังความเห็นของประชาชนก่อน ที่เรียกว่า Public Hearing
ในศตวรรษที่ ๑๘-๑๙ เป็นยุคประชาธิปไตยแบบเสียงข้างมากแต่เคารพเสียงข้างน้อย Majority Rule Minority Right แต่ในยุคปัจจุบันพัฒนามาเป็นประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม Participation ซึ่งเชื่อว่ามันจะเป็นเครื่องมือป้องกันความขัดแย้งในอนาคต การจัดสรรทรัพยากรจึงสมดุลย์และเป็นธรรม และที่สุดก็จะยั่งยืน
ในประเทศไทย ปี ๒๕๔๙ คนรวย ๒๐ % ของประเทศไทย เป็นเจ้าของรายได้ประชาชาติ ๕๘ % เศษ ส่วนคนจนมีรายได้เพียง ๓.๘% ความขัดแย้งยิ่งมากขึ้นเมื่อรัฐบาลเอาคนจนมาเป็นฐานทำประชานิยม ชนชั้นกลางเกิดความรู้สึกว่าถูกกีดกันออกจึงวิพากย์วิจารณ์แต่กลับถูกปิดช่องการวิพากย์วิจารณ์ จึงก่อให้เกิดรัฐประหารเมื่อ ๑๙ กันยายน มันไม่ใช่เรื่องเอานายกคนเก่าหรือไม่ แต่มันเป็นความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง เมื่อเป็นเช่นนี้ มันก็จะยังไม่จบ...ครับพี่น้อง....
ความขัดแย้งที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ยังไม่รู้อนาคต
การแก้ปัญหาความขัดแย้งของไทยเปราะบางมาก เพราะรัฐบาลได้มาโดยการ....เสียง อิอิ อาจารย์บรรยายมาหลายวันแล้ว ผมเพิ่งมาเขียนบันทึกวันนี้ เมื่อวานก็ถูกใบแดงอีกใบหนึ่งแล้ว กรรมการบริหารพรรคปั่นป่วนอีกแล้วครับท่าน....
กลไกการมีส่วนร่วมก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ไม่มีผลจริงจัง กลไกทางกฎหมายก็ยังมีการเลือกข้าง ธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดใหม่มีการสนับสนุน แต่ไม่ได้เหลียวแลชาวนา คนจน คนขายขายข้าวได้ราคาแต่ชาวนาขายข้าวไม่ได้ราคาเพราะการกำหนดราคามาจากที่อื่น
คนไทยรู้จักพลิกแพลงให้ตัวเองได้ประโยชน์ เพราะจะเข้าหาผู้ใหญ่(ข้าราชการ อิอิ)ผู้ใช้กฎหมายเพื่อขอความช่วยเหลือไม่ให้บังคับเอากับตน
สิ่งเหล่านี้อาจารย์บอกว่าอย่าไปท้อแท้ เพราะมันยังมีสัญญาณที่ดี คือการที่ชุมชนต่างๆแก้ปัญหากันเองอย่างได้ผล
ศาลก็ให้ความสนใจในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเชิงสมานฉันท์
สถาบันการศึกษาก็ให้ความสนใจกับการจัดการความขัดแย้ง เช่น สถาบันพระปกเกล้า มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นต้น โดยเฉพาะหลักสูตรที่พวกเราเรียนกันอยู่นี้ได้รับความสนใจมาก
หน้าที่ของเรา
๑.Identified ความขัดแย้งและสาเหตุ ศึกษาทั่วประเทศว่าขัดแย้งเรื่องอะไร สาเหตุมาจากอะไร การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง กรณีศึกษาของจริงทั้งที่แก้ไขปัญหาสำเร็จและล้มเหลวโดยสถาบันฯต้องสร้างเครือข่าย
๒.มีหน้าที่ต้องเผยแพร่สิ่งที่เรารู้เห็นร่วมกัน รวมทั้งเทคโนโลยีแก้ปัญหาแก้ปัญหาความขัดแย้ง ตอนนี้สถาบันพระปกเกล้าหันมาดูเรื่องการเมืองภาคพลเมือง
หลักสูตรที่เราเรียนต่างจากหลักสูตรอื่นอย่างไร
-ต้องการให้ผู้เรียนและผู้สอนเรียนรู้การแก้ปัญหาความขัดแย้งร่วมกัน
-สถานที่เรียนจะไม่ใช่ห้องเรียนเหมือนหลักสูตรอื่น จะอยู่ในรถ ในโรงแรม ในพื้นที่ ฯลฯ
-ไม่ได้ต้องการให้ทำเอกสารส่วนบุคคล แต่จะเน้นเอกสารกลุ่มที่ได้จากการคิดร่วมกัน
-มีหน้าที่ร่วมกันนำสิ่งที่ค้นพบเอาไปเผยแพร่ใช้แก้ปัญหาในสังคมและประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รับรู้ในสังคม ถึงกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้ที่ขัดแย้งและไม่ขัดแย้ง
-หลักสูตรนี้ไม่คิดเงิน แต่หลักสูตรอื่นคิดเงินเพื่อต้องการให้นักศึกษาเป็นภาคีช่วยกันทำงาน และทำให้ความขัดแย้งในสังคมไทยมีทางออก
ผมฟังอาจารย์บรรยาย โน้มน้าว จิตใจทำให้เคลิบเคลิ้ม มุ่งมั่นที่จะนำความรู้ที่เรียนมาไปช่วยแก้ปัญหาสังคมเท่าที่คนไทยคนหนึ่งและข้าราชการคนหนึ่งอย่างผมจะพึงมี ผมจึงตั้งใจบันทึกย่อวิชาที่เรียนมาเพื่อให้ทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่านบันทึกนี้ได้ประโยชน์ไปด้วย และหากท่านทั้งหลายได้ศึกษาและมีความตั้งมั่นที่จะช่วยกันในการที่จะทำให้สังคมของเราอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข นั่นก็ถือว่าผมได้ใช้ทุนคืนสถาบันไปมั่งแล้ว อิอิ
อย่าเคลิ้มจนหลับนะครับ
มานั่งเรียนด้วยครับ
ผมยังเชื่อมั่นว่าถ้าเราศึกษาความขัดแย้งในระดับครอบครัวคือใกล้ตัวให้ดี
จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการศึกษา แก้ปัญหาความขัดแย้งในระดับที่ใหญ่ขึ้นๆจนถึงระดับประเทศและระดับโลก
บางที หากเรียนอะไรที่นอกตัวมากเกินไป จนลืมมองดูสิ่งรอบตัว
จบหลักสุตรก็ยังมีความขัดแย้งในครอบครัว.....ก็อาจถือว่ายังไม่จบนะครับ
น่าจะเป็นว่าใครที่จบหลักสุตรนี้ จะมีชีวิตครอบครัวที่มั่นคง สุขสันต์เพราะสามารถสมานฉันท์กันในครอบครัวได้
ถือโอกาสเรียนถึงท่านเอกชัยด้วยนะครับ
มาเพิ่มเติมอีกนิดครับ
เหมือนกับหลักสูตรผู้นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คลังสมอง วปอ.นะครับ
ที่เรียนกันแล้ว นำหลักดังกล่าวกลับไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้
นั้นคือสิ่งที่มีคุณค่าครับ
ถ้าครอบครัวแก้ปัญหาความขัดแย้งได้แล้ว ระดับที่ใหญ่ขึ้นก็จะได้รับผลดีด้วยครับ
ลุงเอกครับ ไม่เคยหลับเวลาเรียนครับ เพียงแค่วูบๆ อิอิ
ท่าน riceman ครับ
ขอบพระคุณที่ท่านอวยพร
ผมเพียงแค่อยากให้สังคมนี้มีความสุข แบ่งปันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในเรื่องต่างๆ ทั้งในเรื่องวิชาการ ความสุข การบ้าน การครัว ฯลฯ ยิ่งสิ่งที่แบ่งปันเป็นความรู้ที่จะช่วยให้สังคมนี้ดีขึ้นยิ่งเต็มใจที่จะทำครับ
ท่านอัครราชฑูตครับ
ครอบครัวเป็นพื้นฐาน ผมเคยสอนน้องๆที่เป็นอัยการว่า จะดูว่าใครเป็นอัยการที่ดีหรือไม่ ดูง่ายๆดูที่ครอบครัวเขา เขาให้ความเป็นธรรมแก่ครอบครัวของเขาไหม เขานอกใจภรรยาหรือเปล่า ถ้าเขานอกใจ เชื่อไว้ก่อนว่าจะหาความเป็นธรรมจากคนๆนั้นยาก เพราะเขาจะคิดถึงแต่ตัวเขาเป็นหลัก ดังนั้นหากมีเงินมาง้าง เชื่อหรือว่าเขาจะไม่เอา..
การทำให้สังคมสันติสุขก็เช่นกัน จะไปแก้ปัญหาสังคม แก้ปัญหาให้คนอื่นในขณะที่เราไม่เคารพสิทธิของคนในครอบครัว ใครจะมาเชื่อถือเราละครับ ผมจึงเห็นด้วยกับท่านที่ให้สร้างสันติสุขในครอบครัวก่อนครับ
อ.ขจิต ครับ
นี่ผมเปิดโรงเรียนแบบแอบแฝงสถาบัน ใครอ่านของผมและเข้ามา comment ทุกครั้งแบบอ.ขจิต ถือว่าจบหลักสูตรเหมือนกันดีไหม อิอิ
พี่หมอเจ๊ครับ
วันนี้ได้คุยกันหลายท่านได้ข้อมูลเยอะว่าจะโทร.หาพี่หมอเจ๊แต่เห็นว่าดึกแล้วค่อยเล่าให้ฟังพรุ่งนี้นะครับ
แอบกรี๊ดอ.บวรศักดิ์ ชอบเป็นการส่วนตัว เก่งมากๆ ท่านนี้ ถ้าเจอท่านอีกฝากบอกนะคะว่ามีแฟนคลับเชียร์
สวัสดีครับ Little Jazz
ถ้าเจอ อ.บวรศักดิ์ จะบอกให้ครับว่ามีคนแอบกร๊ด....
อ่านบันทึกนี้ก็เคลิ้มครับ
เป็นตาม่วนแฮง
น้องออต
ผมตามไปอ่านเวบของมหาชีวาลัยแล้วครับ
อยากเรียนจบหลักสูตรนี้ต้องไปตามอ่านมาตั้งแต่ตอนแรกครับ อิอิ
สวัสดีค่ะท่านอัยการ
- รออ่านตอนที่ 13 ต่อไปค่ะ กำลังสนุกทีเดียวค่ะ
- แนวคิดต่อครอบครัวของท่านอัยการนี่ต้องได้รับการปรบมือให้ดังๆ เลยค่ะ ขอชื่นชมค่ะ
ขอบคุณนะคะ จะรออ่านตอนต่อไปค่ะ/อ้อยค่ะ
ต้องขอขอบคุณท่านอัยการครับ ผมนั่งข้างหลัง เห็นท่านพิมพ์ยิกๆตลอดเลย พ่วงขบวนบุญไปด้วยคนนะครับ ผมได้นำความรู้ไปใช้จริงทุกอาทิตย์เลยครับ ขอเป็นแฟนคลับด้วยคนครับ
ขอบคุณ อ.อ้อย ที่ติดตามอ่านทุกตอนครับ
คุณคนนั่งหลังอัยการครับ
พิมพ์ยิกๆนั่นมาทีหลังจากการจดยิกๆ เพราะพอจดยิกๆแล้วกลับไปถึงที่พักก็เอามาพิมพ์ยิกๆอีก คราวนี้ก้เลยเอาโน้ตบุ๊คไปพิมพ์เสียเลย เวลาสรุปก็จะง่ายขึ้นแล้วตัดต่อเร็วพร้อมนำขึ้นบันทึกได้เลย เพียงแต่ตกแต่งรูปอีกนิดหน่อยก็ใช้ได้แล้วครับ
ช่วยกันแลกเปลี่ยนในสิ่งที่จดไม่ทันด้วยนะครับ จะเกิดประโยชน์มากหากบันทึกของผมชุดนี้เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระหว่างบรรดานักศึกษาด้วยกันเองและร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับชาว gotoknow ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นครับ ผมว่าจะเกิดประโยชน์อย่างมากมายเกินความคาดหมายของสถาบันเลยแหละครับ จึงฝากทุกท่านที่เข้ามาอ่านบันทึกชุดนี้ช่วยกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันนะครับ
อะ อะ พ่อครูบา เรียนนั่งทางในด้วยเหรอครับ อิอิ ใครสอนหลวงพี่ติ๊กหรือเปล่า เห็นเสวนากันนานจนผมนึกว่าจะอดข้าวเที่ยงซะแล้ว อิอิ
ไก่ที่จะอุ้มมาแกงมาเลยดีกว่ามั๊ง แฮ่ะๆๆ