ใครนะจะสนใจมาร่วมคลายเกลียวได้อย่างละมุนละม่อม ...


ต่อยอดอย่างบรรเจิดจากท่านสุญญตา "เปิดชมรมนักปั่น"...

ก็บรรเจิด เฝ้าดูใน G2K นี่ก็มานาน ตั้งแต่เริ่มแรก ที่มีการเริ่มต้น ผ่านไปเกือบไม่ถึงปีจนกระโดดลงมาร่วมวงในการเขียนด้วย เขียนมา เขียนมา ก็มีบ้างหรอกไม่กี่คนที่ฟัง พูด อ่าน เขียนกันมาเจอจริตเดียวกัน ต่อยอดต่อกรความคิดกันได้...ไม่โกรธไม่เคือง เพราะนั่นน่ะเป็นอาการของการเปิดประตูใจ

เมื่อไรที่ "เราเรียนรู้เรื่องการเปิดประตูใจ" เมื่อนั้นน่ะปัญญาเราจะเปิดกว้างออก

ยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างไร้เงื่อนไข

การต่อกรต่อความคิด...ดั่งกัลยาณมิตรนี่ มันทำให้ความรู้เรามันหมุนวน หมุนวนไป

มีแต่จิตปรารถนาดีที่มุ่งบอก มุ่งหารือ มุ่ง...เสริมสร้างนำพากันก้าวเดินไปในทางที่เจริญขึ้น...

จริงๆ แล้วใน G2K นี้มีกลุ่มที่จริตคล้ายกันน่ะเยอะ

หากว่าการรวมกลุ่ม เจ๊าะแจ๊ะเชิงปัญญานี่...

จะเกิดผลต่อทั้งใจและปัญญาอย่างยิ่งนัก เพราะไร้ภาพพจน์ ที่เรามุ่งแต่งไปทางสวยทางงามเพราะเมื่อไร ที่ดำเนินไปภายใต้ดั่งความเป็นกัลยาณมิตรนั้นแล้ว ก็ไม่ต้องห่วงภาพอะไรกันนัก เพราะกัลยาณมิตรน่ะไม่มีหวังร้ายต่อกันอยู่แล้ว

มีแต่ช่วยตบ ต๊าบ และให้กำลังใจเพื่อให้ก้าวเดินแบบไม่หลง ไม่ออกจาก...ทางอยู่แล้ว

โชคดีแล้ว... G2K นี่เป็นพื้นที่เราสามารถมาฝึกซ้อนสิ่งต่างๆ นี้ให้ทั้งจิตและกายเจริญได้ผ่านการฝึกฝนหมุนเกลียวกันความรู้กันอย่างละไม ละมุนละม่อม...

เรียนรู้การถอดบทเรียนแห่งภายในผ่านเรื่องราวภายนอก

เขียนไปเขียนมาก็นึกถึงกัลยาณมิตรอีกท่าน Mr.Direct และหมอสุพัฒน์จากปายนี่ก็เป็นอีกหนึ่งบุคคลที่ทั้งตบ ต๊าบ ให้กำลังใจกันมา คุยกันนำพาไปสู่จิตเจริญ กล้าพูดกล้าบอก กล้าแชร์ กล้านำพากันก้าวเดินไป ... ถอดสิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้มาบอกกล่าวกัน ผ่านสิ่งที่ตนเองตกผลึกในเรื่องนั้น ... ทีแรกไอเดียบบรรเจิดกับท่านสุญญาตา ว่า...อืม G2K นี่ความรู้มันไม่หมุนเกลียวความรู้เท่าไรนัก มาช่วยมาร่วมกันดีกว่า คนแรกที่นึกได้ก็คุณ Mr.Direct จะส่งเมล์ไปบอกกล่าวชวนกัน...มาร่วมกันขับเคลื่อนหมุนเกลียว...คิดไปคิดมาเขียนบอกกล่าวผ่านบันทึกดีกว่า

...

อยากบอกอยากชวน

มาร่วมกันหมุนเกลียว...ความรู้ที่นำพาไปสู่การเจริญจิตเจริญใจผ่านเรื่องราววิถีชีวิต วิถีการงาน ข้าพเจ้าน่ะชอบใช้คำว่า Engaged Buddhism ... เนียนดี เพราะทุกอย่าง ทุกเรื่องราว ทุกการงานต่างมานั่งล้อมวงคุยกันได้ แต่เป้าหมายที่สุดจากการที่คุยกันน่ะ "จิตเราเจริญอย่างไรบ้าง"...

อีกท่านที่นึกถึง ... คุณพี่ศศินันท์ และซูซานนี่...

การหมุนเกลียวเช่นนี้ต้องอาศัยความกล้าหาญสักหน่อย

กล้าเปิด กล้ายอมรับกับตนเอง... ไม่ต้องกลัวไม่ต้องกังวลต่อการสร้างภาพพจน์ให้ดูดีไปเสียหมด เอาสิ่งที่ผิดพลาดมาพิจารณา ใคร่ครวญ มาบอกมากล่าวเล่าสู่กันฟังได้ ที่สุดแล้วมันจะได้เรื่องได้ราวว่า "เออ...เราผ่านเรื่องราวนั้นมาได้อย่างไร" อันนี้ก็จะเป็น success story sharing ไปแล้ว

คุยกันไป...คุยกัน ก็เริ่มได้ฝึกฝนชื่นชมกัน... ให้กำลังใจ บอกทางกันผ่านประสบการณ์ของตนเอง ไม่ใช่ไปสอนน่ะ แต่พอฟังกัลยาณมิตรบอกกล่าวแล้ว ใจแห่งความนึกคิดมันก็อยากจะแลกเปลี่ยนบ้างล่ะ... นี่และ AI เราดีดีนี่เอง

เอามาทำ..เอามาปฏิบัติ

ก็น่าจะดีกว่า การจดการจำเอาเพียงแนวคิด ทฤษฎีมาพูดมาบอก

เอาของจริงผ่านการปฏิบัติ โดยอาศัยเรื่องราวการงาน ชีวิตของตนเองนี่แหละ มาเป็นเครื่องมือในการถอดบทเรียนตนเองก็น่าจะดีนะ เกลียวความรู้ก็จะเกิดการหมุนวนล่ะทีนี้

*ความรู้ในที่นี้น่ะเราหมายถึง...ความรู้อันเป็นปัญญาที่มาจากรากเหง้าแห่งจิตดีงามอันเป็นกุศล

 

 

หมายเลขบันทึก: 299708เขียนเมื่อ 22 กันยายน 2009 08:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:35 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สิ่งแรกและเป็น "กำแพง" อันสำคัญในการที่คนเรานั้นจะปีนเกลียวความหรือรู้ไม่นั้นคือ "ความโง่..."

คนที่จะกระโดดเข้าร่วมวงการปีนเกลียวดความรู้จะต้องเป็น "คนโง่" เท่านั้น

คนฉลาดเข้าร่วมวงนี้ไม่ได้

กำแพงสำคัญของคนที่ไม่แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันก็เพราะสำคัญตนว่า "ฉลาด"

คนฉลาดไม่สามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับใครได้...!

การเป็นคนโง่นี่ยากไหม ต้องสมมติตนว่า "โง่" เสียก่อน

เอ่... แต่ว่าไปที่จริงเราก็โง่อยู่แล้ว ไม่งั้นคงไม่ได้เกิดมาหรอกเน๊อะ...

ความโง่นี่เองจะทำให้เรามี "ความรู้" ความรู้ที่ยังไม่เต็ม

คนฉลาดมักเป็นเหมือน "น้ำชาล้นถ้วย..."

คนโง่นั้นจะไม่ล้นถ้วย โดยเฉพาะถ้าอยู่ ๆ ก็จะไร้ซึ่งถ้วยและ "น้ำชา..."

เจ้าอัตตา ตัวตนนี่แลเป็นศัตรูตัวฉกาจของ "นักวิชาการ"

หน้าตา เกียรติภูมิ ชื่อเสียง นี่เองเป็นตัวปิดกั้น "ภูมิปัญญา"

โดยเฉพาะเมื่ออัตตามารวมกับหน้าตาเข้าด้วยแล้ว จะกลายมาเป็นชื่อที่ว่า "ผลประโยชน์..."

ไอ้เจ้าผลประโยชน์นี่แลสำคัญนัก

จะทำอะไรก็กลัวเสียผลประโยชน์ จะทำอะไรก็กลัวจะไม่ได้ผลประโยชน์ คุ้มหรือไม่คุ้ม คิดกันอยู่แค่นี้

คุณสมบัติของสมาชิก "ชมรมนักปั่น" คือ ต้อง "โง่"

ถ้ายังไม่โง่ต้องฝึกโง่ หรือถ้าโง่อยู่ก็ยอมรับว่า "โง่"

คนเราก็มีอยู่เท่านี้ ความเจริญทางวิชาการเมืองไทยก็มีอยู่เท่านี้ อยู่ที่ว่าจะ "โง่" หรือ "ไม่โง่..."

ถ้าโง่ก็เจริญ ถ้าไม่โง่ก็ "ตกต่ำ..."

ไม่มีใครรู้จักใบไม้ทั้งป่าหรอกเน๊อะ

เราเสียเวลาเรียนรู้ใบไม้ทั้งป่ามามากแล้ว

วันนี้พวกเรา "คนโง่" มาเรียนรู้แค่ใบไม้ในกำมือกัน

ใบไม้ในกำมือนี้นั้นจะสร้างสรรค์ "จิตเจริญ..."

สวัสดีค่ะ เช้านี้เปิดขึ้นมาเห็นบันทึกน้องก่อนเป็นคนแรกเลย
อ่านมาถึงว่า ....ท่านสุญญาตา ว่า...อืม G2K นี่ความรู้มันไม่หมุนเกลียวความรู้เท่าไรนัก มาช่วยมาร่วมกันดีกว่า ...มาร่วมกันขับเคลื่อนหมุนเกลียว...คิดไปคิดมา เขียนบอกกล่าวผ่านบันทึกดีกว่า
พี่ขอบอกว่า เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม ที่น้องเขียนบันทึกนี้มาค่ะ เพราะลึกๆในใจ พี่ก็คิดแบบนี้มานานแล้ว เคยคุยกับบางท่านที่โกทูโน ทางโทรศัพท์ 2-3 ครั้ง แต่ก็ไม่กล้าจะเสนออะไรแบบนี้ในอนุทิน หรือบันทึก
จริงๆแล้วพี่ชื่นชมโกทูโนมาก และรู้สึกอบอุ่นใจจริงๆ  ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่นี่ แต่บางที เนื่องจากตัวพี่เอง ไม่ได้อยู่ในวงการครูบาอาจารย์ เคยอยู่แต่รัฐวิสาหกิจและในวงการธุรกิจ เลยรู้สึกว่า ประสบการณ์มันคนละแบบ
การจะเขียนอะไร ก็คิดก่อนว่า มันจะเข้ากับคนอื่นเค้าได้ไม๊  ทำไปทำมา เลยไม่ค่อยได้เขียน นอกจากไปเขียนสั้นๆที่อนุทินเสียเป็นส่วนมาก
ทั้งที่จริงๆ พี่มีประสบการณ์การทำงานมาตลอดชีวิตจนกระทั่งบัดนี้ ก็ยังทำอยู่ แต่บริบทมันจะต่างกันไปตามกรรม ตามวาระ จากการทำงานแบบไม่มีวันหยุด ทำ 4 กิจการพร้อมๆกัน มาเหลืออย่างเดียว แบบสบายๆ
นอกนั้นอุทิศให้กับงานสร้างคนตัวเล็กๆ  ที่ต้องใช้พลัง ใช้ศิลปะการโน้มน้าว รวมทั้งใช้จิตวิทยา มิใช่น้อย อีกทั้งการเป็นกำลังใจ คอยเป็นสายสืบนักสืบอิสระติดตามข่าวสารให้กับคนบางคนที่อยู่ในอีกวงการอีกทางด้วย
อย่างไรก็ตาม พี่เห็นด้วยกับคำชักชวนของน้องค่ะ ก็จะนึกๆค่ะ ว่าจะมีของจริงผ่านการปฏิบัติ โดยอาศัยเรื่องราวการงาน และชีวิตของตนเองมาเป็นเครื่องมือในการถอดบทเรียนตนเองบ้าง ก็น่าจะดี เพราะพี่เอง ก็เคยทำทั้งสิ่งที่ผิดพลาด รู้เท่าไม่ถึงการณ์ รวมทั้งเคยทำสิ่งดีๆที่น่าภูมิใจมาไม่น้อยเหมือนกัน

มาขอเกาะริมรั้ว คลายเกลียวด้วยคนนะคะ

คลายเกลียวอย่างละมุนละม่อม

ต่างจากปีนเกลียวแล้วหมุนไปข้างหน้าอย่างไรนะ?

 

อืม.....คลายเกลียว ต้องเรียนรู้ที่จะถอย

เมื่อเห็นว่าการเดินหน้า เป็นการทำร้าย หรือทำลาย

ไม่ก่อประโยชน์

ที่สำคัญขณะที่รู้ว่าปีนเกลียว แต่ก็ยังแถ ๆ ๆ ๆ หมุนไปข้างหน้า

"มักจะทำด้วยอารมณ์"

ถูก อารมณ์ ครอบงำ

กิเลสครอบงำ

สุดท้าย....งานก็พัง...ใจก็พัง

เกลียวก็หวาน ใช้งานอีกไม่ได้

 

พอมองอีกมุมคลายเกลียว

ต้องยอมรับก่อนว่า ปีนเกลียวจริง ๆ

แต่ไม่ปรารถนาให้มีการบาดเจ็บ

หรือเสียหาย ทั้งงาน และใจ

 

ที่สำคัญยังทำให้ได้เรียนรู้ว่า

เส้นทางที่ผิด เป็นแบบนี้

คราต่อไปจะได้ทำถูก

 

แต่เอะ..................

ถ้าทางที่ผิด เกิดร่องลึก

ก็แย่เหมือนกันนะ

เพราะครั้งถัดไป อาจจะไหลลองช่องเดิมที่ผิดได้ง่าย ๆ

ดังนั้น ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท