ส่วนสำนวนแพ้เป็นพระชนะเป็นมารนั้น ขออ้างถึงบทความ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช และ บะโช มะทสึโอะ ที่ว่า
หลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ด้านที่ 1 :
พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสือง
พี่กูชื่อบานเมือง ตูพี่น้องท้องเดียวห้าคน
ผู้ชายสาม ผู้หญิงสอง พี่เผือผู้อ้ายตายจากเผือเตียมแต่ยังเล็ก
เมื่อกูขึ้นใหญ่ได้สิบเก้าเข้า
(สิบเก้าเข้า คือ สิบเก้าข้าว แปลว่า 19 ฝน 19 หนาว ทำนาข้าวมา 19 ครั้ง/19 ขวบ กรณีการยืดหดของกระสวนเสียงกรณีนี้ คล้ายกับกรณีคนภาคกลาง ออกเสียงเรียกควายว่าควาย แต่คนอีสานจะออกเสียงเรียก ควายว่า ข้วย นั่นเอง )
ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดมาท่เมืองตาก พ่อกูไปรบขุนสามชนหัวซ้าย
ขุนสามชนขับมาหัวขวา ขุนสามชนเกลื่อนเข้า
ไพร่ฟ้าหน้าใส พ่อกู หนีญญ่ายพ่ายจะแจ
กูบ่หนี กูขี่ช้างเบิก*พล กูขับเข้าก่อนพ่อกู
กูต่อช้างด้วยขุนสามชน ตนกูพุ่งช้างขุนสามชนตัวชื่อมาสเมืองแพ้ **
*ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ (Prof.George Coedès) ถอดความไว้ว่า "กูขี่ช้างเนกพล" (คำว่า เนกพล=อเนกพล=มีกำลังมากกว่าหนึ่ง คำว่า อเนกพล กลายเป็น เนกพล นั้นก็น่าจะมาจาก การตัดเสียง (Chipping) ตามหลักนิรุกติศาสตร์ (philology) คล้ายกรณีคำว่า อนุช/อนุชา ถูกตัดเสียง เหลือ นุช หรือ อัญชุลี/อัญชลี ถูกตัดเสียงเหลือ ชลี/ชุลี) "กูขี่ช้างเนกพล" นี้ จิตร ภูมิศักดิ์ สันนิษฐานว่า น่าจะอ่านว่า "กูขี่ช้างเบิกพล"
**แพ้ /แป๊ เป็นภาษาล้านนา หากคำว่าแพ้ อยู่ท้ายประโยค ต้องแปลว่า ชนะ ประโยคนี้ไม่ได้หมายความว่าช้างที่ชื่อมาสเมืองแพ้ แต่แปลว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เองเอาชนะช้างชื่อมาสเมืองได้) กรณีการใช้คำว่าแพ้ ในความหมายว่า ชนะ ยังมีให้เห็นในวงการศาสนาเช่น การแปลพระคาถาบาลี บทที่ว่า
ชยํ เวรํ ปสวติ
ทุกฺขํ เสติ ปราชิโต
อุปสนฺโต สุขํ เสติ
หิตฺวา ชยปราชยํ.
ขุ. ชา. มหา. 28/415
อรรถกถาจารย์ (ล้านนา) ได้ถอดความไว้ว่า
ผู้แพ้(แป๊)ย่อมก่อเวร
ผู้พ่าย(ป๊าย)ย่อมอยู่เป็นทุกข์
ผู้ละความแพ้(แป๊)และความพ่าย(ป๊าย)เสีย
มีใจสงบระงับนั่นแหละเป็นสุข
*คำว่า "แพ้"/"แป๊" แปลว่า ชนะ "พ่าย"/"ป๊าย" แปลว่า ไม่ชนะ คำว่าแพ้ นี้เป็น ภาษาไทยโบราณ ซึ่งมีความหมายไม่ตรงกับที่ใช้ในปัจจุบัน )