ข้ามภพ (ครบพล่าม)


รูปตลาดน้ำท่าคา อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ถ่ายภาพโดย ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด  »  พายเถิดพ่ออย่ารั้งรอพาย @ 172072 



อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ : โดย รศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ »  หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 28 ธันวาคม 2550

๏เธอจับมือของฉันรำพันว่า             แม่แม่จ๋าหนูไม่อาจข้ามคลื่นใหญ่
เรือลำเล็กเคว้งคว้างอ้างว้างใจ        พายก็ไม่มีหรอกบอกให้รู้
๏แม่จับมือน้อยน้อยคอยส่งรัก          มือเล็กนักยังไม่คล่องก็ต้องสู้
หนูลงเรือเถิดหนาอย่าหวนดู            หนทางอยู่ข้างหน้าต้องกล้าไป
๏ไม่มีพายใช้มือน้อยค่อยวักน้ำ       โยกตัวซ้ำพาเรือไปให้ได้
หนูคนเก่งของแม่ไม่เป็นไร              หนูมีใจเต็มใจข้างในแล้ว
๏ฝนตกแล้วแม่จ๋ามาช่วยหน่อย       เรือเคลื่อนคล้อยเธอเอียงใหญ่แม่ใจแป้ว
แม่โบกมือตะโกนสั่งระวังแนว          มิผ่องแผ้วอย่างฝันนะลูกรัก
๏แดดร้อนแผดเผาไหม้หัวใจลูก       ด้วยพันผูกแม่ซ้ำซ้อนยิ่งร้อนหนัก
น้ำตาลูกหล่นรายทลายทะลัก          นี่ลูกจักข้ามได้ไหมใจแม่ร้าว
๏วันนี้.....                                      ลูกคนดีถึงฝั่งอย่างเต็มก้าว
แม่มองลูกด้วยน้ำตาที่พร่าพราว      เห็นดวงดาวในดวงตากล้าแสงงาม
๏อีกฝั่งหนึ่งนะลูกระวังระไว             แม้สดใสแต่ต้องไม่มองข้าม
เป็นฝั่งแห่งชีวิตต้องติดตาม             มีทุกความไม่รู้ให้หนูลอง
๏มีสติ มีใจ ในทุกถ้อย                    ทุกก้าวค่อยครวญคิดอย่าผิดสอง
แม่อยู่ฝั่ง(ทาง)นี้มีแต่มอง               ขอคุ้มครองด้วยรักที่ไม่มีคลาย


หลังจากอ่านกลอน อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ : โดย รศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ »  หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 28 ธันวาคม 2550 จบลงทำให้ ผู้เขียนมานั่งตีความ คำว่าเรือ และคำว่าฝั่ง ในทางพุทธศาสนา นั้น น่าจะตีความได้ว่า

แพ=สมถกรรมฐาน
เรือ=วิปัสนากรรมฐาน
ข้าม=การปฏิบัติ (วิธีการพายเรือ)
ภพ=โอฆสงสาร/ทะเลสีทันดร

ทะเลสีทันดร เป็นชื่อทะเลในความเชื่อของพราหมณ์ซึ่งเชื่อว่าโลกเรานี้มีเขาพระสุเมรุเป็นหลักโลก มีภูเขาสัตบริภัณฑ์ล้อมรอบ คือภูเขา 7 ลูก ได้แก่ ยุคนธร กรวิก อิสินธร สุทัศ เนมินธร วินตก และอัสกัณ โดยระหว่างภูเขาเหล่านี้จะมีน้ำทะเลขวางกั้นเรียกว่าทะเลสีทันดร มีความกว้างใหญ่ไพศาลมากถึงขนาดที่พญาครุฑซึ่งเชื่อว่าบินได้กวักละ 1 โยชน์ (ประมาณ 16 กิโลเมตร) ยังต้องบินจนสุดกำลังจึงจะข้ามน้ำนี้ไปได้ และยังเชื่อกันว่าทะเลนี้น้ำมีความละเอียดอ่อนมากถึงขนาดวัตถุที่เบาที่สุดเมื่อตกลงไปยังจมลงสู่ก้นทะเล ไม่มีอะไรสามารถลอยอยู่เหนือผิวน้ำนี้ได้ บางทียังมีความเชื่อว่า ทะเลสีทันดรเป็นประตูระหว่างมิติต่างๆ อีกด้วย หากข้ามพ้นไปได้ก็จะพบเห็นในสิ่งที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์มากมาย เช่น ป่าหิมพานต์ เป็นต้น ที่มา http://thailanguage.royin.go.th/webboard_read.php?id=32

การข้ามทะเลสีทันดร นั้นยากยิ่ง แต่การข้าม ห้วง โอฆสงสาร นั้นยากยิ่งกว่า พระเดชพระคุณ พระมหาชัยวุธ ฐานุตฺตโม ได้อรรถาธิบาย เกี่ยวกับ ทะเลสีทันดร ไว้ใน บทความ  สีทันดร (สมุทร) ความว่า

 
เวลนฺเตน สมํ อุเทตีติ สมุทฺโท
ทะเลใด ยังน้ำให้เต็ม เสมอ ด้วยชายแห่งฝั่ง ดังนั้น ทะเลนั้น ชื่อว่า สมุทร (ยังน้ำให้เต็มเสมอด้วยชายฝั่ง)

อธิบายตามรูปศัพท์ สมุทร หรือ สมุททะ มาจาก สํ บทหน้าแปลว่า เสมอ ผสมกับ อุทะ รากศัพท์ แปลว่า เต็ม (สํ + อุทะ = สมุทะ) แปลง่ายๆ ว่า เ็ต็มเสมอ และเมื่อแปลตามวิเคราะห์จะได้ว่า ทำน้ำให้เต็มเสมอด้วยชายฝั่ง

สมุทรนั้นอาจแบ่งได้ ๒ ชนิด คือ สีทสมุทร ( ทะเลจม เป็นทะเลที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจมลงไปได้) และ อสีทสมุทร (ทะเลไม่จม เป็นทะเลที่ไม่สามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจมได้)... และ ทะเลสีทันดร หรือ สีทันดรสมุทร นั้น ก็จัดอยู่ในประเภทของ สีทสมุทร (ทะเลจม)

คำว่า สีทันดร ในที่นี้ แยกศัพท์ออกเป็น สีทะ + อันดร ... สีทะ นั้น แปลว่า จม ในที่นี้หมายถึง สีทสมุทร (ทะเลจม) ส่วน อันดร นั้น มาจากคำว่า อันตรา แปลว่า ระหว่าง ในที่นี้หมายถึงระหว่างภูเขาสิเนรุกับภูเขายุคนธร เป็นต้น... ดังนั้น ทะเลสีทันดร ก็อาจแปลได้ว่า ทะเลที่ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาสิเนรุกับภูเขายุคนธร...

สีทันดรนั้นแปลว่า ทะเลจม และหากแม้นว่า  สีทันดร จะแปลว่าทะเลลอย  สีทันดร นั้นก็ย่อมที่จะหมายถึง  Deadsea?  (ถึงจะไม่จม แต่สรรพสัตว์ต่างก็ต้อง วายวาง/วางวาย/ตรมตรอม/ตรอมตรม อยู่ใน Deadsea เพราะความเค็ม/ขมขื่น) อนึ่ง การลอยเรือ หรือ ลอยแพ อยู่กลางห้วง โอฆสงสาร/ทะเลสีทันดร/Deadsea เป็นสิ่งที่ไม่ควรประมาท  เพราะห้วง โอฆสงสาร/ทะเลสีทันดร/Deadsea คือหนึ่งในห้าสิ่ง ที่ มนุษย์ไม่ควรประมาท/ไม่ควรไว้ใจ ความเชื่อนี้ ปรากฎอยู่ใน กลอนนิทานเวตาล ซึ่งนิพนธ์โดย กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ความว่า


ใครจะไว้ใจอะไรตามใจเถิด        แต่อย่าเกิดไว้ใจในสิ่งห้า
หนึ่งอย่าไว้ใจทะเลทุกเวลา        สองสัตว์(มี)เขี้ยวเล็บงาอย่าไว้ใจ
สาม ผู้ถืออาวุธสุดจะร้าย           สี่ผู้หญิงทั้งหลายอย่ากรายใกล้
ห้า มหากษัตริย์ทรงฉัตรชัย        ถ้าแม้ใครประมาทอาจตายเอย




เช่นนี้แล้วผู้เห็นภัยในห้วง โอฆสงสาร/ทะเลสีทันดร/Deadsea จึงมิควรประมาท อนึ่ง ในกลอนข้างต้น (
อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ) ฝั่งที่แม่อยู่นั้น น่าจะเป็น สัมปรายภพ (สุคติภพ/ทุคติภพ) และไม่ว่า แม่จะอยู่ ณ ภพภูมิใดๆ ท่านย่อมที่จะไม่ละทิ้งสายตาไปจากลูกของท่าน เราย่อมอยู่ในสายตาของผู้เป็นแม่เสมอๆ หากแม่ของท่านผู้อ่านสถิตยัง สัมปรายภพ  หรือภพภูมิอื่นๆ ก็ดี เชื่อแน่ว่าท่านต้องกำลังจ้องมองดูท่านผู้อ่านอยู่ด้วยทิพยญาณ เช่นนี้แล้วท่านผู้อ่านยังจะทำให้ผู้เป็นแม่ ต้องผิดหวัง เพราะ(การกระทำของเราล่ะ)หรือ ? เราจะยังกล้า มัวเมาลุ่มหลงอยู่กับ โลกียสุข เช่นนี้ต่อไปหรือ?   

มนุษย์ในยุคปัจจุบัน นั้นมีทั้งเรือ มีทั้งแพ อยู่ข้างหน้า ทั้งรู้วิธีการปฏิบัติ (วิธีการพายเรือ) ไฉนไม่ก้าวเท้าลงแพ ลงเรือ (หรือกลัว เหนื่อย) เพราะหนทางข้างหน้านั้นมองไม่เห็นฝั่ง ฝั่งนี้(ปัจจุบันขณะ/ภพ/ภวะ/ภาวะนี้) ยังสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงสุข ไฉนเลยจะก้าวเท้าลงเรือ จ้ำพายออกไปให้เหนื่อยยาก หนอ (กลางทะเลนั้นมีลมมรสุม ปลาฉลามก็มีเยอะ (เป็นอุปสรรคในการเดินเรือทั้งนั้น) 

แต่คนที่เคยไปได้กลับมาบอกว่า ฝั่งโน้นน่ะมีแต่ ความรู้ ความตื่น ความเบิกบาน อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน คนฟังบ้างก็เชื่อ บ้างก็ไม่เชื่อ คนที่เชื่อก็ยัง กล้าๆ กลัวๆ เก้ๆ กังๆ

(กัลยาณ)มิตร มี 4 จำพวก คือ

1.เฉยๆ เห็นเพื่อน เก้ๆ กังๆ อยู่ ตัวเองก็อยู่บนฝั่ง
2.เห็นเพื่อน ยังเก้ๆ กังๆ ก็ช่วยถีบ เอ้ย ผลัก เอ้ย ผลักดัน ส่งเสริมให้ลงเรือ ลงแพ แล้วรีบจ้ำพาย (ตัวเองก็ยังอยู่บนฝั่ง)
3.ลงเรือ ลงแพ แล้วพายให้เพื่อนดูก่อน พอไปถึงฝั่งโน้น แล้วจึงกลับมาชวนเพื่อนไปฝั่งโน้นด้วยกัน
4.ลงเรือ ลงแพ แล้วพายให้เพื่อนดูก่อน พอไปถึงฝั่งโน้นแล้ว กลับมาก็ทำเฉยๆ เสีย ไม่ได้ผลัก ถีบ (พูดซิถีบ : positive ดึง หรือดัน ให้เพื่อนลงเรือลงแพแล้วจ้ำพาย


เมื่อไร จะก้าวเท้าลงเรือ กลัวอะไร?  ชีวิตนี้สั้นนัก (Life is so short) รอให้แก่ กว่านี้ จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหน พายเรือ หูตาฝ้าฟาง กำลังวังชาถดถอย สงสัยจะ นิ่งแน่/แน่นิ่ง คาเรือเสียก่อนกะมัง?

ปล. ดูอย่างคุณยายในภาพสิ ท่านยังชวนหลานท่านพายเรือ(ข้ามฟาก)ด้วยกันเลย การ ข้ามภพ หากข้ามเมื่อเวลาที่อายุใกล้พลบ(ค่ำ) ย่อมมองเห็นฝั่งได้เลือนลาง หรืออาจมองไม่พบฝั่ง ฉะนี้

หมายเลขบันทึก: 197742เขียนเมื่อ 31 กรกฎาคม 2008 10:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:22 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (39)

สวัสดีค่ะ

เมื่อไร จะก้าวเท้าลงเรือ กลัวอะไร? ชีวิตนี้สั้นนัก รอให้แก่ กว่านี้ จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหน พายเรือ หูตาฝ้าฟาง กำลังวังชาถดถอย สงสัยจะตายคาเรือเสียก่อนกะมัง?

* น่ากลัวค่ะ..

* ขอให้สุขกายสุขใจนะคะ

สวัสดี่ครับพี่คนโรงงาน ขอบคุณครับมาไวจัง

สวัสดีครับคุณพี่อาจารย์ พรรณา ผิวเผือก ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมครับ ผู้เขียนขอแก้จากตาย เป็น นิ่งแน่/แน่นิ่ง ก็พอครับ ใช้คำว่าตายดูไม่เป็นมงคล :)

  • อยากไปพายเรือบ้าง
  • อิอิๆๆ
  • กลังรอสาวๆๆสอนพาย
  • ตัวเองว่างสอนเขาไหม
  • อิอิๆๆ

สวัสดีครับอาจารย์ ขจิต ฝอยทอง พอดีผมก็ว่างแต่ยังพายไม่เก่ง งั้นเดี๋ยวผมฝากอาจารย์กับ คุณยายในภาพให้นะครับ (สาวเหลือน้อย)พอได้มั้ยครับ :) แซวเล่นนะครับ ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมนะกั๊บ..

สวัสดีครับ คุณกวิน

บันทึกนี้เตือนสติได้ดีครับ ทำให้ผมนึกถึงคำสอนของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ว่าอย่าคิดหัดว่ายน้ำตอนแพใกล้จะแตก

สวัสดีครับ ขอบคุณ คุณ ข้ามสีทันดร มากๆ นะครับ

สวัสดีค่ะคุณกวิน 

  • แวะมาทักทายค่ะ

 

สวัสดีคุณกวิน

มาตามคำชักชวนไว้ที่เวปคนไม่มีรากครับ

ชอบใจที่คุณกวินว่าไว้...เมื่อไร จะก้าวเท้าลงเรือ กลัวอะไร?  ชีวิตนี้สั้นนัก (Life is so short) รอให้แก่ กว่านี้ จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหน พายเรือ หูตาฝ้าฟาง กำลังวังชาถดถอย สงสัยจะ นิ่งแน่/แน่นิ่ง คาเรือเสียก่อนกะมัง?

คนมักจะไม่ค่อยคิดไปข้างหน้า แต่ต้องรอให้พบเหตุน้นก่อน

ขอบคุณแง่คิดดี ๆ ครับ

สวัสดีพี่ ไก่...กัญญา ครับ ขอบคุณที่ มาลงเรือลำเดียวกันนะครับ :)

สวัสดีครับพี่ คนตัดไม้ มาไวจังครับ ขอบคุณที่มาลงเรือลำเดียวกันครับ ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจครับ :)  

  • ไม่เข้าใจเขียนเรื่องนี้หน่อยนะ
  • ผู้ชายพายเรือ ทำไมผู้หญิงใจร้ายจัง
  • ดูดิ ผู้หญิงยิงเรือ
  • อิอิอิๆๆ
  • อธิบายได้ไหมครับ

สวัสดีค่ะคุณกวิน

ไม่ได้เข้ามานาน (งานล้นพ้นตัว)

แวะมาทักทายค่ะ

ชอบคำในวงเล็บของกัลยาณมิตรประเภทที่ 4

"พูดซิถีบ : Positive" จังค่ะ :)

โอ้ย...โดนยิงเข้าแล้ว อาจารย์ขจิต ช่วยพาพ้ม ไปหาหมอสวยๆ หน่อยนะครับ...โอว...เจ็บๆๆ...

คุณกวิน ..

  • อ่านแล้วนึกถึงดอกหญ้าที่ชื่อ กุง ขึ้นมา
  • กุง ชีวิตนี้สั้นนัก
  • อยากให้ชีวิตสั้นเหมือนกุง ไม่อยากไขว่คว้า เพราะเหนื่อยล้ามากๆ อิอิ
  • มาบ่นไปคนละทางกับบันทึกเลย
  • คงไม่ว่ากัน
  • สบายดีนะคะ

สวัสดีครับคุณ  Tyranos  ถ้า พูดซิถีบ : Positive  เช่นนนี้เราเราควรจะนิ่งๆ ไว้นะครับ ;) 

ซาหวัดดี มะขามอ่อน/ครูมิม เหนื่อยใจก็ต้องพักใจ เหนื่อยกายก็ต้องพักกายนะครับ :)

+ สวัสดีค่ะน้องกวิน....

+ ไม่ได้เข้ามาทักทายเสียหลายวันค่ะ...

+ กำลังพ่ายอยู่ค่ะ...แต่ไม่รู้ว่าจะถึงฝั่งเมื่อไหร่.....

+ ในบทบาทก็ได้พายส่งลูก ๆ ให้ถึงฝั่งไปหลายคน...

+ แต่อย่างที่ว่า

๏อีกฝั่งหนึ่งนะลูกระวังระไว แม้สดใสแต่ต้องไม่มองข้าม

เป็นฝั่งแห่งชีวิตต้องติดตาม มีทุกความไม่รู้ให้หนูลอง

๏มีสติ มีใจ ในทุกถ้อย ทุกก้าวค่อยครวญคิดอย่าผิดสอง

แม่อยู่ฝั่ง(ทาง)นี้มีแต่มอง ขอคุ้มครองด้วยรักที่ไม่มีคลาย

+ ครูอ๋อยยังคงต้องพายเรือส่งใครอีกมากมายต่อไป...ครูอ๋อยจะถึงฝั่งของตัวเองเมื่อลมหายใจสุดท้ายดับลง

+ คิดถึงค่ะ

สวัสดีครับพี่อ่อย (แอมแปร์) คุณแม่มาเองเลยนะครับ (แม่พิมพ์) ขอเป็นกำลังใจให้ เรือจ้าง บรรทุก นักเรียนข้ามไปถึงยังฟั่ง โพธิยาลัย นะครับ สู้ๆ คิดถึงเสมอๆ เช่นกันครับ :)

ตามพี่คนตัดไม้มาอ่านบ้างค่ะ

ติดใจกัลยาณมิตร 4 จำพวกค่ะ

1.เฉยๆ เห็นเพื่อน เก้ๆ กังๆ อยู่ ตัวเองก็อยู่บนฝั่ง
2.เห็นเพื่อน ยังเก้ๆ กังๆ ก็ช่วยถีบ เอ้ย ผลัก เอ้ย ผลักดัน ส่งเสริมให้ลงเรือ ลงแพ แล้วรีบจ้ำพาย (ตัวเองก็ยังอยู่บนฝั่ง)
3.ลงเรือ ลงแพ แล้วพายให้เพื่อนดูก่อน พอไปถึงฝั่งโน้น แล้วจึงกลับมาชวนเพื่อนไปฝั่งโน้นด้วยกัน
4.ลงเรือ ลงแพ แล้วพายให้เพื่อนดูก่อน พอไปถึงฝั่งโน้นแล้ว กลับมาก็ทำเฉยๆ เสีย ไม่ได้ผลัก ถีบ (พูดซิถีบ :positive) ดึง หรือดัน ให้เพื่อนลงเรือลงแพแล้วจ้ำพาย

กลับไปนั่งคิดก่อนว่า...เราจะเป็นกัลยาณมิตรพวกไหนดี...แต่ที่แน่ ๆ พวก (พูดซิถีบ :positive) น่าจะดีนะคะ

           (^__^)

สวัสดีค่ะ คุณกวิน

มาตามคำชักชวนค่ะ ไม่มีเรือพายมา แต่ใส่เสื้อชูชีพมาตามคำเตือนของคุณกวิน ไหน ๆ ก็ใส่เสื้อชูชีพมาแล้ว ใบไม้ขอใส่เสื้อชูชีพแล้วใช้มือว่ายตะกายเข้าหาฝั่ง แม้ไปยังไม่ถึงแต่อย่างน้อยก็ไม่จมค่ะ ฮ่า..ฮ่า..

ขอบคุณนะคะที่ชวนให้ใส่เสื้อชูชีพมาก่อน ไม่งั้นป่านนี้จมน้ำไปแล้ว..^_^..

สวัสดีครับ . คนไม่มีราก 

กลับไปนั่งคิดก่อนว่า...เราจะเป็นกัลยาณมิตรพวกไหนดี...แต่ที่แน่ ๆ พวก (พูดซิถีบ :positive) น่าจะดีนะคะ

ลูกถีบหลวงปู่ชา : เรื่องมีอยู่ว่ามีลูกศิษย์ที่เป็นพระฝรั่งองค์หนึ่ง พระอาจารย์ญาณธัมโม ชาวออสเตรเลีย เล่าให้ฟังว่า "วันหนึ่ง อาตมามีเรื่องขัดใจกับพระรูปหนึ่ง รู้สึกโกรธ หงุดหงิดอยู่ทั้งวัน รุ่งเช้าไปบิณฑบาตก็เดินคิดไปตลอดทางขากลับเข้าวัด พอดีเดินสวนทางกับหลวงพ่อ ท่านยิ้มและทักทายเป็นภาษาอังกฤษว่ากู๊ด มอร์นิ่ง!!! ซึ่งทำให้อารมณ์ของอาตมาเปลี่ยนทันที ที่กำลังขุ่นมัวหงุดหงิด กลับเบิกบานปลื้มปิติที่หลวงพ่อทักเรา ถึงเวลาสวดมนตร์เย็นทำวัด หลวงพ่อให้อาตมาเข้าไปอุปัฏฐากถวายการนวดที่กุฏิของท่านเป็นการส่วนตัว อาตมารู้สึกตื่นเต้นดีใจมากกับโอกาสใกล้ชิดอยู่สองต่อสองที่หาได้ยากอย่างนั้น แต่ขณะที่กำลังถวายการนวดอย่างตั้งอกตั้งใจและปลื้มปิติ ทันใดนั้นเอง อย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว หลวงพ่อก็ถีบเปรี้ยงเข้าที่ยอดอกซึ่งกำลังพองโตด้วยความรู้สึกภาคภูมิของอาตมาจนล้มก้นกระแทก แล้วท่านก็ตำหนิว่า "จิตใจไม่มั่นคง พอไม่ได้ดังใจก็ขุ่นเคืองหงุดหงิด เมื่อได้ตามปรารถนาก็ฟูฟ่อง" ผมฟังท่านดุไปหลายๆ อย่างแล้วร้องให้เลยไม่ใช่เพราะโกรธหรือเสียใจ แต่เพราะซาบซึ้งในพระคุณของท่าน หลวงพ่อเมตตามากที่ช่วยชี้กิเลสของเรา ไม่เช่นนั้นเราก็คงมือบอดมองไม่เห็น คงเป็นคนหลงอารมณ์ไปอีกนาน" (เรื่องนี้ หารายละเอียดอ่านได้ในหนังสืออุปลมณี (เล่มละ 300 : หน้า 363) ปล. #นิกายเซ็นจะใช้การตีเพื่อเรียกสติ แต่หลวงปู่ชามาแปลกกว่าอีก# รักต้องถึบ : กัลยาณมิตร คงไม่ตี ไม่ถีบกันถึงตาย เป็นการตี การถีบเพื่อเรียกสติ ส่วนจะ ตื่นฟื้นคืนสติหรือไม่ อยู่ที่บุญทำกรรมแต่ง น้อ..(แต่ผมตื่นแล้ว ใครไม่ต้องมาถีบผมนะ คิคิ) 

สวัสดีครับคุณ ใบไม้ย้อนแสง  ตอบคนไม่มีรากซะยาวเหนื่อยเลย พอจะตอบคุณใบไม้ หมดแรง ว่ายต่อไป สู้ๆ นะครับ ถ้าเป็นอะไรไป ผมพร้อมที่จะอาสา ปฐมพยาบาลเบื้องต้นเสมอๆ :) อะจึ๋ย...

สวัสดีค่ะ คุณกวิน....

พี่อยากเล่าเรื่องจริงของชีวิตพอเป็นเรื่องขอคิดด้วยคน..พี่มีญาติคนหนึ่งมีลูกชายที่แสนน่ารักเติบโตมาด้วยความรักจากพ่อแม่..1เดือนผ่านไป...ลูกชายตัวน้อยป่วย มีไข้สูงพ่อแม่พาเข้ารักษาในโรงพยาบาล..แพทย์วินิจฉัยว่าเป็น ปอดอักเสบ ให้การเยียวยาอย่างเต็มที่ แต่หนูน้อยอาการไม่ดีขึ้น  จนแพทย์ใส่ท่อช่วยหายใจและใส่เครื่องช่วยหายใจ..พ่อหมดหวัง แม่นั่งร้องไห้ ได้แต่สวดมนตร์ ภาวนาขอให้ลูกรอดชีวิต   และแล้วปาฏิหาริย์มีจริง  ลูกมีอาการดีขึ้นเรื่อยๆจนสามารถหายใจได้เองและแพทย์อนุญาตให้กลับบ้าน  รวมวันรักษา 1เดือน  จากนั้นลูกน้อยก็โตวันโตคืนจากวันเป็นเดือนๆเป็นปี แต่พัฒนาการทางสมองช้ามาก   สมัยก่อนการแพทย์ยังไม่เจริญการดูแลเด็กที่มีพัฒนาการผิดปกติจึงอยู่ในมือแม่สืบมา....น่าเศร้า  ลกชายตัวโตรูปหล่อ แต่มีพัฒนาการทางสมองเท่ากับเด็ก3ขวบ...ช่วยเหลือตัวเองได้น้อย..แม่ต้องเป็นภาระเลี้ยงดูตลอดมา  ในขณะที่พ่อห่างออกไปเพราะไปทำงานนอกบ้าน  แม่ต้องดูแลลูกอาบน้ำป้อนข้าวพูดคุยกล่อมนอนพาเดินพานั่งเล่านิทานเป็นทุกอย่างที่ลูกขาดไปไม่มีวันบ่นไม่มีวันเบื่อแทบไม่ให้ลูก

 

คลาดจากลานสายตาได้เลย แม้แม่ไปวัดก็ต้องรีบกลับมา  กลัวลูกจะพลัดตกหกล้ม...เวลาแสนเนิ่นนานผ่านไป..พ่อเกษียณจึงย้ายครอบครัวมาอยู่ชนบท..ลูกชายหกล้มขาหัก...แพทย์ใส่เฝือกไว้ และให้กลับบ้านด้วยความที่ตัวโตมาก ปวดขาแทบไม่ขยับตัว และไม่ให้ความร่วมมือร้องไห้ตลอดเวลาพอแม่ให้ยาแก้ปวดอาการดีขึ้นจึงปล่อยให้หลับโดยไม่ได้รบกวนพลิกตะแคงตัวให้  กว่าจะรู้ก็เกิดแผลกดทับตามปุ่มกระดูกมากมาย  แผลลุกลามกินลึกเป็นที่น่าเวทนาอย่างยิ่งลูกเจ็บปวดทรมานแม่เจ็บปวดมากกว่า ไปรักษาที่โรงพยาบาล  แพทย์ทำการตกแต่งแผลและสอนวิธีการทำแผลให้แม่กลับมาดูแลต่อที่บ้าน  วันหนึ่งพี่มีโอกาสไปเยี่ยม เห็นแล้วน้ำตาตก  แม่แก่ๆมีโรคประจำตัวคือเบาหวานความดัน  ดูแลทำแผลให้ลูกอย่างดีมีฝีมือสวยงาม ทำด้วยใจจริงๆ  ได้พูดคุยไต่ถามความเป็นมาเป็นไป  มีคำพูดของแม่ที่โดนมากๆคือ แม้แม่รู้สักนิดว่าการไม่พลิกตะแคงตัวลูกในชั่วเวลาที่ลูกนอนหลับจะทำให้เกิดแผลกดทับขนาดใหญ่และน่ากลัวขนาดนี้แม่คงไม่ยอมให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน....สายเกินไป  แผลมีการติดเชื้อ..แผลใหญ่เกินไปที่จะดูแลที่บ้านอาการลูกทรุดลง...มีไข้สูงซึมลง..และจากแม่ไปอย่างไม่มีวันกลับ...อ้อมกอดที่ไม่มีลูกให้กอดช่างหงอยเหงาอ้างว้างแม่เลี้ยงดูลูกมา33ปี  แม่จะอยู่ต่อไปอย่างไร...แต่เหนือสิ่งอื่นใดลูกชายแม่คนนี้ไม่เคยก่อกรรมทำเวร..มดสักตัวก็ไม่เคยฆ่าขอให้ลูกไปดี...ไปสู่สัมปรายภพ หลับให้สบายเถิดลูกรักแม่ส่งลูกถึงฝั่งแล้ว...

......แม่ยิ่งใหญ่จริงๆไม่ธรรมดาเลย  ขอระลึกรู้บุญคุณของแม่...ทุกๆคนในโลกนี้ค่ะ...เรือลำนี้ไม่ไช่เรือจ้างค่ะ...

สวัสดีครับพี่นุส nussa-udon  ก่อนอื่นต้องขอกล่าวแสดงความเสียใจ ขอยก บทความเรื่อง ธิดาช่างหูก โดยอาจารย์วศิน อินทสระ  มาตอบเพื่อปลอบประโลมผู้ที่กำลังทุกข์โศกเพราะภัยแห่ง พญามัจจุราช นะครับ

 

พระศาสดาทรงปลอบนายช่างหูกว่า "อย่าเศร้าโศกเลย ในสังสารวัฏอันมีเบื้องต้น และเบื้องปลาย อันบุคคลไม่อาจรู้ได้นี้ น้ำตาของผู้ที่หลั่งออกมา เพราะมรณกรรมแห่งปิยชนที่รัก มีธิดาเป็นต้นนั้น มีประมาณยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทรเสียอีก ดูก่อน เปสักกะ ท่านจงบรรเทาความโศกเสียเถิด สังสารวัฏอันยาวนานนี้ระดะไปด้วยความทุกข์นานาประการ สุดที่ใครจะกำหนดได้ เช่น ความทุกข์ในการแสวงหาอาหาร ความทุกข์เพราะความป่วยไข้ ความทุกข์เพราะความชรา ความทุกข์เพราะการวิวาทกัน ความทุกข์เพราะกิเลสเผาผลาญ ความทุกข์เพราะพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักเริงใจ ความทุกข์เพราะไม่ได้สัดและสังขารตามปรารถนา และความทุกข์เพราะต้องบริหารขันธ์คือร่างกาย อันเป็นเหมือนกับเด็กอ่อนอยู่เสมอนี้ ดูก่อน เปสักกะ ทางแห่งสังสารวัฏเป็นทางที่น่ากลัว เพราะมีภัยต่างๆ เสมือนบุคคลที่หลงเข้าสู่ป่าลึก ซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด จึงควรหาทางออกจากป่าคือสังสารวัฏนี้ เราตถาคตได้เดินทางออกจากสังสารวัฏแล้ว และชักชวนคนทั้งหลายให้เดินทางออกด้วย บัดนี้ ธิดาของท่านได้สำเร็จโสดาปัตติผลแล้ว ได้เห็นทางออกจากสังสารวัฏแล้ว เธอมีคติที่แน่นอนไม่ตกต่ำ ท่านเบาใจเสียเถิด"


การพิจารณามรณานุสติ และพยาม พิจารณา ไตรลักษณ์ จึงมีความจำเป็น ด้วยประการฉะนี้ว่ามั้ยครับ :)

สวัสดีค่ะ

สวัสดีค่ะ

* ฝากเจ้าตัวนี้ข้ามไปด้วยนะคะ

* สนามหญ้านี้คนไม่มีรากกรุณานำไปปูไว้ที่บ้านครูพรรณาค่ะ

S6002587

* เมื่อวานไปกินข้าวกับ(และ)กับ(ข้าว) ที่ร้านเรือนแพขากลับฝนตกพรำๆ เห็นยายใส่หมวกพายเรือในเรือมีร่มกางไว้ ๑ คัน ในร่มมีเด็กเล็กนอนอยู่ ๑ คน ...

* คิดถึงข้ามภพของคุณกวินทรากร

* ครูพรรณาขอแค่ครบพล่ามก่อนนะคะ..ข้ามภพไปแล้วกลัวกลับภพไม่ถูกค่ะ

* อิอิ มาแซว...ดีใจที่ net ตึก ๕ ใช้งานได้ ..หลังจากติดขัดมา ๑๐ กว่าวัน

* ขอให้สุขกายสุขใจนะคะ

ขอบคุณคุณพี่อาจารย์พรรณามากๆ ครับ  เห็นหอยทากแล้วทำให้นึกถึง เมนูอาหารฝรั่งเศส ซึ่งหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ: คนเก็บหอย (ทาก) ; 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ) อรรถาธิบายไว้ความว่า หอยทากสวนสีน้ำตาลที่มีอยู่ทั่วไป รู้จักกันดีในชื่อ 'ฮีลิกซ์ แอสเพอร์ซา มูลเลอร์' แต่ในฝรั่งเศสจะรู้จักกันดีในชื่อ 'เปอตีต์ส กรีส์' (หอยทากตัวเล็กสีเทา) แต่มีราคาไม่สูงนักเมื่อเทียบกับหอยทากขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า 'ฮีลิกซ์ โพมาเทีย' ซึ่งรู้จักกันดีในชื่อ 'เอสคาร์โกต์ส เดอ บูร์กกอนย์' (หอยทากเบอร์กันดี) ทั้งนี้หอยทากถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งในเมนูอาหารขึ้นชื่อของฝรั่งเศสที่ให้แคลเซียมสูง ขณะที่มีไขมันและพลังงานต่ำ (ยกเว้นการประกอบอาหารในแบบดั้งเดิมที่มีเนย และกระเทียม) โดยในร้านอาหารจะมีคีมขนาดเล็กจัดเตรียมไว้ให้ คนที่รับประทานก็จะใช้คีมนั้นคีบเปลือกหอยไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ถือส้อมเล็กๆ เพื่อดึงส่วนเนื้อด้านในของเปลือกหอยออกมา 

สวัสดีค่ะ

* ขอบคุณที่แนะนำอาหารจานเด็ด

* มีแคลเซี่ยมสูง เหมาะกับคนแก่เน้อะ

* ถ้าคุณกวินทรากรมีโอกาสได้ชิมอย่าลืมส่งรูปมาอวดกันบ้างนะคะ

S6002592

สวัสดีครับคุณพี่อาจารย์พรรณา ผมว่ากินหอยแคลง หอยนางลม ไปพลางๆ กันก่อนดีกว่านะครับพ้ม

พายเรือ/นั่งเรือ ภาษาปักษ์ใต้บ้านผมเรียก "เขเรือ" เพลงของมาลีฮวนนา

กวิน คุณคือ blog ที่น่าสนใจ ....เวลานี้ ขอเป็นสมาชิกเพื่ออ่านด้วยคน

สวัสดีครับคุณพี่ Suchet Chookong ขอบคุณสำหรับ ภาษาใต้ครับ เขเรือ/ขี่เรือ ได้ความรู้ทางภาษาเพิ่มเติมดีจังเลยนะครับ ขอบคุณมากๆ ยินดีครับที่ ให้เกียรติ ติดตามอ่าน ขอบคุณครับ

อ่านศัพท์บาลีพุทธศาสนสุภาษิตที่น่าสนใจ....วิเคราะห์ศัพท์ สมุททะ เลยได้รู้คำที่เป็นทั้งอุปสรรค(นำหน้า) รากศัพท์ และปัจจัย ก็พอมีพื้นฐานอยู่บ้าง    แต่ช่วยวิเคราะห์ปัญหาที่ตอบยากของเด็ก ป.5 คนหนึ่งให้ที่   วันหนึ่ง ครูSuchet สอนเด็กเรื่องพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็พูดไป" พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ทรงชนะมาร ........." พูดอีกยาวจนจบคาบ   เด็ก ป.5 ลุกขึ้นถามครูว่า  "ไหนครูเคยบอกว่าแพ้เป็นพระชนะเป็นมารไง"  แล้วที่พระพุทธเจ้าชนะมาร พระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่พระนะซิ  แสดงว่าเป็นอภิมหามารแน่เลย .......  คิดว่าเด็กคนนี้หัวคิดไม่ธรรมดา..... ถ้ากวินเป็นครูจะตอบเขาว่าอย่างไร

หรือว่าไม่ตอบ แบบอย่างวิธีที่พระพุทธเจ้าใช้กับบางปัญหา 

 

สวัสดีครับพี่ครูโย่ง พอดีผมกำลัง แก้ๆ คำผิด และเน้นสีข้อความเพื่อให้ อ่านเข้าใจง่ายนะครับ ขอบคุณที่มาชวนครับ

ตอบ : สวัสดีครับอาจารย์  Suchet Chookong ผมเคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในบทความ วิเคราะห์กาพย์กลอน การเมือง 

พญามาร เป็น บุคลาธิษฐาน (Personification) ซึ่งในสมัยก่อนกวีใช้ในวงแคบๆ ส่วนใหญ่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาเช่น เมื่อจะกล่าวถึง พระพุทธเจ้ามีชัยชำนะเหนือพญามาร ก็กล่าว ไว้เป็น วสันตดิลกฉันท์ 14 ความว่า


พาหุงสะหัสสะมะภินิม      มิตะสาวุธันตัง
ครีเมขะลัง อุทิตะโฆ        ระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา          ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เม      ชะยะมังคะลานิ

ถอดความได้ว่า

มื่อครั้ง พญามารเนรมิตแขน 1,000 แขน ถืออาวุธครบมือ
ขี่ช้างครีเมขละ สะพรึบพร้อมด้วยกองทัพอันน่าสะพรึงกลัว
พระจอมมุนีทรงชนะด้วยทานบารมีเป็นต้น
ด้วยพระเดชนั้น ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า



พญามาร ในที่นี้ก็คือ กิเลส ความฟุ้งซ่าน ความท้อถอย ในจิตใจ ของพระพุทธองค์ แต่กวี ได้บรรยาย ถึง กิเลส ให้ดูประหนึ่งว่ามี ชีวิต จิตใจ ฉะนั้น พญามาร ในที่นี้ จึงเป็น บุคลาธิษฐาน ของกวีนั่นเอง คือบรรยาย ถึง กิเลส ความฟุ้งซ่าน ความท้อถอย (ใช้โวหารพูดถึงสิ่งไม่มีชีวิต ให้เหมือนว่ามีชีวิต) กิเลส เมื่อมีชีวิตจิตใจมีตัวมีตน เราจึงรู้จักในนาม พญามาร นั่นเอง 

ส่วนพระแม่ธรณี บีบมวยผม (แต่ใน ฉันท์ 14 มิได้กล่าวถึง) ผู้ซึ่งมาช่วย บำราบพญามาร ก็คือบุคคลาฐิษฐาน ของความหนักแน่นในจิตใจแห่งผู้ปฏิบัติธรรม เมื่อมีความหนักแน่น เฉกเช่น ผืนธรณี ก็ย่อมที่จะเอาชนะ กิเลส ในตัวในตนได้ในที่สุด

ส่วนสำนวนแพ้เป็นพระชนะเป็นมารนั้น ขออ้างถึงบทความ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช และ บะโช มะทสึโอะ ที่ว่า 

หลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ด้านที่ 1 :

พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์       แม่กูชื่อนางเสือง
พี่กูชื่อบานเมือง               ตูพี่น้องท้องเดียวห้าคน
ผู้ชายสาม ผู้หญิงสอง       พี่เผือผู้อ้ายตายจากเผือเตียมแต่ยังเล็ก
เมื่อกูขึ้นใหญ่ได้สิบเก้าเข้า


(สิบเก้าเข้า คือ สิบเก้าข้าว แปลว่า 19 ฝน 19 หนาว ทำนาข้าวมา 19 ครั้ง/19 ขวบ กรณีการยืดหดของกระสวนเสียงกรณีนี้ คล้ายกับกรณีคนภาคกลาง ออกเสียงเรียกควายว่าควาย แต่คนอีสานจะออกเสียงเรียก ควายว่า ข้วย นั่นเอง )

ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดมาท่เมืองตาก   พ่อกูไปรบขุนสามชนหัวซ้าย
ขุนสามชนขับมาหัวขวา                     ขุนสามชนเกลื่อนเข้า
ไพร่ฟ้าหน้าใส                                 พ่อกู หนีญญ่ายพ่ายจะแจ
กูบ่หนี กูขี่ช้างเบิก*พล                        กูขับเข้าก่อนพ่อกู
กูต่อช้างด้วยขุนสามชน                     ตนกูพุ่งช้างขุนสามชนตัวชื่อมาสเมืองแพ้ **



*สตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ (Prof.George Coedès) ถอดความไว้ว่า "กูขี่ช้างเนกพล" (คำว่า เนกพล=เนกพล=มีกำลังมากกว่าหนึ่ง คำว่า อเนกพล กลายเป็น เนกพล นั้นก็น่าจะมาจาก การตัดเสียง (Chipping) ตามหลักนิรุกติศาสตร์ (philology) คล้ายกรณีคำว่า  อนุช/อนุชา ถูกตัดเสียง เหลือ นุช หรือ อัญชุลี/อัญชลี ถูกตัดเสียงเหลือ ชลี/ชุลี) "กูขี่ช้างเนกพล" นี้ จิตร ภูมิศักดิ์ สันนิษฐานว่า น่าจะอ่านว่า "กูขี่ช้างเบิกพล"

**้ /แป๊ เป็นภาษาล้านนา หากคำว่าแพ้ อยู่ท้ายประโยค ต้องแปลว่า ชนะ ประโยคนี้ไม่ได้หมายความว่าช้างที่ชื่อมาสเมืองแพ้ แต่แปลว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เองเอาชนะช้างชื่อมาสเมืองได้) กรณีการใช้คำว่าแพ้ ในความหมายว่า ชนะ ยังมีให้เห็นในวงการศาสนาเช่น การแปลพระคาถาบาลี บทที่ว่า

ชยํ เวรํ ปสวติ       
ทุกฺขํ เสติ ปราชิโต
อุปสนฺโต สุขํ เสติ   
หิตฺวา ชยปราชยํ.
ขุ. ชา. มหา. 28/415 

อรรถกถาจารย์ (ล้านนา) ได้ถอดความไว้ว่า

ผู้แพ้(แป๊)ย่อมก่อเวร
ผู้พ่าย(ป๊าย)ย่อมอยู่เป็นทุกข์
ผู้ละความแพ้(แป๊)และความพ่าย(ป๊าย)เสีย
มีใจสงบระงับนั่นแหละเป็นสุข


*คำว่า "แพ้"/"แป๊" แปลว่า ชนะ "พ่าย"/"ป๊าย" แปลว่า ไม่ชนะ คำว่าแพ้ นี้เป็น ภาษาไทยโบราณ ซึ่งมีความหมายไม่ตรงกับที่ใช้ในปัจจุบัน )

สรุป :

แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร   นั้นมาจาก พระคาถาที่ว่า

ผู้ชนะย่อมก่อเวร
ผู้พ่ายแพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์
ผู้ละความชนะและความพ่ายแพ้เสียได้
มีใจสงบระงับนั่นแหละเป็นสุข

เมื่อคนสองคน มุ่งแต่จะเอาชนะกัน นั่นย่อมหมายถึง การแพ้ต่อ พญามาร (กิเลสในใจตน อันได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ)  ส่วนการจะเอาชนะพญามาร (กิเลสในใจตน อันได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ) ได้นั้น ทั้งสองฝ่าย ต้องยอมแพ้ ต่อกัน 

เมื่อยอมแพ้ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครอยากที่จะเอาชนะใคร ก็จะเกิดความสงบสุข เกิดสภาวะที่ เป็น วร/พระ (ประเสริฐ) นั่นเอง

ใครก็ตามที่เอาชนะ พญามารได้ ย่อม เป็น พระ (ประเสริฐ)
พระพุทธองค์ทรงชนะ พยามาร (กิเลสในใจตน อันได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ) จึงเป็น พระ (ประเสริฐ) ด้วยประการฉะนี้ ครับ

ขอบคุณครับ ได้ความรู้มากขึ้น น่าสนใจมาก .......ติดตามทุกครั้งที่เข้า Gotonoow

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท