จากความคิดเห็นของคุณ ณัฐวรรธน์ ในบันทึก อารมณ์ ความรู้สึกเป็นเพียงอาภรณ์ห่อหุ้มจิตใจ ที่ท่านบอกว่า
ผมคิดอยู่เสมอว่า ความรู้เหมือนหนังสือ
ใจหนูไปสะดุดที่คำว่า "หนังสือ"
ทำให้หนูคิดย้อนถึงตนเอง เมื่อก่อนเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาก ๆ ค่ะ อ่านทั้งนิยาย เรื่องสั้น สาระความรู้ การท่องเที่ยว การ์ตูน สารพัดรูปแบบโดยเฉพาะหลัง ๆ ก่อนที่จะรู้จักครู หนูหันมาอ่าน ที่เกี่ยวกับข้อคิดปรัชญา การพัฒนาตนเอง การปรับตัว การพัฒนาสมอง ธรรมะเล่มต่าง ๆ แค่ยังไม่ได้อ่านพระไตรปิฏกเป็นเรื่องเป็นราว
พอมารู้จักครู ท่านเอาหนังสือให้เล่มหนึ่งค่ะคือ อิทัปปัจจยตา เพราะตอนนั้นหนูไปบ้านท่านช่วงระหว่างรอท่านบอกว่าทำตัวตามสบาย หนังสือในตู้ก็อ่านได้ ระหว่างที่ครูทำธุระ หนูจึงหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน
พอท่านออกมาท่านบอกว่า "พี่ยกให้" หนูรู้สึกประหลาดใจแต่ก็ขอบพระคุณแล้วก็ถือกลับมาที่บ้าน
พอมาถึงที่บ้านหนูจริง ๆ หนูก็เปิดอ่านไม่กี่ครั้ง หลายเดือนผ่านไปก็อ่านไม่จบสักที เลยเล่าให้ครูฟังแบบ ขำ ๆ ว่า ตั้งแต่ได้หนังสือ อิทัปปัจจยตา จากครูไปหนูยังอ่านไม่จบเลยค่ะ ท่านเอ่ยกับหนูว่า
"เลิกอ่านซะ"
หนูรู้สึกงงเป็นไก่ตาแตกแล้วคิดว่า "อ้าว ถ้าไม่ให้หนูอ่านแล้วให้หนูมาทำไม"
ท่านบอกว่า
"อ่านหนังสือมากขนาดไหน จำได้มากขนาดไหน ก็ไม่พ้นทุกข์ แม้หนูจะจำพระไตรปิฏกได้ทั้งเล่ม เล่าได้เป็นฉาก ๆ วิเคราะห์ วิจารณ์ สารพัด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หนูพ้นทุกข์"
คำพูดนี้ของครูเรียกความสนใจหนูได้มากแล้วเกิดคำถามขึ้นมาในตอนนั้นว่า "แล้วหนูต้องทำยังไงหล่ะ ในใจหนูถามแบบนี้"
ครูเอ่ยต่อว่า
"ก็ต้องมีศีล มีสมาธิ ถึงจะมีปัญญา พ้นทุกข์"
ครานี้ใจหนูแฟ๊บลง เพราะอะไรรู้ไหมค่ะ ก็ตอนนั้นหน่ะ คนที่เข้าวัดใน มโนภาพของหนูคือ คนแก่ ๆ ใส่ชุดขาวไปถือศีลที่วัด แล้วก็กลับบ้านมาทะเลาะกะคนข้างบ้านเหมือนเดิม
แล้วใจหนูก็คิดขึ้นมาว่า "เฮอะ ๆ ถ้าต้องเป็นแบบนี้ ไม่เอาดีก่า"
แต่ตอนนั้นหนูก็ไม่ได้เอ่ย อะไรกับครูนะคะ แค่คิด ๆ และเก็บไปคิดต่อ เห็นไหมค่ะ หนูโง่ดักดาน ขนาดนี้เลยค่ะ ทั้ง ๆ ที่ ครูท่านเมตตามาก ๆ
พอมาเริ่มภาวนาจริงจังก็สักประมาณเมษายนปีนี้ เพราะต้องย้ายเข้ามาเมืองนนท์ เหมือนเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทุกอย่างใหม่หมด แถมครูมาส่งขึ้นรถอีก เป็นการเริ่มต้นที่รู้สึกดีค่ะ
หลังจากครูท่านให้เลิกอ่านหนังสือธรรมะ ท่านก็สอนให้หนู ดูใจตนเอง อ่านใจตนเอง แต่รู้อะไรไหมค่ะ ตอนนั้น หนูไม่รู้เรื่องอะไรเลย มีแต่ งง ๆ งง และ ก็งง
ท่านสอนให้หายใจ หนู ก็ยัง งง
สอนให้วิ่ง หนู ก็ วิ่งนะคะ แต่ก็ คิด ตลอด ให้หนูวิ่งทำไม
หลัง ๆมา ครู ให้เขียนบันทึก หนูงง อีกค่ะ เขียนทำไม อะ เขียนไม่เป็น
แล้วท่านก็สอนให้หนู ดูใจตนเอง อ่านใจตนเอง
มาถึงตอนนี้รู้สึกขอบพระคุณครูมาก ๆ ค่ะ ทั้งหมดทั้งมวลที่ครู ฝึกฝนมา ทำให้หนูก้าวมาได้ จนถึง ณ ทุกวันนี้
เข้าใจแล้วว่า ทำไมครูให้วาง ตำราลงก่อน แล้วให้มาภาวนา เพราะเมื่อก่อน อ่านยังไง ก็ ไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้พอมาอ่าน ก็จะเข้าใจมากขึ้น ๆ ว่าทุก ๆ สิ่งเนื่องแต่เหตุ ถ้าเราทำเหตุพอ ผล มันก็เกิดขึ้นเอง
เหมือนกับการปลูกข้าว ตอนที่เราดำนา ก็ยังไม่มีข้าว แต่เมื่อเราดูแล จนถึงพร้อม ข้าวออกรวง เราก็เก็ยเกี่ยวได้ มีข้าวให้เก็บเกี่ยวเป็นธรรมดา
ถ้าเราไม่ปลูกข้าว.....ก็ไม่มีข้าวให้โต.....ถ้าข้าวไม่โต...ก็ไม่มีข้าวให้เกี่ยว
แต่ถ้าเราปลูกข้าว....ดูแลจนข้าวโต.....ก็จะมีข้าวให้เก็บเกี่ยว...มันก็เป็นเช่นนี้เอง
สุดท้ายหนูก็จำไม่ได้ละ ว่าเริ่มภาวนาเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อไหร่แน่ ๆ แต่ก็เหมือนกับ แค่มีเรื่องกลุ้มใจ ไม่มีใครให้เล่าให้ฟัง ก็มาเล่าให้ครูฟัง โทรหาท่าน โทรถามท่าน หรือ ไม่ก็นัดเจอท่านที่ร้านนม ช่วงปีแรก ๆ เป็นแบบนี้แหละค่ะ
ลุ้มลุกคลุกคลาน กล้ำกลืน อดทน ทั้งครูและหนู จนพอจะหายใจเป็นบ้าง เสียสละเป็นบ้าง ถึงตอนนี้ถ้านับตั้งแต่รู้จักครูก็ 2 ปี แล้วค่ะ แต่ถ้าเริ่มจริงจังกับการภาวนาก็ 8 เดือนได้ อืม ครูท่านอดทนและมีเมตตาในการสั่งสอนหนูจริง ๆค่ะ
กราบขอบพระคุณครูค่ะ
มาอ่านเรื่องราวดีๆ อีกเช่นเคยครับ