เมื่อเราใกล้ชิดกัน เราจะได้ยินเสียงหัวใจของกันและกัน : ศิลปะกับความสมานฉันท์


ขออัลลอฮทรงประทานการชี้นำและความสำเร็จ แด่ผู้ใฝ่หาสันติภาพเพื่อสังคมที่เปี่ยมด้วยสันติสุขอันยั่งยืน

ไม่น่าเชื่อว่าสี่แยกสะพานควาย ใจกลางกรุงขนาดนั้นจะมีสตูดิโอเล็กๆของกลุ่มมะขามป้อมซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางจราจรที่คับคั่ง ผมเดินทางจากที่พักมาถึงจุดหมายในวันนี้ซึ่งหมายถึงสตูดิโอที่ผมกล่าวถึง 

 

ในช่วงบ่ายแก่ๆของวันจะมีการเปิดตัวหนังสือ The Art of Peace เขียนโดย Richard Barber นอกจากจะเปิดตัวหนังสือแล้ว ยังมีกิจกรรมเสวนาประเด็น "สันติภาพ" การแสดงละคร รวมถึงนั่งจิบชาฟังเพลงบรรเลงชนเผ่า โดยหนุ่มมูเสคี "ชิ สุวิชาน"ที่แรมทางมาจากดอยสูงเชียงใหม่และเขามาเพื่องานนี้

 

ผมมาก่อนเวลาเล็กน้อย บรรยากาศหน้าสตูดิโอคึกคักเลยทีเดียว มีหนุ่มสาวสวมชุดชนเผ่าปกาเกอะญอ สาวสวมชุดชาวใต้คลุมฮิญาบ ความหลากหลายและความสวยงามของวัฒนธรรม

แต่งแต้มบรรยากาศกลางกรุงให้น่าติดตามมากขึ้น

 

เดินผ่านเข้าไปยังสตูดิโอสีดำสนิท แอร์คอนดิชั่นเย็นฉ่ำ เก้าอี้หลากระดับกระจายเป็นกลุ่ม อีกด้านเป็นที่นั่งลดหลั่นเหมือนอัฒจรรย์ ผมเลือกโลเกชั่นตรงชั้นที่นั่งนี้ในการนั่งสัมผัสบรรยากาศรายรอบ ผู้คนมากหน้าหลายตาทยอยเข้ามานั่งพร้อมพรัก คาดคะเนด้วยสายตาประมาณ ๔๐ คน มีทั้งไทยและเทศ รวมถึงสาวหนุ่มที่แต่งชุดชนเผ่าเหล่านั้นด้วย

 

เป็นโอกาสดีที่ผมได้มาร่วมกิจกรรมกับคนดังในใจผมหลายท่าน อาทิ พระอาจารย์ไพศาล      วิสาโล พี่นก นิรมล เมธีสุวกุล และคุณจุ้ย สุ บุญเลี้ยง ในบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนที่เป็นมิตร ความเป็นกันเองกระจายทั่วห้องไม่ต่างกับความฉ่ำเย็นของแอร์ที่แบ่งปันให้กับทุกคนที่นี่โดยเท่าเทียม 

 

เมื่อม่านสีดำรอบทิศค่อยๆเลื่อนเข้าหากัน สตูดิโอก็มืดสนิท ...กิจกรรมแห่งสันติเริ่มต้นขึ้น อย่างน้อยเสียงหัวใจผมที่ตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆในวันนี้ เริ่มเต้นปกติ ความเงียบและความมืดของสตูดิโอ ทำให้หลายๆคนสงบมากขึ้น รวมทั้งผมด้วย

 

การนำเสนอกิจกรรมของชาวมะขามป้อม ที่ผ่านมาและปัจจุบัน ...สิ่งที่ได้เรียนรู้ และสิ่งที่ต้องเดินต่อไปของงานเพื่อสังคม ความงดงามของการทำงานอยู่ที่พวกเขาได้ทำสิ่งเล็กน้อย แต่สร้างคุณค่าทางจิตใจ บ่มเพาะความสุขผ่านงานศิลปะเพื่อรังสรรค์สังคมให้น่าอยู่และพูนสุข

 

เมื่อแสงไฟเริ่มหรี่ลง ...สาวทั้งสองคนในชุดพื้นเมืองชาวใต้  ค่อยๆเยื้องกรายออกมาจากม่านสีดำ แสงไฟของเวทีฉายไปยังที่เธอทั้งสองคน โดดเด่นท่ามกลางความมืด และความเงียบที่ได้ยินแค่เสียงลมหายใจของผู้คนรายล้อมเวที

 

"...เรื่องราวของครอบครัวที่มีชีวิตเติบโตมาจากเทือกเขาบูโด ชุมชนมุสลิมที่ความสวยงามและ ความพรั่งพร้อมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ทำให้วิถีพวกเขามีความสุข พอเพียงในสิ่งที่มี กิจกรรมของมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันเป็นสังคม มีความรักและเอื้ออาทรเหมือนสังคมทั่วไป

 

 

ลูกสาวกับความรักที่สดใสของวัยหนุ่มสาว ยะยาห์หนุ่มคนรักของเธอ เป็นความรักครั้งแรกที่ทำให้ลูกสาวของม๊ะ มีชีวิตชีวา และความหวังส่วนม๊ะ เธอก็รอคอยป๊ะที่ออกไปทำงานนอกบ้าน กลับมาเพื่อรับประทานข้าวพร้อมกัน เป็นครอบครัว

 

 

จากวันฟ้าใส ถึงวันที่มีพายุร้ายโหมกระหน่ำ ชุมชนของเธอ ครอบครัวของเธอ เสียงปืน เสียงประกาศเตือนภาวะฉุกเฉิน  เปรียบเสมือนพวกเขาอยู่ท่ามกลางสงครามก็ไม่ปาน สายฟ้าฟาดลงมาเสียงกึกก้องความรุนแรงของฟ้าพิโรธ ได้พรากชีวิตบางชีวิตจากไปนิรันดร์ หลายๆคนในหมู่บ้านไม่กลับมาอีกเลย

 

สาวน้อยรอคอยคนรักของเธอ ที่เดินออกไปที่เทือกเขาบูโด แต่แล้วเขาก็ไม่กลับมาอีกแล้ว ไม่มีวี่แววข่าวคราวของยะยาห์อีกเลย  หัวใจดวงน้อยๆที่มีความหวังเต็มเปี่ยม ที่หล่อเลี้ยงด้วยพลังของความรักของเธอจะเจ็บปวดเพียงไหน

 

สิ่งที่ไม่คาดคิด จู่ๆสายฟ้าแปลบปลาบนั่น ฟาดลงกลางครอบครัวเธอ ม๊ะ คุกเข่าก้มหน้าร่ำไห้ คร่ำครวญ โดยที่สาวน้อยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดนัก  แน่นอนว่า เหตุผลที่ม๊ะร้องไห้นั้น หมายถึงป๊ะก็จากไป ป๊ะไม่กลับมาแล้วเหมือนยะยาห์ที่เขาเองก็ไม่กลับมาอีกเช่นกัน...สาวน้อยสับสน เครียดและเสียใจ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเธอ

 

 

บทเพลงทำนองโศกบรรเลงโหยหวน เสียงกรีดลึกเข้าไปในโสต เสียงร่ำไห้ ปริ่มว่าจะขาดใจดังระงมในชุมชนเล็กๆแห่งนั้น..."

 

ผมไม่คิดเลยว่าละครเวทีเรื่องสั้นๆเช่นเรื่องนี้ จะตรึงให้ทุกคนจดจ้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รายรอบเวทีมีอารมณ์ร่วมกับนักแสดงอย่างปิดไม่อยู่ ไม่เฉพาะเสียงสะอื้นของตัวละครเท่านั้น เสียงสะอื้นของผู้ชมรายรอบผมก็ดังไม่แพ้กันอยู่ที่เสียงร่ำไห้นั้นจะดังขนาดไหน ให้ใช้ใจสัมผัสดู

 

ผมขยับแว่นตาหลายครั้ง ก้อนที่จุกตรงลำคอมันตื้อจนห้ามอาการไม่ไหว ปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาเงียบๆ เสียงสะอื้นกระซิกของเพื่อนที่รายล้อมผมก็ไม่ต่างกัน ...ทำไมมนุษย์ถึงโหดร้ายต่อกันถึงเพียงนี้ เขา(คนทำ) จะรู้หรือไม่ว่าการพลัดพราก การสูญเสียของบุคคลอันเป็นที่รัก เป็นเรื่องที่เจ็บปวดเหลือพรรณนาได้

 

ม่านสีดำเปิดให้แสงสว่างให้เห็นผู้คนที่เข้ามาร่วมงานเปิดตัวแจ่มชัดขึ้น

 

หลายคนยังซึมเศร้าและอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ยังถอนตัวไม่กลับ มีการสัมภาษณ์เด็กสองคนที่มาจากชายแดนใต้ถึงความรู้สึกที่ได้ชมละครเรื่องนี้จบ...เชื่อไหมครับว่า สาวน้อยคนแรกเธอสะอื้น ร่ำไห้โฮ เธอบอกว่าชีวิตเธอเหมือนละครเรื่องนี้ เธอสูญเสียป๊ะไปจากเหตุการณ์ไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ เธอบอกว่า "อยากกลับบ้าน"  อยากกลับไปหาแม่ของเธอที่ใต้

 

เสียงร้องไห้เสียงสะอื้นของเธอทำให้หลายคนในเวทีต้องเช็ดน้ำตาอีกครั้ง ผมแอบเห็นพี่นก (นิรมล เมธีสุวกุล) เธอก็น้ำตาคลอเบ้า คุณจุ้ย สุ บุญเลี้ยง ก็จับจ้องมองที่เพดาน   หลายคนพยายามเบือนสายตาจากสาวน้อยคนนี้

 

สะเทือนใจมาก ...นี่คือเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ !!! ละครกับชีวิตจริง เรื่องเดียวกัน ดังนั้นความเศร้าโศกที่เป็นเสมือนหมอกคลุมรอบๆเทือกเขาบูโดนั้น ในวันนี้ความรุนแรงในสายหมอกก็ไม่เคยจางไป

 

ถามว่าผมอ่อนแอไปหรือเปล่า...ที่ต้องร้องไห้ ผมขอบอกว่า ผมไม่เคยอ่อนแอกับเรื่องใด หากเรื่องนั้นไม่ได้โหดร้ายกับมนุษย์โดยตรง  โดยเฉพาะเรื่องราวที่มนุษย์ทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเอง....

 

เรารับรู้เรื่องราวของคนธรรมดาสามัญ การเป็นอยู่ของพวกเขา การภาวนาต่อองค์อัลเลาะห์  ความรัก วิถีที่ไม่ต่างไปจากสังคมอื่น ละครเวทีสั้นๆเรื่องนี้ ทำให้เราได้มองเห็นถึงชีวิต เห็นใบหน้าของคนที่ปรกติไม่ได้เห็นเวลาเรารับรู้จากสื่อทั่วไป

 

ผมขอให้กำลังใจสำหรับผู้คนที่สนใจ ใคร่ครวญเป็นธุระกับเรื่องราวความเจ็บปวดของคนเล็กคนน้อย ...การช่วยเหลือกัน การขบคิดหาหนทางในการแก้ไขปัญหา และแม้กระทั่งคนในแวดวงศิลปะที่มีความคิดว่า "ศิลปะช่วยให้เกิดสันติภาพ" และผมค่อนข้างจะเชื่อแบบนั้นจริงๆจากการได้ชมละครสั้นเรื่องนี้ อย่างน้อยสันติในใจของผมได้น้อมรับมาโดยสมบูรณ์ จากนี้ก็คิดว่า "หากเป็นเพื่อนร่วมโลกเราจะมีโอกาสได้ช่วยเหลือพวกเขาอย่างไร"

 

และสำหรับ อิสลามิกชน "ขออัลลอฮทรงประทานการชี้นำและความสำเร็จ แด่ผู้ใฝ่หาสันติภาพเพื่อสังคมที่เปี่ยมด้วยสันติสุขอันยั่งยืน"

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 175590เขียนเมื่อ 6 เมษายน 2008 18:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 พฤษภาคม 2012 19:33 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (37)
ละครสั้นที่ทำให้ผมต้องหลั่งน้ำตา...
ความพลัดพรากจากเหตุที่ไม่ควรเป็นความเจ็บปวดที่มนุษย์สุดที่จะทานทนได้

สวัสดีค่ะ ไม่มีคำบรรยายใดๆ  เพราะทุกสิ่งเกินคำบรรยาย  (คล้ายมีก้อนอะไรบางอย่างจุกที่ลำคอ)

ความพลัดพรากที่เคยเจอมาก็คือ พ่ออันเป็นที่รักของพวกเรา

 

" สะเทือนใจมาก ...นี่คือเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ !!! ละครกับชีวิตจริง เรื่องเดียวกัน "

ขอบคุณน้องเอกที่นำมาบันทึกไว้

สิ่งที่ประทับใจคือการได้ร่วมถ่ายรูปกับพี่สาว นิรมล เมธีสุวกุล
เป็นหญิงสาวในดวงใจของผมคนหนึ่งที่ผมแอบชื่นชมมานานแสนนาน

สวัสดีครับพี่ประไพพิศ* * *

ในเบื้องต้น ผมจะเขียนเรื่องราวของการเสวนาเล้กๆเกี่ยวกับ การเปิดตัวหนังสือ แต่ผมเห็นว่า ละครสั้น ที่ผมได้ชมก่อนที่จะเข้าการเสวนา ลึกซึ้งกินใจมาก ต้องนำมาเขียนก่อนครับ

ในบรรยากาศจริง ชวนให้ต้องหลั่งน้ำตา หากหัวใจไม่ด้านชาจนเกินไป

ผมอาจบรรยายไม่ได้ถึงความรู้สึกที่สัมผัส แต่ก็ได้เห็นบรรยากาศส่วนหนึ่งครับผม

ขอบคุณครับผมพี่ประไพพิศ

* * * ชื่อของพี่เป็นชื่อที่เพราะมากๆครับ

น้องกรรณกรรณิการ์ วิศิษฏ์โชติอังกูร

แน่นอนว่า ความพลัดพรากเป็นสิ่งที่มวลมนุษยชาติ ไม่อยากพบเจอ

ให้กำลังใจครับ

  • เศร้าจัง...ทำเอาสติเผลอไปพักหนึ่งเลยค่ะ...รู้สึกจุกคอ น้ำตาพาลจะไหลไปด้วยเลย...
  • ความพลัดพรากจากของรักเป็นทุกข์...และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แหววปฏิบัติธรรมด้วยกลัวว่าจะทุกข์มากเมื่อต้องพลัดพราก...(เตรียมไว้ก่อนค่ะ) นี่ขนาดเตรียมมาเยอะนะคะก็ยังหวั่นไหวอยู่มากเมื่อได้สัมผัสเรื่องราวแม้เพียงการอ่านบันทึก
  • ถ้าเป็นสมัยก่อนละก็ ยิ่งกว่านี้มากๆค่ะ ทั้งปวดศรีษะและท่อน้ำตาแตก...
  • เวลาที่เราได้สัมผัสกับเรื่องราวแบบนี้มักจะทำให้จิตใจของเราอ่อนน้อมต่อชีวิตและต่อจิตใจของคนอื่นมากขึ้น เพราะเราเห็นภาพคุณค่าแห่งชีวิตของพวกเขา ได้ยินเสียงภายในใจของเขา (ผิดกับเวลาทีเราหรือคนที่เป็นต้นเหตุแห่งความเจ็บปวดได้กระทำอะไรลงไป อันเนื่องมาจาก เราหรือเขาไม่ได้ยินเสียงภายในใจของคนอื่น ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม)
  • สุดท้ายจริงๆที่ไม่รู้จะพูดอะไรได้แล้วก็คือ...มนุษย์มีอกุศลกรรมเป็นของตนเองกันมากพอแล้ว...เราจะช่วยกันลดหย่อนกรรมนั้นได้อย่างไร...จะได้พ้นทุกข์ร่วมกัน...เพียงเริ่มคิดแค่นี้ก็พอจะเป็นการเยียวยารักษาใจได้บ้าง

หวัดดีค่ะ

และเรื่องจริงๆ ในชีวิตของคนใต้ก็ถูกนำเสนอโดยผ่านศิลปะ ถ้าใจของ"คนทำ"ให้เกิดเหตุการณ์อย่างในละคร จะใช้ใจสัมผัส(เห็นถึงใจเขาใจเรา...ที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก)เหมือนที่ใครๆ หลายคนสัมผัสได้บ้าง ก้อคงจะดีนะคะ ภาวนาเช่นนั้นเหมอนกันค่ะ ขอบคุณนะคะ

พี่หน่อยดอกแก้ว
ครับ

ขอบคุณพี่หน่อยมากๆ ที่มาเยี่ยมบันทึกผม ผมระลึกถึงพี่เสมอเลยนะครับ

สตูดิโอมะขามป้อมนี่หรือเปล่า ที่เป็นสถานที่เปิดตัวหนังสือพี่หน่อย "ช่วยหน่อยเปลี่ยนไต"

บรรยากาศสตูดิโอ และ ผู้คน เป็นมิตรและน่ารักมากๆครับผม

พี่หน่อยดูแลสุขภาพและมกำลังใจที่ดีนะครับ

 

 

ภาพสวยครับ...

เรื่องราวถ่ายทอดได้น่าประทับใจครับ...

ขอบคุณครับ...

 

พีเพิ่งกลับจากไปปฏิบัติธรรม พระอาจารย์สอนให้เราเตรียมตัว เตรียมพร้อม

ทุกคนต้องจากไป ไม่ช้าหรือเร็ว

แต่มาอ่านเรื่องนี้ยังสงสารและเศร้า

พี่จะต้องฝึกต่ออีกมากค่ะ

สวัสดีค่ะ  ย้อนกลับมาอ่านอีกรอบ  ไม่ทราบว่าเพราะอะไร เหมือนกันค่ะ 

สวัสดีครับคุณแหววพชรวรัตถ์ แสงทองชนาพงศ์

ผมมักหวั่นไหวเสมอครับ สำหรับความเจ็บปวดของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ละครสั้นเรื่องนี้ เป็นเหมือนสื่อที่ให้เราตระหนักถึงความสูญเสีย การพลัดพรากที่เกิดจากความโหดร้ายของมนุษย์เอง

ผมชอบเนื้อหาที่คุณแหววเขียนให้ข้อเสนอแนะจังครับ และเป็นเช่นนั้นจริงๆเป็นสิ่งที่ผมอยากอธิบาย

"เวลาที่เราได้สัมผัสกับเรื่องราวแบบนี้มักจะทำให้จิตใจของเราอ่อนน้อมต่อชีวิตและต่อจิตใจของคนอื่นมากขึ้น เพราะเราเห็นภาพคุณค่าแห่งชีวิตของพวกเขา ได้ยินเสียงภายในใจของเขา (ผิดกับเวลาทีเราหรือคนที่เป็นต้นเหตุแห่งความเจ็บปวดได้กระทำอะไรลงไป อันเนื่องมาจาก เราหรือเขาไม่ได้ยินเสียงภายในใจของคนอื่น ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม)

สุดท้ายจริงๆที่ไม่รู้จะพูดอะไรได้แล้วก็คือ...มนุษย์มีอกุศลกรรมเป็นของตนเองกันมากพอแล้ว...เราจะช่วยกันลดหย่อนกรรมนั้นได้อย่างไร...จะได้พ้นทุกข์ร่วมกัน...เพียงเริ่มคิดแค่นี้ก็พอจะเป็นการเยียวยารักษาใจได้บ้าง "

ขอบคุณจริงๆครับคุณแหวว กัลยาณมิตรที่ดีของผม

ธรรมะรักษาครับ

ใช่แล้วครับครูแอนLioness_ann ครับ

ผมยังนั่งคิดดูว่า หากคนทำให้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ ต้นเหตุของทุกข์ทั้งมวล ได้มานั่งชม และได้รู้สึกแบบที่พวกเรารู้สึก และก้าวเข้าไปใจอย่างที่ผู้สูญเสียเขารู้สึก...คงจะดี

ขอบคุณครับครูแอน

ดิเรก Mr.Direct ครับ

ผมได้ไปอ่านเรื่องราวที่เพื่อนบันทึกไปแล้ว เป็นแง่มุมอีกมุมที่งดงามครับ ขอบคุณครับสำหรับการเรียนรู้ร่วมกัน

ในโอกาสหน้ามีงาน-ทริปดีๆผมจะส่งข่าวล่วงหน้าครับ

ขอบคุณครับ

พูดไม่ออกค่ะ

คงเป็นแผลที่รักษาไม่หาย แค่บรรเทาความเจ็บปวดลงได้ชั่วขณะ..เท่านั้นเอง

ติดตามอ่าน เรื่องเดียวกัน เขียนโดย Mr.Direct    ที่นี่ครับ

"ศิลปะ" ช่วยให้เกิดสันติภาพได้จริงหรือ...

"...เราไม่ได้คาดหวังผลของการกระทำจากกิจกรรมต่าง ๆ ของเราเป็นผลที่ยิ่งใหญ่ แค่เราได้เห็นคนในชุมชนที่ประสบปัญหาได้ผ่อนคลายจากความทุกข์ที่พวกเขาได้รับอยู่ ได้เห็นคนในชุมชนกลุ่มหนึ่งหันหน้าเข้าหากัน ยอมรับกันมากขึ้น ร่วมด้วยช่วยกันในการหาแนวทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แค่นี้ก็ถือว่าสิ่งที่เราทำได้ผลและประสบผลสำเร็จแล้ว..."  

 

พี่ อุบล จ๋วงพานิช  ครับ

เราทุกข์กับสิ่งที่สูญเสียไป หมายถึงเรายังต้องพัฒนาตนเองในแง่ของธรรมะ การปฏิบัติตนมากขึ้น

แต่ขณะเดียวกัน การเศร้าโศกกับเรื่องราวโหดร้ายที่เกิดจากมนุษย์ด้วยกันเอง... หมายถึงเรามีจิตใจที่เอื้ออาทรกับสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา

จะทำให้จิตใจของเราอ่อนน้อมต่อชีวิตและต่อจิตใจของคนอื่นมากขึ้น เพราะเราเห็นภาพคุณค่าแห่งชีวิตของพวกเขา ได้ยินเสียงภายในใจของเขา (ผิดกับเวลาทีเราหรือคนที่เป็นต้นเหตุแห่งความเจ็บปวดได้กระทำอะไรลงไป อันเนื่องมาจาก เราหรือเขาไม่ได้ยินเสียงภายในใจของคนอื่น ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม)

ยกเอาข้อเสนอแนะของคุณแหววมาเติมเต็มอีกครั้งครับ

ขอบคุณพี่อุบลมากครับ

สวัสดีครับพี่ประไพพิศ

ขอบคุณครับที่ย้อนกลับมาอ่านอีกครั้ง...เป็นกำลังใจที่ดีสำหรับคนเขียนบันทึกครับ

สวัสดีครับ ครูเอ

ผมคิดว่าประสบการณ์สูญเสียแบบนี้ ครูเอ เข้าใจดี

ผมขอให้กำลังใจครับ

ขอบคุณมากครับที่ได้ร่วมความรู้สึกกับบทความดีๆ

สวัสดีค่ะคุณเอก

   พี่ก็เพิ่งเสียคุณแม่ไป เมื่อ 29 มี.ค.นี้เอง  สัจธรรมของชีวิต ... ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้    แต่การถูกทำร้ายจากคนกันเองนี่ ช่างโหดร้าย และน่าเศร้าใจค่ะ อยากเห็นความสงบสุขเกิดขึ้นกับทุกชุมชนค่ะ

ไม่เคยดูละครของกลุ่มมะขามป้อม แต่ที่น้องเอกถ่ายทอดออกมาสามารถรับรู้อารมณืได้ เคยชมละครกลุ่มกระจกเงา ง่ายๆไม่มีอุปกรณ์มากมายแต่ได้อารมณ์เหลือเกิน เมื่อไหร่มนุษย์จะเลิกเอาเปรียบ ทำร้ายกัน นะ....

ศิลปะถ่ายทอดได้ทั้งหายนะของสงครามและความงดงามของสันติภาพ....

ในขณะที่สงครามมิอาจสร้างสรรค์ศิลปะใดๆ

แต่สันติภาพคือศิลปะแห่งการดำรงชีวิตโดยแท้

และทุกชีวิตล้วนเป็นศิลปินในตัวเอง....

มอบแด่เจ้าของบล็อกและผู้อ่านทุกคนครับ

สวัสดีค่ะ คุณเอก

สองหนุ่มใจตรงกันเขียนเรื่องเดียวกัน แต่คนละแนว

เป็นเรื่องสะท้อนชีวิตจริงที่สะเทือนใจ อารมณ์ บรรยายได้เหมือนไปนั่งดูด้วยเลยค่ะ

ขอบคุณค่ะ

สวัสดีครับพี่ สิทธิรักษ์

สามารถอ่านบทความเดียวกันนี้ได้ที่ของ คุณดิเรกได้ด้วยนะครับ อาจมุมมองที่ต่าง ผมเองกำลังจะเขียนเนื้อหาที่เสวนาในบันทึกต่อไป บันทึกดิเรกอธิบายคลุมไปแล้วครับ

ละครสั้น- - -ผมประทับใจเป็นการส่วนตัวครับ

วันนี้ผมโทรติดต่อ ผู้ที่แสดง เพราะที่ทำงานผมต้องการละครเรื่องนี้เป็นเครื่องมือจุดประกายสำหรับผู้เข้าเรียนในหลักสูตร การจัดการความขัดแย้งครับ คาดว่าจะมีการแสดงอีกครั้งในเร็วๆนี้ เพื่อการนี้โดยเฉพาะ และอาจมีการบันทึกโดยสื่อซีดี

ขอบคุณครับ * ติดตามต่อไปครับ

พี่จุฑารัตน์

เป็นความพลัดพรากหนึ่งที่พี่จุฑารัตน์พบเจอ ผมขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ และขอให้คุณแม่ท่านไปสู่สุคติด้วยครับ

ผมขอให้กำลังใจพี่ด้วยนะครับ

 

 

 

พี่ อัยการอัยการชาวเกาะ ครับ

กลุ่มมะขามป้อม ก็ไม่ได้ใช้อุปกรณ์อะไรมากมายครับ เพียงผู้แสดงสองท่านที่ แอคติ้ง ใช้อารมณ์กับเรื่องราวที่เขาเป็นอยู่ ได้ดี จนทำใก้คนชมอินไปกับเนื้อเรื่อง

หลายคนหวาบไหว แอบเช็ดน้ำตา

ภายใต้ฐานคิดที่ว่า ทำอย่างไรให้ศิลปะช่วยให้เกิดสันติภาพ

ถามผมว่า ช่วยได้หรือไม่ ผมว่า เป็นเครื่องมือที่ดี และเหมาะสม กับประเด็นแบบนี้

ศิลปะทำให้เรามองผ่านหัวโขน เห็นหัวใจที่แท้จริงของมนุษย์ได้

 

ขอบคุณพี่อัยการมากๆครับ ดีใจมากๆครับที่ท่านย้ายไปอยู่เมืองภูเก็ตแล้ว

พี่ยอดดอย

ดีใจครับที่เห็นพี่อีกครั้ง การงานคงหนักพอสมควรนะครับ ออมสินคงโตขึ้นมาก

สำหรับงานเด็กที่ปางมะผ้า ผมก็ได้เห็นว่าพี่ใช้ "ศิลปะ" มาช่วยสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้เด็ก น่าสนใจมาก

ตอนนี้งานพัฒนาเด็กกำลังเดินทางไปอย่างไร?? ผมรู้จักคนทำงานด้านเด็กคนใหม่ที่ปาย โอกาสหน้าจะแนะนำให้รู้จักนะครับ

ขอบคุณครับ

พี่อุ๊a l i n l u x a n a =) ครับ

ผมกับดิเรกไปชมละครเรื่องนี้ด้วยกันครับ เพราะเขาทำงานไม่ไกลจากสถานที่จัดงานเปิดตัวหนังสือ และชวนเพื่อน ที่เรียนป.เอก ไปด้วยอีกท่านหนึ่งครับ ทั้งสองท่านได้ถ่ายทอดแง่มุมที่ชมด้วยกันออกมาอย่างน่าสนใจครับ

ผมอินกับละครเรื่องนี้มากครับ อย่างน้อยดูแล้วก็รู้สึกว่าทำไมมนุษย์เราช่างโหดร้ายกันเหลือเกิน (กลุ่มที่ทำให้เกิดเหตุการณ์) รู้สึกถึงความเจ็บปวดของผู้สูญเสียด้วย

ศิลปะเป้นทางเลือกของ การสร้างสันติภาพ อย่างน้อยผู้สัมผัสศิลปะก็มีใจที่อ่อนโยน เอื้ออาทร ผมเชื่อเช่นนั้นครับ

ขอบคุณมากครับผม

สะดุดใจกับชื่อบันทึก..ค่ะ..(คิดได้ไงคะนั่น..อิอิ)

อ่านแล้วก็ได้ข้อคิดนะคะ..

หากเราคิดว่า..ทุกชีวิตเป็นพี่น้องกัน.ความรุนแรงต่างๆก็คงจะไม่มี

สันติสุขก็คงจะเกิดขึ้นในหัวใจทุกดวง..

"ความรัก..และมิตรภาพ.เป็นสิ่งที่สวยงามและสัมผัสได้จริงๆ.."

ขอบคุณค่ะ..

 

สวัสดีครับ คุณครูแอ๊ว

ความใกล้ชิดทำให้เรารักกัน และพร้อมจะเอื้ออาทรกันได้ครับ และศิลปะทำให้เราใกล้ชิดกันครับ

เมื่อไหร่ก็ตามเราได้ยินเสียงหัวใจของกันและกัน แสดงถึงเรามองเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกันไปด้วย

เป็นประโยคที่ พระไพศาล กล่าวในเวทีเสวนาครับ

ขอบคุณครับผม

หัวเรื่องกุ๊กกิ๊ก ... แต่เนื้อหาเปี่ยมไปด้วยความเอื้ออาทรที่มนุษย์จะมีให้กันครับ

ขอบคุณครับ :)

สวัสดีครับ อ. Wasawat Deemarn

เป็นเรื่องจริงครับ หากเราใกล้กัน ใกล้ขนาดไหนนั้น ผมมองว่าเรารับรู้จังหวะการเต้นของหัวใจด้วยกัน หากขนาดนั้นแล้ว พลังของความใกล้ชิด ทำให้เกิดบรรยากาศดีๆของมิตรภาพครับ เส้นทางสู่ความปรองดองของคนในสังคม

เราฝันไว้ และ น่าจะมีวันนั้น

บ้านเมืองเราสันติสุขครับ

หวัดดีครับ

แวะมาเยี่ยมครับผมหายไปนานเลยครับช่วงนี้งานยุ่งครับผม แล้วคงได้ไปฟังเรื่องดีดีอีกนะครับ

ขอบคุณพี่  ประโยชน์  ครับ ผมไม่ได้เข้ามาบันทึกนี้นาน พอดีมาเขียนบทความเรื่อง สันติภาพ เลยกลับมาฟื้นบันทึกเก่าๆอีกครั้ง

ขอบคุณนะครับที่ไปร่วมกิจกรรมดีๆด้วยกันที่ มะขามป้อม มีกิจกรรมในโอกาสต่อไป จะติดต่อบอกข่าวอีกนะครับ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท