ภาพจาก http://www.nationsonline.org/maps/continents_map_sm.jpg
สวัสดีค่ะคุณเม้ง
ว่าด้วยสรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิดที่สำนักอนามัยฯ ได้นำหนังสือดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อใช้ประโยชน์ในงานของโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ ค่ะ
เดี๋ยวแวะมาเล่นใหม่นะคะ ^ ^..
ต่อค่ะ
สมุนไพรไทยทรงคุณค่านักค่ะ และเราโชคดีที่ประเทศเราปลูกอะไรก็ได้เป็นส่วนใหญ่ ถ้าเราเลี้ยงตัวเองได้ทำไมเราจะเลี้ยงโลกไม่ได้ ?..เพราะเราปิดประเทศเราก็ยังอยู่ได้นะคะ อาหารเรามีพอ
ว่างๆจะมาเล่นด้วยอีกทีนะคะ
สวัสดีครับคุณเบิร์ด
สวัสดีครับทุกท่าน
เื่มื่อเช้าลองค้นๆ ดู เกี่ยวกับโรคไมเกรน และการปวดหัวข้างเดียว เลยได้ข้อมูลจากญาติมิตร บอกว่า คนไทยเรามีผู้ป่วยเป็นไมเกรนประมาณ 17% ของประชากร
นั่นคือ คนไทยมีประมาณ 60 ล้านคน ปวดหัวข้างเดียวประมาณ 10 ล้านคน โอ้ พระธรรมชาติ...อะไรจะมากมายขนาดนี้ครับ
แล้วต่อไปมีโอกาสจะหนักหรือเพิ่มปริมาณมากขึ้นด้วยซิครับ แถมผู้หญิงมีโอกาสเสี่ยงจากการเป็นโรคปวดหัวข้างเดียวนี่มากกว่าชาย ประกอบกับการมีฮอร์โมนของผู้หญิงด้วย ซึ่งมีโอกาสทำให้ปวดมากกว่าชาย
โอ้โห... คนเรามีกันเพียงสมองเดียวเท่านั้น ริปวดหัวเสียอย่างนี้แล้วจะเอาสมองไหนมาคิดสิ่งดีๆ เพื่อประเทศชาติละครับเนี่ย...
แถมการปวดไมเกรน หรือปวดหัวข้างเดียวนี่ก็เหมือนกับว่าไม่มียาใดรักษาได้หายขาดด้วย และมีสิ่งเร้าในการปวดกันต่างๆ นาๆ ครับ
ที่ผมพบเจอที่เพื่อนๆ เป็นกัน มีสิ่งเร้าดังต่อไปนี้ เช่น
ขอบพระคุณมากๆ นะครับ สงสัยว่าโรคปวดหัวข้างเดียวนี่ควรจะต้องพิจารณากันด่วนนะครับ ก่อนที่คนไทยจะปวดหัวกันทั้งประเทศ
เพราะว่าตอนนี้มีเรื่องให้คนไทยต้องปวดหัวกันอีกมาก ตามแต่อายุและปัจจัยภายใน ภายนอก
ขอบพระคุณมากๆ นะครับ สำหรับข้อมูล
สมุนไพรรักษาไมเกรน
|
การดื่มเหล้าเบียร์ เมื่อมีอาการมึนเมาขึ้นมาแล้ว อาการ " ไมเกรน " ก็อาจจะเกิดมีขึ้นมาได้เช่น เดียวกัน
บางทีคนเราหิวมาก เพราะยังไม่ได้รับประทานอะไรเลยในอาหารมื้อเช้า หรือกลางวันเวลาผ่านพ้นไปนาน ๆ เข้าอาการ " ไมเกรน " ก็จะเกิดมีขึ้นได้เหมือนกัน
บางทีคนเราก็ยุ่งอยู่กับงานมากมาย สมองมึนซึมไปเลย เกิดอาการ " ไมเกรน " ขึ้นก็ได้อีกเช่นเดียวกัน
บางทีเมื่อคนเราอดนอนมาก นอนดึก อาการ " ไมเกรน " ก็เกิดมีขึ้นอีก ปวดศีรษะข้างเดียวได้ด้วย ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่ควรอดนอนดึก ๆ
ผู้ที่ป่วยเป็น "ไมเกรน" นี้ มักจะเป็นคนที่มีประสาทไวกว่าปกติ เกิดความรู้สึกสัมผัสรวดเร็วเกิดอารมณ์ได้ง่าย ๆ เรื่องราวอะไรแตะนิดแตะหน่อยเดียวก็เกิดอารมณ์ทันทียับยั้งไม่ได้
เรื่องเช่นนี้แต่ละคนจึงแตกต่างกัน ไม่เหมือนกัน
"ไมเกรน" นี้ แพทย์มีรายงานว่าพบมากในปัจจุบัน เพศหญิงป่วยมากกว่าเพศชาย ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม ย่อมป่วยเป็น" ไมเกรน" ได้ทั้งนั้น
จำเป็นจะต้องให้แพทย์ตรวจและให้คำแนะนำเสมอ
สมุนไพรต่าง ๆ ก็สามารถช่วยผู้ป่วยได้ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
มีพืชสมุนไพรหลายชนิดที่รักษา " ไมเกรน " ได้ดี ดังที่จะนำเอามาแนะนำต่อไปดังนี้ คือ
- กระเทียม
- ใบบัวบก
- ดอกแค
พืชสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดนี้ สามารถนำเอามาแก้อาการ " ไมเกรน " ได้ดีมาก ซึ่งได้ผลอย่างน่าพิศวงอย่างยิ่ง
กระเทียม
|
เอา "หัวกระเทียม" มาใช้เป็นยาแก้ อาการปวดศีรษะข้างเดียว หรือ " ไมเกรน" ได้อย่างชะงัดนัก
"หัวกระเทียม" ที่ใช้ในการปรุงอาหารต่าง ๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้แหละ เอามาแก้ "ไมเกรน" ได้เลย
วิธีการก็ได้แก่ เอา หัวกระเทียม มาแกะออกเป็นกลีบ ๆ เอามารับประทานกันน้ำพริกก็ได้ เอามาผัดกับผักก็ได้ รับประทานสด ๆ ก็ดี โดยรับประทานครั้งละ 10 กลีบทุก ๆ วัน
หรือจะเอา "กระเทียมแคปซูล" ก็ได้ เป็นกระเทียมที่บดละเอียดแล้ว เอามาบรรจุในแคปซูลกลืนกับน้ำสะอาดสะดวกสบาย
อาการปวดศรีษะข้างเดียวหรือ "ไมเกรน" ก็จะหายไปได้ในที่สุด
แต่จะต้องรับประทานทุกวันต่อเนื่องกันไป
ใบบัวบก
|
เอา " ใบบัวบก" มาเป็นยาสมุนไพรแก้ "ไมเกรน " ก็ได้อีกอย่างหนึ่ง
วิธีการก็คือเอามาทั้งเถา ใบและก้านใบรวมกันมาเลยเอามาล้างให้สะอาดเสียก่อน วิธีการทำเป็นยา เอาต้น เถา ใบบัวบกมาสัก 1 กิโลกรัม ตัดเป็นท่อนสั้น ๆ เอามาโขลกละเอียดหรือเอามาปั่นด้วยเครื่องปั่นไฟฟ้ากับน้ำสะอาด
ต่อจากนั้นเอกมาต้ม เติมน้ำลงไปพอสมควรให้ท่วมต้มไปสัก 5 นาที เมื่อเดือดแล้วก็ยกลงเอามารองบีบเอากากทิ้งไป
เอามาต้มอีกครั้งหนึ่ง ใส่เกลือป่นลงไปสัก 1 ช้อนชา เย็นแล้วดื่มเป็นยาได้ทันที ดื่มครั้งละ 1 แก้ว เช้า กลางวัน และเย็น
จะเติมน้ำตาลทรายลงไปด้วยเล็กน้อยพอหวานนิด ๆ ก็ได้
อาการ " ไมเกรน" ก็จะหายไปได้ในที่สุดเมื่อดื่มเป็นประจำแล้วประมาณ 1 สัปดาห์
"บัวบก " เป็นพืชสมุนไพรที่ดีมาก แก้ร้อนในกระหายน้ำก็ได้แก้ความดันโลหิตสูงก็ได้
อีกทั้งยังเอามาแก้ "ไมเกรน" หรืออาการปวดศีรษะข้างเดียวก็ยังได้อีกเลย
ดอกแค |
เอา "ดอกแค" ที่ปลูกกันโดยทั่วไปตามบริเวณบ้านเรือน มาเป็นยาแก้อาการปวดศีรษะข้างเดียวหรือ "ไมเกรน" ได้ดีอีกอย่างหนึ่ง
เอา "ดอกแค" ทั้งดอกมาล้างน้ำให้สะอาด เอามาลวกจิ้มน้ำพริกกะปิก็ได้ เป็นอาหารไปเลย
เอา "ดอกแค " มาต้มกับซี่โครงหมู เป็น แกงจืด ก็ได้อร่อยดีด้วยแล้วก็เป็นยาสมุนไพรที่ดีแก้ "ไมเกรน" ได้อีก
เอา "ดอกแค" มาผัดกุ้งสดรับประทานเป็นอาหารเป็นกับข้าวก็ได้ มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดี แถมยังเป็นยาแก้อาการปวดศีรษะข้างเดียวหรือ "ไมเกรน" ก็ได้ เอา "ดอกแค " มาปรุงเป็นแกงส้ม ก็ได้ หรือ แกงเหลืองก็ได้
อาการ " ไมเกรน" จะหายไปได้ในไม่กี่วันหลังจากรับประทาน ดอกแค ไปแล้ว อาหารที่เป็นสมุนไพรด้วยนั้นนับว่าเป็นประโยชน์ดีจริง ๆ
พืชสมุนไพรมากมายเอามาปรุงเป็นอาหาร เป็นกับข้าว เป็นอาหารที่ดีมีประโยชน์มากหลายยิ่งนัก เมื่อรู้จักเอามาใช้ประโยชน์ก็เป็นประโยชน์อย่างที่สุด
คุ้มค่าและมากด้วยของดี ๆ ไม่ใช่น้อยเลย
ที่มา... http://202.143.141.162/web_offline/srp/index2.htm
ขอบคุณน้อง.. นางสาวพรรัตน์ ศรีวัชรกาญจน์ ม . 5 / 11 เลขที่ 5 (ผู้จัดทำ)
โอ้..โห... พระธรรมชาติ...ยอดมากเลย สมุนไพรไทยครับ
สำหรับผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรน
ร่วมการจดบันทึกอาการของโรคไมเกรนดังนี้
แ้ล้วทดลองกับสมุนไพรเหล่านี้ร่วมด้วยนะครับ
สังเกตนอกรอบ....
สวัสดีค่ะ
สวัสดีครับพี่กั๊ต Gutjang
เว็บเพิ่มเติมครับ
ยังอยู่ค่ะ...^ - ^
สวัสดีครับพี่กั๊ต
สวัสดีปีใหม่ครับ
ขอมอบ link นี้เป็นของขวัญปีใหม่ครับ
http://www.rspg.thaigov.net/plants_data/pdata_03.htm
สมุนไพรที่ผมรู้จัก
สวัสดีครับคุณข้ามสีทันดร
สวัสดีค่ะคุณเม้ง มีความคิดดีๆมาชวนกันสร้างสรรค์อีกแล้ว ดีค่ะ เพราะความรู้เรื่องสมุนไพรไทยนั้นกระจัดกระจายมาก แถมยังมีชื่อเรียกแตกต่างกันตามถิ่น
คิดว่านอกจากรวบรวมความรู้ แหล่งความรู้แล้ว การส่งเสริมให้นำมาใช้ในชีวิตได้จริงยังต้องการการพัฒนากระบวนการอีกมาก ทั้งเรื่องความคิดหรือทัศนะและวิธีการใช้ หากเราสามารถทำได้ครบวงจร มีความรู้ มีแหล่งพืชสมุนไพร มีผู้ซึ่งมีประสบการณ์แนะนำวิธีใช้ได้ด้อย่างถูกต้องปลอดภัย เราจะประหยัดค่ายาจากต่างประเทศมหาศาลในการซื้อยาที่รักษาโรคธรรมดาๆ เช่นปวดหัว ตัวร้อนเป็นไข้ ท้องเสีย ผื่นคัน ริดสีดวง เบาหวาน ฯลฯ
ตัวอย่างเช่น กระบวนการและแนวทางการสังคายนาความรู้หมอเมืองล้านนา ที่ดร.ยิ่งยง เทาประเสริฐ แห่งม.ราชภัฏเชียงรายทำไว้ น่าชื่นชมและมีคุณค่ามากเลยค่ะ
อ่านบันทึกนี้ทำให้นึกถึงปราชญ์ชาวบ้านท่านหนึ่งที่พี่มีโอกาสได้รู้จักคือ "หมอกุ" อยู่ที่ระยอง ท่านบอกว่าพืชนั้นมีประโยชน์ทุกชนิด เป็นได้ทั้งสมุนไพรรักษาโรค และใช้ในการเกษตร เรื่องของท่านเป็นหนึ่งในเก้ากรณีศึกษาของพี่เพื่อดูกระบวนการบูรณาการความรู้ระหว่างภูมิปัญญาไทยกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ที่มุ่งการพัฒนาในแนวเศรษฐกิจพอเพียงและการพัฒนาที่ยั่งยืน บันทึกนี้ของคุณเม้งเป็นแรงบันดาลใจให้พี่ต้องเขียนเล่าเรื่องนี้ซะแล้วค่ะ
สวัสดีค่ะคุณเม้ง
เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ค่ะ เพราะเบิร์ดกำลังเดินเข้ามาเพื่อบอกว่า ดร.ยิ่งยง เทาประเสริฐของ ราชภัฎเชียงรายท่านศึกษาเกี่ยวกับแพทย์พื้นบ้านและภูมิปัญญาไทย ก็เห็นพี่นุชกล่าวถึงท่านไว้ในความเห็นก่อนหน้านี้
http://www.sedb.org/db09.html ท่านเขียนหนังสือด้วยนะคะ แล้วจะลองค้นดูอีกทีว่าอยู่ตรงไหนในชั้นหนังสือรกๆของเบิร์ด
ชื่อ ที่อยู่ท่านค่ะ ผศ.ดร.ยิ่งยง เทาประเสริฐ วิทยาลัยการแพทย์พื้นบ้าน มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย ๘๐ หมู่ 9 ต.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย ๕๗๐๑๐ โทร. ๐๕๓ – ๗๐๓ – ๓๘๘.
สวัสดีปีใหม่ครับ
ไม่รู้ว่าจะจำกันได้มั้ยเนี้ย
หายไปนานไปหน่อย
ก็ให้อยู่ดีมีสุขนะครับ
สวัสดีครับพี่คุณนายดอกเตอร์
สวัสดีครับคุณเบิร์ด
สวัสดีครับคุณ ตาหยู
สวัสดีครับพี่ Lin Hui
สวัสดีครับเม้ง
ผมมาช่วยขุดครับเป็นข้อมูลที่ อ.พูล มาแสดงความคิดเห็นไว้ใน http://gotoknow.org/blog/bansuanporpeang/113086
ผมค้นมาให้อ่านกันครับ
โคลงเคลง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Melastoma malabathricum L. subsp. malabathricum
วงศ์ : Melastomataceae
ชื่อสามัญ : Malabar melastome, melastoma, Indian-rhododendron
ชื่ออื่น : กะดูดุ (มลายู-ปัตตานี); กาดูโด๊ะ (มลายู-สตูล, ปัตตานี); โคลงเคลง, โคลงเคลงขี้นก, โคลงเคลงขี้หมา (ตราด); ซิซะโพ๊ะ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี); ตะลาเด๊าะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); เบร์, มะเหร, มังเคร่, มังเร้, สาเร, สำเร (ภาคใต้); มายะ (ชอง-ตราด); อ้า, อ้าหลวง (ภาคเหนือ)
สวัสดีครับโสบ้านสวนพอเพียง
ขอบคุณมากครับเพื่อน ผมเลยเอารูปมาฝากนะครับ และกราบขอบพระคุณ อ.พูลสวัสดิ์ ด้วยนะครับ
ต้นโคลงเคลง
ประโยชน์มากมายครับ ที่บ้านผม ใช้เคี้ยวดอกหรือผลแก้เป็นแผลในปากครับ
ขอบคุณมากๆ เลยนะครับ
ยังมีอีกเรื่องครับ ลูกใต้ใบ
สวัสดีครับโส
มีประโยชน์มากๆ ครับผม ขอดึงสรรพคุณมาใส่ไว้ด้วยเลยคร่าวๆ นะครับ
สรรพคุณด้านสมุนไพร :
ทั้งต้น ช่วยลดไข้ทุกชนิด (ไข้หวัด ไข้ทับระดู ไข้จับสั่น) ขับระดูขาว แก้น้ำดีพิการ แก้ดีซ่าน แก้ขัดเบา แก้ไอ แก้กามโรค แก้ปวดฝี ขับปัสสาวะ แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ท้องเสีย |
|
ต้น มีสรรพคุณช่วยลดไข้ แก้บวม แก้ปัสสาวะขัด แก้นิ่ว แก้ปวดฝี แก้ฟกช้ำบวม | |
ใบ ช่วยลดไข้ แก้บวม แก้ปัสสาวะขัด แก้ดีซ่าน แก้ปวดบวม แก้ฝีในคอ แก้ไอในเด็ก | |
ลูก (ผล) แก้ร้อนใน แก้ไข้ | |
ราก ช่วยแก้ไข้หวัด แก้ท้องเสีย แก้บวม แก้ปัสสาวะขัด แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ บำรุงธาตุ |
เพิ่มเติมค้นได้ที่ http://clgc.rdi.ku.ac.th/resource/herb/tamalaki/phyllanthus.html
ภาพเพื่อว่าท่านๆ จะคงเคยเห็นและถอนทิ้งบริเวณหน้าบ้านบ่อยๆ ครับ
รูปจาก http://gotoknow.org/blog/bansuanporpeang/104355 โดยโสทร
ขอบคุณมากครับ
ต้นแบบนี้พี่ถอนทิ้งประจำค่ะ
สวัสดีครับพี่อุบล จ๋วงพานิช
แนะนำสมุนไพรบำบัดโรค
ผมได้แนะนำสมุนไพร “ต้นชุมเห็ดเทศ” ให้กับผู้ปฏิบัติพระกรรมฐานที่ต้องการนำไปรักษาโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน คือ
ให้นำต้น ใบ และดอก (ไม่มีดอกก็ได้) ของชุมเห็ดเทศ มาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วตากแดด คั่วให้เหลือง และต้มน้ำกิน จะช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง และเบาหวานได้ แต่การรับประทานสมุนไพรชุดเห็ดเทศนี้ จะทำให้ระบาย ผู้ที่สูงอายุมาก ๆ ควรพิจารณาก่อนใช้รักษาตนเอง
ผมขอคัดลอกสรรพคุณของชุมเห็ดเทศ ตามความรู้ที่ผมพอจะค้นคว้ามาเพิ่มเติมให้ผู้อ่านได้ทราบ คือ
1. โรคความดันโลหิตสูง ต้มกินน้ำยาต่างน้ำ 7 วัน วันละ 1 กำมือ
2. โรคเบาหวาน ต้มกินน้ำยาต่างน้ำ 15 – 20 วัน วันละ 1 กำมือ
3. โรคระบบหายใจ โรคภูมิแพ้ ต้มน้ำยากิน 10 – 15 วัน วันละ 1 กำมือ
4. โรคไข้หวัด ไข้หวัดน้อย ไข้หวัดใหญ่ ต้มน้ำยากิน 1 – 3 วัน วันละ 1 กำมือ
5. โรคแผลพุพอง แผลตามตัวเป็นตุ่มเป็นหนอง ทุกส่วนของร่างกาย ต้มกินน้ำยา 10 - 120 วัน วันละ 1 กำมือ
6. โรคนอนไม่หลับ ต้มน้ำยากินต่างน้ำ 1 – 4 วัน วันละ 2 กำมือ (เคี่ยวยา นาน 5 นาที)
7. โรคปัสสาวะไม่สะดวก ต้มยากินต่างน้ำ 1 – 3 วัน วันละ 1 กำมือ
ดอกชุมเห็ดเทศ ถ้าตากแดดแล้วบดให้เป็นผง ผสมน้ำผึ้ง ปั้นเป็น
ลูกกลอน กินวันละ 2 เม็ด เม็ดเท่าผลพุทธรา กินเช้า – เย็น เป็นยาแก้ระบบในท้อง จุก แน่น เสียด คลื่นเหียน อาเจียน และยังเพิ่มระบบหายใจได้ดี ตลอดจนแก้ปวดศีรษะได้อีกด้วย
ชุมเห็ดเทศ เป็นไม้ปลูกง่าย ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด รักษาโรคได้มากมายหลายชนิด เช่น กลาก เกลื้อน เรื้อนกวาง
สวัสดีค่ะ คุณเม้ง
ข้อมูลรายงานโรค ที่ต้องแบ่งเป็น 2 ส่วนนั้น เป็นเพราะเวลาผู้ป่วยไปร.พ.จะมี 2 ลักษณะ
กลุ่มแรกมารักษาแบบไป-กลับ เรียกว่าผู้ป่วยนอกค่ะ
กลุ่มที่ 2 มารักษาแบบค้างคืนที่ร.พ.เพราะความจำเป็นที่เพิ่มขึ้นในด้านการให้การดูแลทางการแพทย์ เรียกว่า ผู้ป่วยในค่ะ
การนับจำนวนโรคของผู้มารักษาแบบไป-กลับนั้น นับจำนวนความถี่ที่เข้ามาขอรับการรักษาของวันนั้นๆสะสมเป็นรายเดือนหรือรายปี แล้วนำมาเรียงความถี่ว่าโรคใดมารักษาถี่กว่าโรคใด ส่วนหลักการนับครั้งใช่ว่าจะนับแบบนับเลขไปเรื่อยๆ แต่มีหลักค่ะว่า ต่อให้มาไป-กลับสักกี่ครั้งในวันนั้น ถ้าเป็นโรคเดียวกันก็ให้นับครั้งเดียวเท่านั้น ต่อเมื่อข้ามวันจึงจะนับครั้งใหม่ค่ะ
ด้วยเหตุว่าร่างกายเรามีระบบอวัยวะตั้ง 11 ระบบ การเก็บข้อมูลผู้ป่วยนอกจึงจัดกลุ่มข้อมูลขึ้นใช้รวบรวมแทนการซอยนับโรคเป็นโรคๆเพื่อให้เห็นความป่วยที่เกิดขึ้นในภาพกว้างได้
การนับจำนวนโรคของผู้มาพักค้างในร.พ.เพื่อรักษาโรคนั้น มีการขึ้นทะเบียนการเข้าพักเหมือนการเข้าพักโรงแรม แต่ละครั้งที่ลงทะเบียนนอนร.พ.จึงจะมีการออกเลขไว้นับจำนวนครั้งที่ลงทะเบียน การพักค้างคืนในร.พ. ที่สิ้นสุดลงเมื่อผู้ป่วยหาย ทุเลา หรือ ขอกลับ หรือ หนีกลับ
ข้อมูลของโรคที่จัดเก็บก็เป็นได้ทั้งกลุ่มข้อมูลหรือเก็บเป็นโรคๆแล้วแต่ความประสงค์จะนำไปใช้
ข้อต่างจากการเก็บข้อมูลผู้ป่วยนอก อยู่ที่ใน 1 วันมีการเก็บซ้ำได้ เพราะนับกันที่การลงทะเบียนเข้านอนร.พ. วิธีนับแต่ละโรคจึงคล้ายๆกับการนับ การ check-in โรงแรม ที่ว่าเหมือน การนอนโรงแรม คือ การเข้าพักสิ้นสุดเมื่อคืนห้อง เมื่อเข้าพักใหม่แม้วันเดียวกัน ก็ถือว่า check in ใหม่ การลงทะเบียนนอนร.พ.ของผู้ป่วยในก็เป็นเยี่ยงนั้นค่ะ
ข้อมูล 2 ส่วนต่างกันได้ค่ะ เพราะทั้ง 2 กลุ่มมีความหนัก-เบาของโรค ความยากของการรักาโรคในแต่ละครั้งไม่เท่ากันค่ะ
โดยทั่วไปข้อมูลของผู้ป่วยในจะช่วยขยายความชัดของปัญหาด้านความหนัก-เบาของโรคค่ะ
ข้อมูลของกรมการแพทย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคนป่วยที่เข้ารับการรักษากับร.พ.ในสังกัดกรมการแพทย์ค่ะ ร.พ.ทั่วประเทศมีหลายสังกัดค่ะ เช่น สังกัดกระทรวงสาธารณสุข (กรมการแพทย์เป็นหนึ่งกรมที่มีร.พ. แต่ก็มีกรมอื่นอีกที่มีร.พ.ในสังกัด เช่น สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข) สังกัดกระทรวงกลาโหม เป็นต้น
Morbidity หมายถึงการป่วย เจ็บไข้
Mortality หมายถึง การเสียชีวิตค่ะ
ข้อมูลจาก ICD10 เป็นข้อมูลที่จัดเก็บเป็นโรคๆตามรายละเอียดที่มีการให้นิยามไว้ตามรายละเอียดที่แยกย่อยของแต่ละโรค ซึ่ง 1 รหัสโรคใน ICD10 จะแบ่งกลุ่มย่อยไปอีก 9 กลุ่ม
รหัสโรคตาม ICD10 ใช้ทั้งกับผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในค่ะ
หมอยกตัวอย่างง่ายๆนะค่ะ อย่างเช่นที่มีลงหนังสือพิมพ์เรื่องคนป่วยโรคอาหารเป็นพิษจากกินหน่อไม้ปี๊บที่จังหวัดน่าน แล้วไม่รู้ว่ากินหน่อไม้ปี๊บ ก็จะวินิจฉัยว่า อุจจาระร่วงเฉยๆ ก็จะมีรหัสตัวหนึ่งใช้สำหรับโรคอุจจาระร่วง แต่ถ้ารู้ว่าเกิดจากเชื้อโรคอะไรในหน่อไม้ปี๊บ ICD10 ก็จะมีคำขยายให้รู้ว่าจริงๆแล้ว อุจจาระร่วงนี้เกิดจากเชื้อโรคอะไร รหัสที่ให้ก็จะต่างไปไม่ใช่รหัสเดิม
ว่าให้ง่ายๆก็คือ ICD10 ทำให้เห็นภาพชัดขึ้นถึงรายละเอียดการป่วย เป็นภาษาที่ใช้คุยกันในวงการแพทย์ค่ะ ส่วนข้อมูลผู้ป่วยนอก/ผู้ป่วยในก็ใช้กันทั้งวงการแพทย์และวงการสาธารณสุขค่ะ
ข้อมูลด้านสาธารณสุขมีความซับซ้อน และจำเพาะอย่างนี้แหละค่ะ เวลาพวกหมอๆทำอะไรกันอยู่บ้าง เราเลยอธิบายเรื่องหมอๆไม่ได้ดี เพราะเรื่องจำเพาะเยอะไปหมดนะค่ะ
สวัสดีครับพี่หมอเจ๊
ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากๆ เลยครับ ขอบคุณพี่มากๆนะครับ ทำให้เข้าใจภาระและความรอบคอบ ตลอดจนรายละเอียดเกี่ยวกับการแพทย์มากขึ้นครับ
เป็นกำลังใจให้หมอไทย ที่ทำงานเพื่อส่วนรวมทุกท่านครับ
โชคดีตลอดไปครับ
หนูของข้อมูล ค่ะ
โคลงเคลงนี้ ข้อควรระวังมีไรบ้างค่ะ
จากข้างต้นบอกประโยนช์
บอกดีว่าต้องทำรายงานหนู่หา ข้อควรระวังไม่เจอค่ะ
หากมีข้อมูลช่วยตอบกลับด้วยน่ะค่ะ
ขอบคุนมากๆๆ ค่ะ
พิมพ์ผิดค่ะ
พอดีว่าต้องทำรายงานหนู่หา ข้อควรระวังไม่เจอค่ะ
หากมีข้อมูลช่วยตอบกลับด้วยน่ะค่ะ
ขอบคุนมากๆๆ ค่ะ