สวัสดีครับ
หลังจากที่ได้ทดลองทำงานวิจัยในบางอย่าง และทำงานวิจัยจากทรัพยากรที่มีอยู่แล้ว โดยเน้นทางพลังสมอง แรงกายที่ได้จากพลังจากการกินอาหาร แรงใจจากพลังใจดีๆ จากคนรอบข้าง แล้วถ่ายทอดงานลงไปบนแผ่นจินตนาการ (Imagination) โดยอยู่บนพื้นฐานความรู้ (Knowledge) โดยมาจากการประมวลผลข้อมูลและสารสนเทศที่ได้จากการรวบรวมได้นั้น ผสมเข้ากับตัวคุณธรรม จากความรู้คู่คุณธรรม (Virtue) ตลอดจนการบริหารจัดการอารมณ์ (Emotion) เพื่อนำไปสู่การวิจัยแบบหนึ่ง ที่ผมขอตั้งชื่อว่า ศรัทธาวิจัย (เข้าไปต่อยอดสูตร KIVEM ได้ที่ http://gotoknow.org/blog/surachetv/85308)
งานวิจัยโดยทั่วไปจะดำเนินไปตามกระบวนคิดวางแผนแล้วเขียนเป็นโคร่งร่างวิจัย แล้วนำเสนอไปยังแหล่งทุน นั่นคือ จะต้องมีทุนก่อนแล้วถึงจะได้วิจัย ซึ่งบางครั้งผมมองว่า หากมีแหล่งทุนไม่กระจายที่ดีพอจะทำให้นักวิจัยบางกลุ่มต้องเบนเข็มตัวเองเพื่อวิ่งไปหาแหล่งทุน แหล่งทุนมาจากที่ไหนก็เบนไปทางนั้น ทำให้งานในส่วนที่ตัวเองทำอยู่มันได้แค่ครึ่งๆ หรือเดินไปได้แค่ครึ่งใจ
เมื่อวานได้ข้อคิดมาหนึ่งอัน ชอบมากๆ ครับ ท่านบอกว่า "ศึกษาให้จริง ใจต้องมั่น ค้นให้พบ จบให้ได้" ทุกวันนี้ทำอะไรกันเพียงแค่ครึ่งเดียวของใจ ใจไม่เต็มร้อย เลยได้อะไรแบบครึ่งๆ
สิ่งที่ผมมองย้อนกลับไปว่า หากเราสามารถเริ่มต้นการทำวิจัย จากทรัพยากรที่มีอยู่แล้วนั้น ในสำหรับบางสาขา ก็คงทำได้ แต่บางสาขาอาจจำเป็นต้องใช้ทุนเป็นตัวนำ แต่ไม่ใช่ว่าหากไม่ได้ทุนจะไม่ทำซะเลย คงต้องหาคนทางที่ทำได้ เพราะเอาศรัทธานำทางวิจัย
โดยเน้นเป้าการวิจัยเพื่อเป้าหมายในการพัฒนาสังคมหรือประเทศเป็นตัวตั้ง เมื่อผลงานวิ่งไปสู่ระดับที่เกิดประโยชน์จริง แล้วค่อยของงบประมาณ หรือถ้าให้สุดยอดกว่านั้นคือ มีองค์กร หรือเอกชนเห็นความสำคัญแล้วเข้ามาหานักวิจัยเพื่อส่งเสริมการให้ทุนวิจัย ตรงนี้ ก็คงจะเกิดประโยชน์มากที่สุด แล้วความยั่งยืนจะตามมาเอง
ปัญหาในการวิจัยปัจจุบันไม่ได้เล็กๆ แล้ว เพราะปัญหาใหญ่ขึ้น คนในสาขาต่างๆ ต้องร่วมกันช่วยแก้ปัญหาร่วมวิจัยด้วยกันตั้งแต่ระดับ ประชาชนไปยังระดับนโยบาย ชาวนาเกษตรกรมีส่วนทั้งนั้น คนงานในโรงงานก็เช่นกัน การวิจัยเชิงสหสาขา หรือการวิจัยเชิงบูรณาการมันจึงเกิด ไม่ใช่เกิดเพราะเท่ห์ หรือคำหรู อย่างปัญหาหมอกควันทางภาคเหนือ ปัญหาการกัดเซาะบริเวณชายฝั่ง ล้วนเกี่ยวข้อกับคนวิจัยมากกว่า สามสาขาเสมอ ครับ ต้องตีปัญหาให้แตก ว่าเกี่ยวข้องกับใคร แล้วใครควรเป็นแม่งานในการนำวิจัยแล้วเดินไปด้วยกันในทีมงาน ทำให้ผลมันเกิดในระดับความเป็นไปได้ แล้วเดินตามกระบวนการคิดที่วางไว้ งานวิจัยไทยจะยั่งยืนเองนะครับ ตามที่บอกว่า ไทยทำ ไทยใช้ ไทยพัฒนา ไทยยั่งยืน
อย่างปัญหารถติดใน กทม. ต่อให้เราไปหาผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาแก้ปัญหากี่ร้อยครั้งก็แก้ไม่ได้หรอกครับ เพราะปัญหานั้นเค้าไม่เคยมีและเราหน่ะเห็นอยู่ตลอด รู้กันว่าปัญหาเกิดจากอะไร หากเราเริ่มแก้แล้วแก้กันได้ ผมเชื่อว่าโมเดลที่ไทยคิดได้ จะสามารถใช้ได้กับทั่วโลกก็ได้นะครับ ลองคิดกันดูครับ ว่าใครเกี่ยวข้องบ้าง แล้วจะดำเนินการวิจัยอย่างไร แบบศรัทธาวิจัย ครับ
เมื่อนักวิจัยและแหล่งทุนเจอกัน รัฐบาล หรือแหล่งทุนของรัฐบาลก็จะเป็นเพียงพี่เลี้ยงสำหรับ นักวิจัยรุ่นใหม่ เพื่อให้เค้าเดินไปได้ในสังคมที่เกื้อกูลกันในเรื่องการแก้ปัญหาจริงในประเทศ แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก คือการวิจัยในเชิงจริยธรรม คุณธรรม มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ส่วนนี้ผลการวิจัยอาจจะเป็นนามธรรมเพราะอยู่ภายใน แต่สำคัญมากๆ เลยครับ บางทีผมเองก็นึกน้อยใจแทนนักวิจัยในสายสังคมนะครับ ที่มีงบให้น้อย ซึ่งจริงๆ แล้วควรจะมีการพัฒนาและส่งเสริมต่อเนื่องครับ
พวกเราเองในทีมก็พยายามวิ่งไปหาแนวทาง ศรัทธาวิจัยอยู่ครับ ส่วนจะไปได้แค่ไหนคงต้องลองดูกันครับ เน้นความต่อเนื่องเป็นหลัก และประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ
คุณหล่ะคับ คิดว่าการวิจัยแบบ ศรัทธาวิจัย (เอาศรัทธานำการวิจัย ทุนมาทีหลัง) มันจะเป็นไปได้ไหมครับ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตครับ มีความเห็นใด พ้องหรือแย้ง เขียนได้เต็มที่ครับ เพราะผมก็เป็นนักวิจัยที่ไม่เคยขอทุนวิจัยใดๆ เลยครับ ยังประสบการณ์น้อยอยู่ครับ ยินดีทุกความเห็นจากทุกท่านครับ
ขอบคุณมากคับ
เม้ง
สวัสดีครับ พี่กฤษณา
สวัสดีครับ พี่หนิง
สวัสดีค่ะคุณเม้ง
เบิร์ดชอบคำว่าศรัทธาวิจัย..มีหลายๆผลงานที่ ไทยต้องเสียสิทธิบัตรให้ต่างประเทศโดยเฉพาะพันธุ์พืชเพราะนักวิจัยไทยไม่มีงบ..แต่ถ้าเราเป็นพี่เลี้ยงให้ชุมชนทำวิจัยเอง เราน่าจะได้อะไรดีๆขึ้นมาอีกเยอะ..และน่าจะตอบคำถามของ อ.หมอมาโนชที่เคยตั้งประเด็นไว้ว่า " ใครจะบันทึก...ความรู้ของปราชญ์ชาวบ้าน " ( ลองตามไปอ่านที่http://gotoknow.org/blog/ponder/81808 ค่ะ ) เอ..ทำไมเบิร์ดทำลิ้งค์ไม่ได้ล่ะ..
ผู้ใหญ่วิบูลย์ ( ผู้นำชุมชนพึ่งตนเอง ) เคยประกาศไว้เลยนะคะว่า..ข้อมูลของชุมชนต้องให้คนในชุมชนเป็นผู้เก็บเท่านั้น..ไม่ใช่นักวิจัย..นักวิชาการทำโครงการเข้าไปแล้วก็จบลงที่ได้ผลงาน ส่วนชาวบ้านไม่ได้อะไร..นี่แหละค่ะที่เบิร์ดอยากเห็น
ขอบคุณที่ทำให้สมองได้ยืดเส้นยืดสายค่ะ..
สวัสดีครับคุณเบิร์ด
สวัสดีครับพี่เม้ง
ผมชอบคำนี้ครับ ว่า "ศึกษาให้จริง ใจต้องมั่น ค้นให้พบ จบให้ได้"
ผมคิดว่าคนไทยนั้นมีศักยภาพไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมไม่ค่อยเข้าใจคือคนไทยชอบคิดว่าชาติบางชาติเก่งกว่าในบางเรื่อง เช่นเรื่องวิทยการเป็นต้น
ผมอ่านหนังสือเรื่องเมืองจีนครับ เมืองจีนที่เป็นต้นกำเนิด ดีวีดีปลอม เขาบอกว่าเครื่องเล่นดีวีดีของจีนนะ ดีกว่าของอเมริกาอีก เพราะว่าอะไร เพราะว่าต้องจัดการไอ้โค้ดที่บอกว่า เครื่องนี้เล่นกับแผ่นดีวีดีโซนไหน ให้มันเล่นได้หมดทุกโซน
ผมคิดว่าการจะหวังพึ่งรัฐบาลให้มาเป็นหัวหอกการวิจัยอย่างเดียวนั้นไม่ได้ครับ จำเป็นที่จะต้องให้องค์กรเอกชนเข้ามาด้วย ที่ไต้หวัน (ถ้าผมจำไม่ผิด)เขามีวิธีการสนับสนุนการวิจัยแบบนี้ครับ เขาให้อาจารย์หรือมหาวิทยาลัยไปหาทุนจากเอกชนครับ หาได้เท่าไร รัฐจ่ายให้เท่าตัวเป็นทุนสนับสนุนให้กับมหาวิทยาลัยครับ
งานวิจัยกับงานประยุกต์จริงๆนั้นมีความแตกต่างกันพอสมควรครับ เคยมีคนพูดว่างานวิจัยเชิงประยุกต์แก้ปัญหานั้นไม่ค่อยได้รับการยอมรับและการตีพิมพ์ ต่างจากงานวิจัยแบบฮาร์คอร์หรือแบบทฤษฏีบทล้วนๆ
แต่ปัจจุบันผมเห็นงานวิจัยหลายๆชิ้น ที่เป็น case study ที่เป็นการแก้ปัญหาได้รับการตีพิมพ์เพิ่มขึ้น ผมเชื่อว่า เราคงจะเห็นการปรับตัวให้มีจุดมุ่งหมายเดียวกันระหว่านักวิจัยกับคนในชุมชนได้มากขึ้น
ท้ายที่สุดมาแปะลิงค์มารบกวนเวลาอาจารย์ให้รบกวนไปอ่านหน่อยครับ http://gotoknow.org/blog/GoReadABook/86458
เพราะผมได้อ้างชื่อพี่เม้งไว้ด้วยครับ ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ น้องต้น
สวัสดีครับพี่อัมพร
สวัสดีค่ะคุณเม้ง
แหมเข้ามากี่ครั้ง ก็เปลี่ยนรูปทุกครั้งเลย สงสัยมีเป็นอัลบัมให้เลือกใช่ไหมค่ะเนี่ย5555
เห็นด้วยนะค่ะกับคำพูดที่ว่า "วันนี้ทำอะไรกันเพียงแค่ครึ่งเดียวของใจ ใจไม่เต็มร้อย เลยได้อะไรแบบครึ่งๆ" คนเราคิดจะทำอะไรต้องเต็มร้อยค่ะ ถึงแม้ผลลัพธ์ยังกลับมาไม่ถึง 100 ก็ตาม ทำอะไรต้องเต็มที่ค่ะ ให้กำลังใจสู้ ๆๆค่ะ เพื่อเพื่อนราณีด้วย แต่ศรัทธาวิจัย ต้องมีทุนSupportนะค่ะ (แต่ราณีต้องมีใจSupportค่ะ) แต่ไม่เป็นไรค่ะ ทำไปเถอะค่ะ วันนี้เขาไม่เห็น พรุ่งนี้เขาไม่เห็น ซักวันเขาก็ต้องเห็น
สวัสดีครับคุณราณี
สวัสดีครับ
ธรรมะสวัสดีครับ
สวัสดีครับ น้องธรรมาวุธ
ดีครับน้องธรรมาวุธ