บางครั้ง “ความเร็ว” ทำให้เราแยกไม่ออกว่าอะไรมีสติ หรือไม่มีสติ …. แต่หากได้ยั้งคิด ก็คง “รู้”
ชีวิตทุกวันนี้ เร่งรีบยิ่งนัก…คิดเร็ว ทำเร็ว…คำพูดบางครั้งก็เร็วกว่าความคิด…หากความเร็วเช่นว่านั้นมาจากความรู้ตัว และ “ปัญญา” จากจิตว่างของเรา ไม่ใช่จิตวุ่น และ โดยปราศจากอคติใด ๆ ก็จะเป็นการดี..ดีต่อตนเองและผู้อื่น…
ทบทวนตัวเองแวะเวียนไปดูบล๊อกของตัวเองบ้างใน OKANATION และ BLOGGANG ซึ่งไม่ได้แวะไปปัดฝุ่นนานแล้ว …เห็น Comment มีจำนวนน้อยก็จริง แต่ในจำนวนน้อยนั้น มีคุณค่าอย่างยิ่ง… อย่างเช่น บทความเรื่องนักบริหารยุคใหม่ ใจเกินร้อย…มีผู้ให้ความเห็นสองท่าน ท่านแรกบอกว่าบทความเรื่องนี้จะต้องตั้งใจอ่าน ด้วยความยั้งคิด เพื่อจะได้นำไปปฏิบัติให้เป็นประโยชน์…และอีกท่านบอกว่าเป็นบทความที่ดีที่ที่นักบริหารควรอ่าน..
ศิลาจดจำข้อความความคิดเห็นนั้นไม่ได้ทั้งหมด แต่เชื่อว่าผู้ที่เป็นเจ้าของ Blog ทุกท่าน ไม่มีคนใดไม่ปลาบปลื้มใจที่ถ้อยคำบางคำ ภาพบางภาพที่เรานำเสนอ อาจจะเกิดประโยชน์กับใครได้บ้าง แม้เพียงคนเดียวก็ตาม… สำหรับศิลาแล้ว ต่อให้มีคนคนเดียวมาอ่านบทความของศิลา แล้วได้ ”เห็น” … ก็เป็นสุขแล้ว
กลับมาประเด็นที่ขึ้นต้นไว้ในเรื่องการคิดเร็ว ทำเร็ว…หากมาจากจิตว่างย่อมมีคุณค่าและเกิดประโยชน์แก่ตน โดยไม่มีผลกระทบให้ใครเดือดร้อนจากความเร็วที่ว่านั้น
คำว่า แม้เราไม่ทำให้ใครเดือดร้อน…ก็ต้องดูกันอีกว่า "เราเร็วจนมองไม่เห็น…ไม่แยแสโลกรอบตัวจนเกินไปหรือไม่…"
การเห็นคนทุกข์ยากแล้วไม่ช่วยเหลือ ต่างอะไรกับการไม่เห็น ไม่รับรู้ เพราะความไม่ใส่ใจ ไม่แยแส…
ที่ยกประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพื่อทบทวนตัวเองว่าเป็น “คนเร็ว” ประเภทใด…แน่นอนว่าในหลาย ๆ เรื่อง ก็ย่อมมีทั้ง “เร็วด้วยสติ” กับ “เร็วด้วยขาดสติ”…แยกอย่างไร..ตามทันได้อย่างไร ในเมื่อจิตมันเร็วกว่าเครื่องใด ๆ จะมาวัดได้…(ไม่นับการตรวจคลื่นสมอง) เพราะชีวิตประจำวันของเรา จากวินาทีที่ตื่นขึ้น… ไปทำงาน…พบปะผู้คน…จนกลับบ้าน ขณะปฏิบัติหน้าที่ตามกิจวัตร ก็อาจจะยังไม่รู้ตัว…ตัวอย่างที่เกิดขึ้นต่อไปนี้ จึงเป็นที่มาของการทบทวนครั้งนี้
หลายวันก่อน อ่าน email ที่ forward ต่อ ๆ มา ต้องยอมรับว่าเป็น email ที่ส่งมานานหลายเดือนแล้วไม่เคยเปิดอ่าน และก็กำลังคิดจะลบทิ้งเสียที… แต่แว่บหนึ่งก็คิดได้ว่าลองเปิดดูหน่อยเพราะชื่อเรื่องที่เขียนว่า “อาม่า ขายกุยช่าย”
เมื่อเปิดอ่านออกแล้ว…ก็รู้สึกตกใจ…อาม่าคนนี้คุ้น ๆ ว่าเราเคยเห็นบ่อยครั้งที่เราไปตลาด แวะไปซื้อกับข้าว ซื้อของใช้ และ shopping จิปาถะ…แต่ได้แค่เห็น ไม่สนใจ เพราะความเร็วของการทำกิจกรรมใด ๆ ที่จะต้องทำให้เสร็จ ๆ ไปในแต่ละวัน
ผู้เขียน email ที่เล่าเรื่องนี้เป็นพนักงานที่ทำงานประจำอยู่ในบริเวณตลาดคนเมืองแห่งนั้น และเธอก็เล่าว่าเห็นอาม่านั่งขายกุยช่าย และก๋วยเตี๋ยวหลอดทุกวัน แต่ก็ไม่ได้สนใจ จนกระทั่งเช้าวันหนึ่งเธอเห็นอาม่ากำลังเข็นรถเข็นข้ามสี่แยกใหญ่ รถก็เยอะมาก… เธอรู้สึกเป็นห่วงอาม่าก็เปิดกระจกรถและถามว่าไปด้วยกันไหม เพราะที่ทำงานก็อยู่แถวนั้นจะไปส่ง…อาม่าหันมายิ้มกว้าง ตาหยี..แล้วบอกว่าไม่เป็นไร
คนเล่าเรื่องนี้เป็นผู้หญิงมีจิตใจงาม..เธอสงสารอาม่า ในเมื่อพยายามจะช่วยแต่อาม่าปฏิเสธ สิ่งที่เธอคิดจะทำต่อไปก็คือแวะเวียนไปซื้อขนมกุยช่ายกับก๋วยเตี๋ยวหลอดกับอาม่าเป็นประจำ…แม้บางครั้งไม่ทานก็นำไปฝากคนอื่นได้..และเธอก็ยังเล่าว่าเห็นอาม่าทุกวัน แม้กระทั่งวันเสาร์ที่เธอมาทำงาน Overtime …อาม่าทำงานไม่มีวันหยุด…สุดท้ายของ email ที่เธอส่งต่อ ๆ มา เธอบอกว่าใครที่แวะไปแถวนั้น อย่าลืมอุดหนุนอาม่าบ้าง…
หลังจากอ่าน email นี้แล้ว ก็อึ้ง.. เพราะเราก็ “เห็น” อาม่า บ่อย ๆ เช่นกัน บังเอิญตลาดคนเมืองแห่งนั้น เราก็ไปหลายครั้ง…แต่เราได้แค่เห็นด้วยสายตาที่ไม่รับรู้…แล้วผ่านไปด้วยความไม่ใส่ใจ ด้วยความไว…ในชีวิต…
เราอาจจะมีอายุมากขึ้น มีหน้าที่การงานสูงขึ้นบ้าง …มากพอที่จะสอนใคร ๆ บางคนได้แล้ว… แต่รู้ไหมว่า จะมีใครสักกี่คนที่จะกล้ามาสอนเรา หรือเราจะยอมรับฟังคำใครที่หวังดีจะมาสอน…หากเราไม่ “เปิดรับ” ด้วยตัวเองเสียก่อน…
เรื่อง ๆ เดียว… สิ่ง ๆ เดียวกัน อาจเห็นต่างกัน…หากไม่ “ยั้งคิด” คำว่ายั้งคิดนี่ พึ่งคิดขึ้นมาได้ตอนอ่าน comment ของผู้แสดงความคิดเห็นท่านหนึ่งที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั่นเอง…ท่านใช้คำว่าอ่านด้วยความตั้งใจ ยั้งคิด ก็จะเข้าใจ…ต้องขอขอบพระคุณท่านผู้ใช้ชื่อนามแฝงว่า “นายยั้งคิด” เพราะความเห็นของท่านทำให้ศิลาได้ยั้งคิดด้วยในหลาย ๆ เรื่อง เพราะบางครั้ง “ความเร็ว” ทำให้เราแยกไม่ออกว่าอะไรมีสติ หรือไม่มีสติ …. แต่หากได้ยั้งคิด ก็คง “รู้”
การที่เราเห็นอาม่า แต่เหมือนไม่เห็น เพราะความไม่ใส่ใจ ศิลาถือว่าตนเองขาดสติที่ "ไม่ใส่ใจคนรอบข้างในสังคม"
วันหนึ่ง เมื่อต้องไปตลาดแห่งนั้น ศิลาจึงเดินไปในที่ที่อาม่านั่งอยู่และขอซื้อก๋วยเตี๋ยวหลอด 2 ถุง (ไปฝาก รปภ. ที่ทำงาน) และถ่ายรูปอาม่าขณะตักก๋วยเตี๋ยวหลอดมาเป็นอุทราหรณ์ตัวเองให้แยแส ใส่ใจ “ชีวิต” รอบตัวบ้าง…อย่าเร็ว เพราะสิ่งนั้นไม่เกี่ยวกับเรา…
หลังจากซื้อก๋วยเตี๋ยวหลอด ก็นั่งรถแท็กซี่กับพี่ที่ทำงาน ซึ่งไปด้วยกัน แล้วคุยในรถเรื่องอาม่า กับ email ที่อ่านเจอให้พี่เขาฟัง พี่เขาก็บอกว่า “เออเน๊อะ เห็นบ่อย แต่ไม่ได้สนใจเลย” จริง ๆ แล้ว มันก็พูดยากมาก ในสังคมเมืองเช่นนี้ จะหาใครสักกี่คน ที่สนใจคนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตัวเราเลย…แต่เราก็ไม่อยากเอาเหตุนี้มาเป็นข้อแก้ตัว…อยากเริ่มต้นจากการ “มอง” เพื่อที่จะ “เห็น” ด้วยความใส่ใจก่อน ส่วนจะมองอะไรพลาดๆ หรือไม่เห็นอะไร ๆ เหมือนที่ใครเขาเห็นกัน…ความรู้สึกผิดที่ไม่ตั้งใจมองอย่างน้อยก็น่าจะลดน้อยลงกว่าครั้งนี้
พี่ที่ทำงานได้ฟังก็มีความเห็นสอดคล้องกัน โชเฟอร์ขับแท๊กซี่ได้ยินก็บอกว่าเห็นอาม่าเดินข้ามถนนมาขายที่นี่เป็นประจำ…และก็ชมว่าดีแล้วที่ช่วยเหลือแก…แต่จริง ๆ แกรวยมากนะ..แต่อยู่เฉย ๆ ไม่เป็น ชอบทำงาน…หลัง ๆ เดินไม่ไหว ก็นั่งรถตุ๊ก ๆ ขนของมาขายที่นี่
พอทราบข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าว่าแกรวยมาก ศิลาก็ยื่งชื่นชม การซื้อของอุดหนุนอาม่า… ไม่ใช่ว่าเห็นว่าอาม่าจน…แต่เห็นว่าอาม่าไม่เคยหยุดที่จะทำงานต่างหาก… เวลาเราเห็นใครมุ่งมั่นตั้งใจทำงานอะไร มันทำให้เราซาบซึ้งใจมากกว่าเราจะไปสืบสาวหาต้นตอของเขาว่ารวยหรือจน…จริงไหม…
สรุปบันทึกครั้งนี้ที่ได้เรียนรู้จากการทบทวนตัวเองก็คือคิดไวทำไวโดยไม่ยั้งคิดอะไร ไม่แยแสโลก หรือชีวิตรอบตัว… ก็ไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ หรือคนที่ไม่มีจิตวิญญาณ
-----------------------------------------------------------------------------------