|
แนะนำบันทึกเพิ่มเติม |
เข้าร่วมปฏิบัติ ครั้งนี้ได้เดินเท้าเปล่าเหมือนทุกครั้งที่ไปร่วมฯ
แต่ระหว่างที่ก้าว เดินก็ระลึกถึงคำพูดของครูท่านหนึ่งที่ว่า
"บนเส้นทางทุกสายมีก้อนกรวดให้เดินแล้ว เจ็บเท้าเสมอ แต่พอเราเดินพ้นไปแล้ว เจอสนามหญ้าอ่อนนุ่ม เราจะรู้สึก เฮ้อ...สบายจัง จะพบกับความเบาสบายอย่างที่ไ่ม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย ยิ่งถ้าเจอกรวดก้อนใหญ่ที่ทำให้เราเจ็บมากๆ เมื่อนั้นเมื่อเราผ่านไปได้ เราจะยิ่งรู้สึกสบายมากขึ้นไปอีก ขอเพียงอย่าถอย เพราะถ้าเราถอยคือต้องเดินย้อนกลับทางเดิม ซึ่งเท่ากับเราต้องเจ็บซ้ำเดิมอีก"
ทำให้การเดินเท้าเปล่าครั้งนี้ สังเกตจิตตัวเองอย่างระวัง และเริ่มสังเกตเห็นผู้ปฏิบัติหลายคนในช่วงแรกใส่รองเท้า และพอผ่านไปวันหลังๆ ก็เริ่มถอดรองเท้าเดินเช่นเดียวกัน
อีกเช่นกัน ที่ต้องมาพบกับความวุ่นวายในความสงบ เนื่องจากได้ห้องพักที่ติดกับห้องน้ำ เพราะฉันมาสมทบทีหลังไม่ได้เริ่มตั้งแต่วันแรก จึงไม่ได้ห้องพักในโซนศิษย์เก่าที่แยกเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน คืนแรกไปถึงหลับไม่ลงเลยค่ะ เพราะโซนที่ฉันนอนนั้นเป็นส่วนของศิษย์ใหม่ จึงมีเสียงดังเกือบตลอด ทั้งการไอ ขากเสลด และเข้าห้องน้ำเกือบตลอดเวลา โดยเฉพาะการเข้าห้องน้ำนั้น เป็นอะไรที่ชัดเจนถึงความวุ่นวาย เพราะประตูก่อนเข้าบริเวณห้องน้ำก็เป็นบานเลื่อน ประตูห้องนอนของแต่ละคนก็เป็นตะขอบ้าง หรือไม่ก็ลูกบิด การปิดเปิดถ้าไม่ระวังก็จะนำความเคยชินเดิมๆ ที่อยู่ข้างนอกในชีวิตประจำนำเข้ามาปฏิบัติในที่นี่ เพราะคงลืมคิดไปว่าเรามาพักในที่สงบและเป็นที่พักรวมกันหลายคน ควรที่จะสำรวจทั้งกายและใจ แต่นั่นแหล่ะต่างคนต่างก็มากันต่างจริตเหลือเกิน .... โอ๊ย...สุดๆ ... คืนแรกไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยค่ะ .... เพราะในชีวิตประจำวันของฉันก็สงบเงียบไม่ค่อยมีเสียงดัง แต่มาอยู่ที่นี่เสียงดังมากกว่า ยิ่งใกล้เวลาตื่นเพื่อเตรียมตัวไปปฏิบัติในช่วงเช้า ... ตี 4 เป๊ะ ระฆังของศูนย์ฯ ยังไม่ดังเลยนะคะ ประตูห้องน้ำ... ครืด...คราด...ปึง...อีกแล้วค่ะ...โอ๊ย...ฉันอยากนอน....
หลายคนคง จะเหมือนกับฉันในช่วงแรกที่มาปฏิบัติ กลัวว่าจะอาบน้ำเพื่อลงไปปฏิบัติไม่ทัน ... ลืมคิดไปว่ายังมีช่วงพักในช่วงเช้าอีกช่วงหนึ่งที่สามารถปลีกตัวมาอาบน้ำ ชำระกายได้ .. พอคิดถึงพฤติกรรมของตัวเองในช่วงนั้นเปรียบเทียบกับพวกเขาในช่วงนี้ก็เลย ปล่อยวาง ... พยายามที่จะปฏิบัติหลายอย่าง ทั้งการเปิดปิดประตู การเดินบนเรือนไม้ ให้สงบจากเรือนจิตของตัวเอง เพราะไม่อย่างนั้นเราก็เผลอตามไปจริตของคนรอบกายเรา ถ้านำมาเปรียบเทียบกับตัวเองว่า ก็คนอื่นยังเปิดปิดประตูเสียงดังเลย ก็คนอื่นยังเดินลงส้นเสียงดังเลย แล้วทำไมหล่ะ ตัวเราจะทำอย่างคนอื่นไม่ได้ ... ก็นั่นหน่ะซิ... เตือนตัวเองสุดๆ ... เพราะแต่ละคน...สุด...ยอด...ยกนิ้วโป้ง...ให้เลยครับพี่น้องครับ
จาก ที่คืนแรกตื่นตลอดทั้งคืน ทำให้เช้าวันที่สองในช่วง 7 โมง ฉันเผลอหลับในห้องพักยาวจนธรรมบริกรต้องมาตาม และถามว่าฉันไม่สบายหรือเปล่า จนฉันต้องบอกว่าเป็นอะไร น้องธรรมบริกรก็จะย้ายห้องให้ แต่ฉันขอให้ไม่ย้าย อย่างที่ฉันเคยบอก
ต้องมีเหตุที่ทำให้ฉันต้องมานอนที่ห้องนี้
ต้องมีเหตุที่ทำให้ฉันต้องมาเจอความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมาโดยความไม่ตั้งใจ ของผู้คนรอบข้าง
ต้องมีเหตุที่ฉันต้องมาร่วมปฏิบัติสมทบในวันนี้ แล้วจึงได้ห้องนี้
ทำ ให้ช่วงเวลาของการพักทุกครั้งตลอดช่วงการปฏิบัติระวังตัวมากขึ้นกับการนอน พัก เพราะไม่อย่างนั้นไม่ตื่น
และสังเกตเห็นว่า ช่วงวันต่อๆ มา อาการวุ่นวาย เสียงดังของผู้คนรอบข้าง เริ่มสงบลง การเดินลงส้นเสียงเบาลง การเปิดปิดประตูก็ไม่ค่อยมีเสียงดัง ... สงสัยน้องธรรมบริกรคงนำไปเตือนผู้เข้าร่วมฯ กระมัง
แต่นั่นแหล่ะผล ของการไม่ได้พักอย่างเต็มที่หลังจากผ่านการเดินทางไกล ทำให้เห็นอาการของตัวเองผิดปกติ ไม่รู้เพราะว่าเครียดหรือเปล่า ที่นั่งไปพอเริ่มนิ่งก็สะดุ้ง กายกระตุกขึ้นมาซะอย่างงั้น เป็นเกือบตลอดช่วงระยะที่นั่งปฏิบัติในช่วงแรกที่ไปถึง ก็คิดว่าตัวเองคงเครียดกระมัง เพราะคิดฟุ้งซ่านตลอด พยายามดึงจิตกลับมาสู่การระลึกรู้ แต่ใจก็เผลอออกไปตอบโจทย์อยู่เสมอ
ณ ช่วงเวลานั้นทำให้คิดถึงคำพูดของท่านผู้รู้ ที่ได้ชี้แนะว่า "ตึงไปก็หย่อนซะ ทนนิ่งได้ก็ให้เฝ้าสังเกต ทนไม่ได้ก็ปล่อยวางซะ" ให้นำหลักของโยคะ อาสนะนั่นแหล่ะมาใช้ ... นั่นซินะ...นั่นคือ ทางสายกลาง ปล่อยวาง นั่นเอง ... หลักการปฏิบัติมันอยู่ใกล้กายใกล้ใจเรานี่เอง...เพราะใกล้เกินไปจึงมองไม่ เห็น...กว่าจะเห็นก็เกือบโคม่า...
เจริญพร โยมแตง
ตึงไปทำให้ขาดได้ หย่อนไปก็หลุดได้
กลางๆ แล้วทุกอย่างจะดีไปเอง
เจริญพร
กราบนมัสการค่ะ ท่านพระปลัด
กราบขอบพระคุณสำหรับคำชี้แนะเพิ่มเติมนะคะ
ใช่ค่ะ แตงพยายามระลึกรู้ถึงทางสายกลาง
แต่ต้องปฏิบัติเองนะคะ จึงจะรู้ว่า ความพอดีของตัวเองนั้นอยู่ตรงไหนนะคะ ... อันนี้เป็นสิทธิส่วนตัวของแต่ละคนจริงๆ ค่ะ ...ใช่ไหมคะท่าน
นมัสการมาด้วยความเคารพค่ะ