|
แนะนำบันทึกเพิ่มเติม |
ตลอดช่วงเวลาที่ไปปฏิบัติครั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะนำหลักการเฝ้าสังเกตจิตของ "โยคะอาสนะ" เข้ามาใกล้กายใกล้ใจ ในทุกช่วงที่ระลึกรู้ทัน
จึงทำให้ได้สัมผัสกายว่างเปล่าเหมือนไม่ได้อยู่ ณ จุดนั้น
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่พบในเกือบวันสุดท้าย
นั่นคือความรู้สึกที่สัมผัสได้ เมื่อได้ปฏิบัติการเคลื่อนความรู้สึกให้ถึงระดับลึกถึงกระดูกเจ้าค่ะ....ถึงกระดูกจริงๆ
การปฏิบัติที่ผ่านมา ได้แต่เพียงการไล่ความรู้สึกเพียงผิวกายภายนอกเท่านั้น คือ
การพิจารณาผิวกายอย่างทุกอณูทั่วกาย แต่นั่นแหล่ะกว่าจะพิจารณาได้หมด ก็ต้องกลับมาเริ่มใหม่บ่อยมาก เพราะจิตหลุดออกไปเที่ยว พอรู้สึกตัวก็ ... อีกแล้ว...ต้องเริ่มต้นพิจารณากายภายนอกอีกแล้ว กว่าจะทั่วกายก็ต้องมาเริ่มต้นใหม่หลายรอบทีเดียว...จนนำคำของท่านโคเอ็นก้าที่ว่า ... Start Again ... เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ... ก้องอยู่ในโสตประสาท
แต่เมื่อได้ประสบการณ์จากที่ได้นำการพิจารณากายไปใช้ควบคู่กับจริตของโยคะอาสนะ ที่ว่า "ตึงไปก็หย่อนซะ ทนนิ่งได้ก็ให้เฝ้าสังเกต ทนไม่ได้ก็ปล่อยวางซะ" ทำให้การเข้าวิปัสสนาครั้งนี้ค่อนข้างละเอียดและนิ่งมากยิ่งขึ้น ประกอบกับอาการโดนแจ๊คพ็อตให้ตรวจสอบกริยาตัวเองที่แสดงกับบุคคลอื่น ทั้งในรูปแบบงานและส่วนตัว ทำให้ต้องตั้งใจกับเทคนิคพิจารณาความรู้สึกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
พอไล่ความรู้สึก (scan) ตัวเองเพียงผิวกายภายนอกได้แล้ว มันก็เหมือนกับเราได้คำตอบแล้ว และเป็นความรู้สึกที่ได้สัมผัสได้ ... ดูนะ...ความเบื่อก็เริ่มเข้ามา...
อะไรหน่ะ...สิ่งนี้ฉันทำได้แล้ว...ไม่มีสิ่งใหม่ให้ฉันได้เดินทางอีกแล้วหรือ
เอาหล่ะซิ...ไอ้อาการค้นหา อยากเดินทางในเส้นทางใหม่ก็เริ่มเข้ามาอีกแล้ว
ทำให้พยายามเรียบเรียงสิ่งที่ตัวเองค้นพบในการปฏิบัติครั้งนี้อย่างพึงระวัง
ซึ่งพอเสียงท่านโคเอ็นก้าบอกให้พิจารณาตัวเองเข้าไปในกายแต่ละขั้นๆ
ในช่วงระยะแรกของการอบรมนั้น เราได้แต่เพียงพิจารณาความรู้สึกเพียงผิวกายภายนอก...พิจารณาไล่ความรู้สึกทีละส่วนของร่างกายจนทั่วเกือบทุกอณูของผิวกายภายนอก...เมื่อทั่วแล้วก็สลายไป...ไม่มีอีกแล้วสำหรับผิวกายภายนอก...หลุดลอกออกไปแล้ว...สลายไปแล้วสำหรับผิวกายภายนอก...สลายไปจากการระลึกรู้ของจิต
ต่อไปก็เข้าสู่การพิจารณากายชั้นใน ลำดับนี้เป็นชั้นกล้ามเนื้อแต่ละส่วนของกายชั้นใน พยายามพิจารณาให้ได้อย่างกายภายนอก จนสลายไปจากการระลึกรู้ของจิตเช่นเดียวกัน
ต่อไปก็เป็นชั้นอวัยวะภายใน แต่ละส่วนของร่างกาย พิจารณาเช่นเดียวกับชั้นกล้ามเนื้อ นำจิตไปพิจารณา ไประลึกรู้ จนทั่วตามพื้นความรู้ที่เรารู้ที่เราเข้าใจ ไม่ต้องไปซีเรียสว่า จิตเรารู้ตำแหน่งอวัยวะภายในมากน้อยแค่ไหน เอาเท่าที่เรามีความรู้ ณ ขณะนั้น ... พอทั่วแล้ว ... อวัยวะภายในส่วนนั้นก็สลายไปจากการระลึกรู้ของจิตเช่นเดียวกัน
เมื่อกายชั้นในส่วนอวัยวะภายในสลายไป ก็พิจารณาส่วนลึกลงไปอีกก็คือ โครงกระดูก พิจารณาจนหมดทุกส่วน
เช่นเดียวกันชั้นของโครงกระดูกก็สลายไปจากการระลึกรู้ของจิตอีกเช่นเดียวกัน
ในชั้นนี้ฉันตื่นเต้นมาก เพราะเจอแล้วกับความรู้สึกระลึกรู้ว่า
"กายแตกดับ ไม่มีกายสมมุติว่าเป็นเรานั่งอยู่ ณ จุดนั้น มีเพียงจิตที่เฝ้าดูกายแต่ละส่วนที่แตกดับไปสลายไป"
นั้นมีความรู้สึกอย่างไร
แต่นั่นแหล่ะกว่าจะพิจารณาได้ถึงกระดูก...ก็ต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง (Start again) หลายรอบมากๆ จนต้องคิดเทคนิคการพิจารณาไปเฉพาะส่วนของร่างกาย ถ้าทำรวดเดียวไปทั่วกายเลย จิตฉันไม่นิ่งพอค่ะ เพราะ " ... Start Again ... เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ..." อยู่นั่นแหล่ะค่ะ
ฉันต้องกลับมาเริ่มต้นพิจารณาถึงระดับลึกในส่วนกระโหลกศีรษะหลายครั้งมาก เพราะพอจิตออกนอกทาง ก็ต้องดึงกลับมา "เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง" หลายครั้งมาก แต่พอลองพิจารณาจนถึงระดับลึกไปเฉพาะส่วนของร่างกายแล้ว ... ฮื่อ...ดีจัง (คำพูดนี้...เป็นคำพูดของครูกวีค่ะ...ได้ยินแล้วนำมาใช้จนติดปากแล้วค่ะ)
มีอยู่ช่วงหนึ่งขณะที่กำลังพิจารณาถึงระดับลึก จาก ศีรษะ, แขนทั้งสอง, ลำตัว กำลังจะพิจารณาช่วงลำตัวท่อนล่างตั้งแต่ช่วงสะโพกลงไป ... ระฆังช่วงพักก็มาค่ะ... คิดดูซิคะ ความรู้สึกว่า ลำตัวช่วงบนมันว่างไม่มีอยู่เลยนั้นมันยังค้างอยู่ในอารมณ์...แต่ต้องไปพักแล้ว...ฉันเดินออกจากห้องปฏิบัติเหมือนตัวหายไปเลยหน่ะ.... (ไม่อยากบอกว่า เหมือนคนหัวหาย...เพราะหัวหายบ่อยมาก kri kri...จนไ ด้รับฉายาจากน้องๆ กลุ่มทำงานเดิมว่า...นางแมวเก้าชีวิต...แต่เก้าชีวิตหลายรอบมาก...kri kri)
นั่นคือในสิ่งที่ฉันได้ออกเดินทางในเส้นทางสายใหม่ที่แนวทางวิปัสสนาได้บอกให้เดินทางอีกแล้วค่ะ
อาจจะเพราะฉันมีความเชื่อเดิมเช่นกันที่ว่า ฉันอยู่ในกายใครก็ไม่รู้ แต่เราต้องรักษากายนี้ให้ดี เพราะเรามาอาศัยเขาอยู่ พอถึงช่วงเวลาหนึ่งเราก็ต้องละร่างนี้ไป...นี่เป็นความเชื่อตั้งแต่เด็กแล้วนะคะ...จำได้ เพราะเคยถามผู้ใหญ่ใกล้ตัวในวัยเด็กตั้งแต่ครั้งที่อยู่ที่สมุยนะคะว่า...ฉันคือใคร...และร่างกายนี้คือใคร...เคยโดนดุด้วยว่า..ถามอะไรก็ไม่รู้...ซึ่งก็ถามอะไรก็ไม่รู้จริงๆ...
หลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันพบเจอและถ่ายทอดออกมานั้น ฉันไม่ได้นำมาบอกเล่าเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติของท่านทั้งหลายที่เข้ามาอ่านนะคะ เป็นเพียงประสบการณ์ที่ฉันพบเจอและนำมาถ่ายทอด ถ้าการปฏิบัติของฉันหลงไปนอกทางอย่างไร ขอคำชี้แนะด้วยค่ะ อย่างที่บอกฉันคือนักเดินทางค่ะ เพราะฉะนั้นสิ่งที่พบเจอขณะเดินทางนั้นอาจจะเป็นสิ่งถูกหรือผิดก็ไม่รู้ แต่ถ้ามีผู้ที่เคยผ่านทางนี้มาแล้วและเดินสวนทางกลับมา ก็ขอคำชี้แนะด้วยค่ะ ก็จะขอบพระคุณมากค่ะ
เจริญพร โยมแตง
กายลหุตา จิตลหุตา
โยมเข้าใจวิปัสสนาได้ดี อนุโมทนาด้วย
เจริญพร
กราบนมัสการค่ะ ท่านพระปลัด
กราบขอบพระคุณมากค่ะ ที่ให้ท่านแวะเข้ามาให้คำชี้แนะ
เท่านี้ก็เป็นปลื้มแล้วค่ะ
นมัสการมาด้วยความเคารพค่ะ
ขอบคุณครับ
อ่านแต่ยังไม่เข้าใจครับ
เพราะยังอนุบาลอยู่มากทีเดียว
สวัสดีค่ะ อ.สาโรจน์
อาจารย์ถ่อมตัวเกินไปหรือเปล่าคะ
แตงว่า อาจารย์อ่านไ่ม่เข้าใจ แตงอาจจะเขียนไม่เคลียร์ก็ได้ค่ะ
เพราะแตงเขียนตามความเข้าใจของตัวเองค่ะ
แฮะ...แฮะ...ไม่ค่อยคำนึงถึงคนอ่านเท่าไหร่ค่ะ
ไม่ดีเลยนะคะ...แฮะ...แฮะ