บันทึกจากปลายเท้า
เป็นเรื่องราวของผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิตของเลน่า มาเรีย คลิงวัลล์ซึ่งเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงของสวีเดน โดยเนื้อเรื่องจะมีลักษณะเป็นตอนๆดังนี้
ตอนที่ 1 “อ้อมแขนของพ่อและแม่”
ในตอนนี้สอนให้รู้ว่าพ่อ แม่ที่ทำใจยอมรับสภาพอันผิดปกติที่เกิดขึ้นกับลูกตัวเองได้และพร้อมที่จะเลี้ยงดูลูกต่อไป ไม่คิดรังเกียจและทอดทิ้งลูกนับว่าเป็นการให้การเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เกิดขึ้นได้อย่างดีเยี่ยม มีเนื้อเรื่องดังนี้
ในวันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 1968 เลน่า ยูฮันซอนได้ถือกำเนิดขึ้น โดยที่เธอนั้นได้เกิดมาพร้อมกับความพิการ คือตรงส่วนที่เป็นแขนเธอไม่มีอะไรเลย ที่หัวไหล่มีแค่ปุ่มเล็กๆ 2 ปุ่ม ขาข้างขวาดูปกติแต่ข้างซ้ายนั้นสั้นกว่าข้างขวาครึ่งหนึ่ง ส่วนเท้าซ้ายชี้ขึ้นข้างบนเกือบถึงขา เธอเป็นลูกคนแรกแน่นอนที่พ่อ แม่เธอนั้นเสียใจมาก หมอต้องให้ยาระงับประสาทแก่พ่อ แม่เธอก่อนที่จะอธิบายความจริงเกี่ยวกับการพิการที่เกิดขึ้น และหมอก็แจ้งให้พ่อ แม่เธอทราบถึงเรื่องที่ท่านสามารถจะทิ้งเธอไว้ที่สถาบันดูแลเด็กพิการได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตัดสินยาก และแล้วพ่อเธอกลับคิดได้ว่าการที่เธอไม่มีแขนก็ไม่เห็นเป็นไร แต่เธอนั้นต้องมีครอบครัว พ่อและแม่เธอจึงตัดสินใจนำเธอกลับมาเลี้ยงดูเอง
ตอนที่ 2 “ใช้เท้าจับขวดนม”
ในตอนนี้สอนให้รู้ว่าบุคคลทุกคนย่อมมีการปรับตัวรวมทั้งคนพิการนั้นก็จะมีการปรับการใช้งานอวัยวะต่างๆของตนที่มีอยู่ให้ใช้งานเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่รอดไปได้ มีเนื้อเรื่องดังนี้
เลน่าเจริญเติบโตขึ้น และยังมีการพัฒนาการเร็วกว่าเด็กอื่นๆอีกด้วย เธอนั้นสามารถใช้เท้าจับขวดนมได้
เธอเป็นคนร่าเริง การใช้เท้าของเธอนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เธอไม่รู้สึกว่าตัวเองมีอวัยวะอะไรที่ขาดหายไป ในปีแรกนี้แม่เธอจะเป็นคนคอยดูแลเธอทุกอย่างและเป็นผู้ทำให้เธอได้รู้จักสิ่งต่างๆรอบตัว แม่เธอเองต้องพบกับปัญหามากมายโดยเฉพาะกับการต้องคอยตอบคำถามจากคนรอบข้างที่คอยแต่จ้องจะถามถึงความพิการของเธอ เมื่อเลน่าอายุได้ 3 ขวบเธอได้รับการใส่ขาปลอมในข้างซ้าย การหัดเดินครั้งแรกของเธอนั้นยากมาก และต้องใช้เวลา เธอต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับการมีขาปลอมให้ได้ แต่แล้วเธอก็สามารถผ่านเวลานั้นมาได้และเดินได้เหมือนเด็กปกติทั่วไป
ตอนที่ 3 “ครอบครัวที่อบอุ่น”
ตอนนี้สอนให้รู้ว่าครอบครัวนั้นเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเรา ไม่ว่าจะเป็นการให้เราได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ เป็นสิ่งที่ให้กำลังใจได้อย่างดี ปรารถนาให้แต่สิ่งดีๆแก่เราอย่างจริงใจและตลอดเวลา การมีครอบครัวที่อบอุ่นทำให้เราสามารถก้าวไปสู่วันข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ มีเนื้อเรื่องดังนี้
ครอบครัวของเลน่าทำฟาร์ม ประกอบด้วยสมาชิกคือ พ่อ แม่ เธอ และน้องชายคนเล็กของเธอที่ปกติดีทุกอย่าง เธอและน้องชายส่วนใหญ่เข้ากันได้ดี ชีวิตของเลน่านั้นดีมากที่ดีได้เนื่องมาจากทุกคนในครอบครัวของเธอ พ่อแม่ของเธอจะสนับสนุนแธอและน้องชายให้ทำในสิ่งที่ชอบ ด้วยเหตุนี้เลน่าจึงไม่มีความคิดในแง่ลบต่อความพิการของตัวเองเลย เธอมักคิดว่าตัวเองก็เป็นเหมือนคนอื่นๆ เพียงแต่ทำบางสิ่งบางอย่างที่ต่างไปจากคนอื่นบ้าง พ่อแม่เธอจะให้เวลาเธอในการทำความเข้าใจว่าจะจัดการสิ่งต่างๆอย่างไรแทนที่จะมาช่วยเธอในทันทีที่ร้องขอ แต่เมื่อไรที่เธอทำพลาดหรือไม่มีกำลังพอที่จะทำเอง พ่อแม่เธอก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ
ตอนที่ 4 “ขาปลอมและไม้ตะขอ”
ตอนนี้สอนให้รู้ว่าการเรียนรู้การทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเองนั้นดีที่สุด คนเราคงจะไปคอยหวังความช่วยเหลือจากคนอื่นแต่อย่างเดียวนั้นไม่ได้ มีเนื้อเรื่องดังนี้
เลน่าเริ่มมีความชำนาญในการใช้ขาปลอมมากขึ้นการทรงตัวของเธอค่อยๆดีขึ้นและวันหนึ่งเธอประสบอุบัติเหตุขึ้น ขาเธอมีเสียงเหมือนกระดูกแตกที่สะโพกข้างซ้าย เธอไม่สามารถเดินได้ ต้องเอาขาปลอมนั้นออก
แต่เธอก็ไม่ไปโรงพยาบาลเนื่องจากเธอไม่มั่นใจโรงพยาบาลใกล้ๆ ความเจ็บปวดรุนแรงมากขึ้น ทุกครั้งที่เธอเคลื่อนไหวขาซ้ายเธอจะสั่นอย่างแรง เป็นเวลาเกือบ 2 ปีที่เธอไม่ยอมใช้ขาปลอม เธอนั่งรถเข็นและความเจ็บปวดก็ค่อยๆทุเลาลง ต่อมาเธอได้เรียนรู้ถึงการช่วยเหลือตัวเองในหลายๆด้านที่ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพของคนพิการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใส่เสื้อผ้าเองโดยทางศูนย์ได้เป็นผู้นำวิธีการใส่เสื้อผ้าแบบต่างๆพร้อมอุปกรณ์ช่วยให้ใส่ได้ง่ายขึ้น นั่นก็คือไม้ตะขอ เธอสะดวกที่จะพบมันไปได้ในทุกที่ ทำให้เธอสามารถพึงตัวเองได้
ตอนที่ 5 “ไปโรงเรียน”
ตอนนี้สอนให้รู้ว่าชีวิตเริ่มต้นในวัยเรียนนั้นสำคัญมากถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กพิการก็ตาม เนื่องจากที่โรงเรียนจะสอนให้เด็กรู้จักการปรับตัวอีกขั้นหนึ่ง จะได้พบสังคมที่กว้างขึ้น มีเพื่อน มีคุณครู มีเนื้อเรื่องดังนี้
ถึงเวลาที่เลน่าจะได้ไปโรงเรียน เธอได้อยู่ร่วมกับเด็กนักเรียนปกติ แต่เธอได้รับผู้ช่วย 1 คน ในขั้นนี้เธอต้องเผชิญปัญหามากมาย เริ่มตั้งแต่เธอต้องทำการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆคนปกติ ต้องทำทุกอย่างให้เท่าเทียมกับคนปกติ รวมทั้งเธอต้องเผชิญกับเพื่อนที่มีความสงสัยเกี่ยวกับความพิการของเธอ แต่ปัญหาที่คิดว่าหนักที่สุดนั่นก็คือ เธอพบว่าตัวเองไม่มีใครยอมมาเป็นเพื่อนสนิทด้วยเลย เหมือนกับนักเรียนหญิงคนอื่นๆ เธอจึงต้องเรียนรู้และเล่นกับเด็กทุกคนเพื่อที่ว่าเวลามีความช่วยเหลืออะไรเพื่อนๆทุกคนของเธอจะได้ให้ความช่วยเหลือได้ แทนที่เธอจะมีเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว และต้องคอยให้ความช่วยเหลือแก่เธอเพียงคนเดียว มันเลยทำให้เลน่านั้นมีเพื่อนเยอะ ในบางครั้งก็มีเพื่อนบางคนชอบล้อเลน่าบางทีก็ตลก แต่บางทีก็แรงไป แต่เลน่าไม่เคยนึกโกรธเพราะเธอได้รับการสอนมาว่าคุณค่าของเธอนั้นอยู่ภายใน ไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นภายนอกเธอจึงไม่อายที่เกิดมาพิการแต่กลับใช้ความพิการนั้นให้เป็นประโยชน์ เลน่าสามารถเข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียนได้เกือบทุกอย่าง มีสิ่งหนึ่งหนึ่งที่เธอทำได้ดีเป็นพิเศษนั่นก็คือการว่ายน้ำ
ตอนที่ 6 “ความเชื่อมั่น”
ตอนนี้สอนให้รู้ว่าคนเราทุกคนควรมีศาสนาป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ มีเนื้อเรื่องดังนี้
เลน่านับถือศาสนาคริสต์ เธอมีพระเจ้าอยู่ในใจเสมอมาจนกลายเป็นความมั่นใจของเธอ ในคริสตจักรทุกคนยอมรับเธอ และยังได้เป็นกลุ่มเยาวชนร้องประสานเสียงในโบสถ์ด้วย เธอมีกลุ่มเพื่อนซี้ที่โตมาด้วยกันในคริสตจักรนี้ด้วย
ตอนที่ 7 “เหมือนปลาในน้ำ”
ตอนนี้สอนให้รู้ว่าคนเราทุกคนไม่ว่าเกิดมามีร่างกายผิดปกติหรือไม่ก็สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้เหมือนกัน เพราะความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นได้เนื่องจากความตั้งใจจริง มีเนื้อเรื่องดังนี้
เลน่าเริ่มเรียนวายน้ำตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ทุกคนในครอบครัวของเธอจะไปว่ายน้ำด้วยกันเสมอ เธอจะเริ่มต้นการว่ายน้ำด้วยการใช้เท้าแตะน้ำ และเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ เธอได้เรียนเทคนิคการว่ายน้ำมากมาย มีท่าที่เธอถนัดสุดคือการว่ายน้ำท่าผีเสื้อ แลละเธอมีความตั้งใจจริงที่ฝึกฝนจนเธอสามารถได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของทีมชาติสวีเดนเพื่อเข้าแข่งขันว่ายน้ำชิงแชมป์โลกสำหรับคนพิการและเธอก็สามารถทำสำเร็จเธอสามารถได้รับเหรียญรางวัลมากมาย
ตอนที่ 8 “มุ่งสู่โอลิมปิก”
ตอนนี้สอนให้รู้ว่าการทำสิ่งใดๆก็ตามย่อมมีจุดหนึ่งที่คนเราจะเริ่มอิ่มตัว รู้สึกเพียงพอกับการทำในสิ่งนั้น เราควรจะหยุดเมื่อถึงจุดสูงสุด ทุกอย่างจะเป็นวัฏจักรอย่างนี้เรื่อยไป มีเนื้อเรื่องดังนี้
ตลอดชีวิตของเธอได้ทุ่มเทให้กับการว่ายน้ำจนหมด เธอได้รับรางวัลจากการว่ายน้ำมากมาย จนมาถึงกีฬาโอลิมปิกในปี 1988 หรือที่เรียกสำหรับคนพิการว่ากีฬาพาราลิมปิก แต่ในครั้งนี้ตัวเธอเริ่มรู้สึกเบื่อและคิดจะไปถอนตัวออก แต่แล้วจู่ๆมีหญิงคนหนึ่งโทรมาหาเธอว่าคอยเป็นกำลังใจให้เธอ ทำให้เลน่าเปลี่ยนใจกลับมาลงแข่งเช่นเดิม แต่การแข่งในครั้งนี้เลน่าไม่ได้รับรางวัลอะไรเลย แต่เธอไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายแต่อย่างใด เธอสามารถยอมรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ตอนนี้เธอคิดอยากจะทุ่มเทให้กับดนตรีและการร้องเพลง
ตอนที่ 9 “โลกของเสียงเพลง”
ตอนนี้สอนให้รู้ว่าถ้าเรามีความตั้งใจจริงจะทำในเรื่องใดแล้ว เราจะสามารถผ่านอุปสรรคต่างๆ และทำสิ่งนั้นได้สำเร็จ มีเนื้อเรื่องดังนี้
เลน่ามีเสียงที่ไพเราะ และเริ่นเล่นดนตรีกับครอบครัวตั้งแต่เล็กๆ เมื่อถึงชั้นมัธยมปลายเธอได้เลือกเรียนสาขาสังคมและดนตรี เธอได้อยู่คณะนักร้องเยาวชนด้วยต่อมาเธอได้รับการเลือกเป็นผู้นำ โดยเธอจะนำคณะให้ร้องเพลงโดยใช้ปาก ศรีษะ สายตาแทนการใช้มือ ต่อมาเธอก็สามารถสอบผ่านได้เข้าเรียนดนตรีในวิทยาลัยได้เป็นสำเร็จ
ตอนที่ 10 “ ฉันคือเลน่า มาเรีย ”
ตออนนี้สอนให้รู้ว่าเราไม่ควรตัดสินคุณค่าของคนคนหนึ่งได้พียงแต่การดูที่รูปลักษณ์ภายนอก เราควรจะดูที่ความสามารถและจิตใจของคนคนนั้น มีเนื้อเรื่องดังนี้
เมื่อเลน่าได้การเลือกให้เข้าเรียนที่วิทยาลัยการดนตรีนี้ เธอจำเป็นต้องย้ายไปพักที่บ้านพัก โดยมีเพื่อนจากที่เดียวกัน 2 คน แต่พักกันคนละบ้าน มาที่นี่ทุกคนรู้จักเธอในนาม เลน่า มาเรีย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะต้องทำอะไรทุกอย่างเองเพียงลำพัง โดยไม่มีแม่คอยช่วยเลย ในตอนแรกเธอยอมรับว่าเป็นการปรับตัวที่ยากลำบากมาก แต่แล้วเธอก็สามารถผ่านมันไปได้ด้วยดี ที่วิทยาลัยให้อิสระแก่เธอมาก สามารถเลือกตารางและครูสอนเองได้ โดยเป้าหมายของการสอนอยู่ที่การใช้ร่างกายประกอบเมื่อร้องเพลง ทำให้การเปล่งเสียงของเธอออกมาอย่างมีพลัง เธอพยายามเรียนรู้ทุกอย่าง เธอเรียนดีจนได้รับทุนและได้ตีพิมพ์เรื่องราวของเธอทางหนังสือพิมพ์ด้วย ต่อมาก็มีการถ่ายทอดเรื่องราวของเธอในรูปสารคดีเรื่อง เป้าหมายชีวิต เธอได้ย้ายตัวเองมาอยู่อพาร์ตเมนท์ แต่ว่าอพาร์ตเมนท์นี้ไม่ได้สร้างสำหรับคนพิการ แต่ยังไงเลน่าก็พอใจที่จะอยู่อย่างคนปกติ เธอต้องการปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นๆมากที่สุด สารคดีเรื่องชีวิตของเธอได้รับรางวัลชนะเลิศในงานโทรทัศน์คริสเตียนในประเทศฮอลแลนด์ด้วย
ตอนที่ 11 “เป้าหมายในชีวิตของฉัน”
ตอนนี้สอนให้รู้ว่าเราควรจะศึกษาทำความเข้าใจกับตัวเอง ว่าเราชอบอะไร ต้องการอะไร จะได้ดำเนินเป้าหมายของเราให้ไปถึงจุดสูงสุด มีเนื้อเรื่องดังนี้
มีคนดูสารคดีของเธอมาก เป็นเหตุให้เธอได้รับการเชิญไปแสดงคอนเสิร์ตเยอะมากขึ้นจากปกติ เธอจึงกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น ครั้งหนึ่งพระราชินีซิลเวียแห่งสวีเดนได้ทอดพระเนตรเห็นสารคดีเรื่องเธอเข้า จึงต้องการพบเธอ เลน่าได้เข้าเฝ้าและพระองค์ก็ได้พระราชทุนการศึกษาให้แก่เลน่าด้วย ต่อมาเป็นช่วงที่เลน่ามีงานชุกมาก สารคดีเธอได้ไปเผยแพร่ที่ญี่ปุ่น ทำให้คนญี่ปุ่นที่แต่ก่อนรู้สึกเกลียดคนพิการมองเป็นคนชั้นต่ำ เปลี่ยนมุมมองการคิดเมื่อเห็นสารคดีชุดนี้ ตัวเธอเองยังคงวนเวียนกับการแสดงคอนเสิร์ตอย่างหนัก จนวันหนึ่งเธอรู้สึกเหนื่อยล้า และเมื่อเธอได้พักอ่านพระคัมภีร์เธอก็รู้สึกดีขึ้น แต่กลับคิดได้ว่าตอนนี้หัวใจเธอกำลังเรียกร้องอยากจะเข้าทางศาสนาแล้ว ต้องการที่จะหยุดร้องเพลง ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจไปเรียนพระคัมภีร์ที่อินเดีย
ตอนที่ 12 “ชีวิตในอินเดีย”
ตอนนี้สอนให้รู้ว่าชีวิตของคนเราทุกคนนั้นย่อมมีช่วงเวลาที่ลำบาก เราควรอดทนและเรียนรู้การแก้ไขปัญหาแล้วจะสามารถผ่านช่วงเวลานั้นไปได้ มีเนื้อเรื่องดังนี้
เลน่าไปอยู่ที่อินเดียแล้วรู้สึกไม่ดี เธอปรับตัวเข้ากับที่นั่นไม่ค่อยได้ ที่อินเดียเป็นเมืองที่สกปรกมาก เธอต้องอยู่ร่วมบ้านกับคนตั้งมาก มันเป็นที่เล็กคับแคบ ไม่มีอิสระใช้เวลากับตัวเองเลย มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่เลน่าจะปรับตัวได้ เมื่อเธอมาอยู่ที่นี่ เป็นครั้งแรกเลยที่เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิการ เธอไม่สามารถทำอะไรเองได้เลยแม้แต่การเข้าห้องน้ำ เธอต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเสมอ แม้ว่าช่วงในอินเดียจะเป็นช่วงที่ลำบากมากกว่าที่เคยเป็นแต่เธอยังคิดได้ว่ามันก็เป็นช่วงที่ทำให้ชีวิตมีสีสรรขึ้น เธอเรียนรู้ที่จะพอใจกับสิ่งต่างๆที่เธอไม่เคยจะเห็นคุณค่ามาก่อน มันทำให้เธอมีแรงจูงใจที่จะร้องเพลงอย่างเอาจริงเอาจังอีกครั้ง
ตอนที่ 13 “ฉันรักประเทศญี่ปุ่น”
ตอนนี้สอนให้รู้ว่าการเป็นจุดสนใจต่อคนอื่นนั้นเวลาเราจะทำอะไรต้องทำด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากผู้คนกำลังจับตามองเราเป็นแบบอย่างอยู่ มีเนื้อเรื่องดังนี้
คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับคนพิการมากขึ้น ตั้งแต่ได้ดูสารคดีชีวิตของเลน่า บริษัทดนตรีทางญี่ปุ่นก็สนใจในตัวเธอมากเช่นกัน บริษัทต้องการลงทุนทำแผ่นเสียงให้เธอ มีชื่ออัลบัมว่า My Life เธอได้ทัวร์คอนเสิร์ตมากมาย ขณะเดียวกันคนญี่ปุ่นก็มีความสนใจเธอมากขึ้นทำการตีพิมพ์ชีวิตและเรื่องราวของเธอให้เป็นหนังสือแบบเรียน นำเธอไปเป็นตัวอย่างที่ดีแกเยาวชน
ตอนที่ 14 “ชายหนุ่มของฉัน”
ตอนนี้สอนให้รู้ว่าความรักเป็นสิ่งที่ดี เป็นยาชูกำลังขนานแท้ ความรักที่แท้จริงคือการรักกันที่จิตใจ ไม่ใช่รูปลักษณ์ทางร่างกาย ดังแฟนของเลน่าซึ่งมีเนื้อเรื่องดังนี้
เลน่าพบรักแท้กับชายหนุ่มคนหนึ่งที่วิทยาลัยดนตรี ชายคนนั้นไม่ใช่คนพิการเป็นคนปกติ สมบูรณ์ดีทุกอย่าง เลน่าคิดอยู่เสมอว่าการแต่งงานกับคนพิการอย่างเธอ จะเป็นการสร้างภาระและความยุ่งยากอันใหญ่หลวงให้กับแฟนที่เป็นปกติดีทุกอย่าง แต่แล้วความรักทำให้ทั้งสองตกลงกันได้ แฟนของแธอยอมรับสภาพที่เธอเป็นได้และต้องการที่จะใช้ชีวิตคู่กับเธอ เขาทั้งสองก็ได้แต่งงานกัน ทุกครั้งที่เขาเผชิญกับเรื่องต่างๆ เขาทั้งสองจะหันหน้าพูดคุยกันและช่วยกันแก้ปัญหาด้วยกัน เขาไม่เคยละเลยปัญหาที่เกิดขึ้น
ตอนที่ 15 “ด้วยรักและศรัทธา”
ตอนนี้สอนให้รู้ว่าคนเราเกิดมาไม่มีใครที่ดำเนินชีวิตโดยปราศจากปัญหา ประสบการณ์ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ ทุกอย่างนั้นจะเป็นไปตามที่เรากำหนดเอง มีเนื้อเรื่องดังนี้
เลน่าสามารถประสบความสำเร็จในหลายๆด้าน และสามารถผ่านพ้นปัญหาและอุปสรรคมาได้นั้น เนื่องจากเธอมีทัศนคติต่างๆเกี่ยวกับตัวเองในแง่บวกก่อน เหตุผลที่เธอมองต่อตัวเองในแง่บวกก็คือ ประการแรกเธอคิดว่าคนเราทุกคนเกิดมาก็ย่อมมีความแตกต่างกันมาตั้งแต่เกิด เธอจึงกล้ายอมรับสิ่งต่างๆตามที่มันเป็น ประการที่สองก็คือ พ่อแม่ของเธอ ท่านไม่เคยกังวลใจเกี่ยวกับความพิการของเธอ ท่านช่วยให้เธอได้เรียนรู้ที่จะยอมรับทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว
สรุปข้อคิดที่ได้จากหนังสือ “บันทึกจากปลายเท้า”
1. ทุกชีวิตเกิดมาต้องรู้จักการดิ้นรน ต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ไม่ควรยอมแพ้ต่อชะตาชีวิตไปง่ายๆ ยิ่งสำหรับคนปกติอย่างพวกเราแล้วปัญหาต่างๆที่เราได้เผชิญ เราก็คิดว่ามันเป็นปัญหาที่หนักแล้ว แต่เมื่อเราลองนำกลับมาเทียบกับคนพิการ ผู้ที่มีความผิดปกติทางร่างกายแล้ว คนเหล่านี้ก็เผชิญปัญหาอย่างเดียวกับเราและยังมีปัญหาบางอย่างที่คนเหล่านี้ต้องเผชิญมากกว่าเราด้วย เขายังดิ้นรนให้มีชีวิตอยู่รอดมาได้ ทั้งๆที่ลักษณะการแก้ปัญหาของคนเหล่านี้จะดำเนินไปได้ยากลำบากกว่าธรรมดา เขาก็ไม่เคยคิดท้อแท้
2. การมีครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อแม่ที่สามารถทำใจยอมรับสภาพที่เกิดขึ้นกับลูกตัวเองได้ พร้อมที่จะให้การเลี้ยงดู ให้ความรัก ความอบอุ่น พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างและคอยเผชิญปัญหาต่างๆของลูกเสมอ ถือว่าเป็นการสร้างรากฐานชีวิตที่ดีแก่อนาคตของลูก ลูกจะโตมาเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับสถาบันครอบครัวซึ่งเป็นสถาบันแรกที่จะอบรมสั่งสอน คอยให้กำลังใจและความเชื่อมั่นต่างๆแก่ลูก อย่างเลน่าเธอมีครอบครัวที่อบอุ่น สมบูรณ์ โตขึ้นมาเธอจึงเป็นเด็กที่มีนิสัยร่าเริง ไม่คิดรังเกียจตัวเองว่าเป็นคนพิการ ไม่นำมาคิดเป็นปมด้อย เธอจะทำสิ่งต่างๆพร้อมด้วยความมั่นใจ
3. วิธีการเลี้ยงดูลูกของพ่อแม่ ก็เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูก และยิ่งเด็กที่มีความพิการทางร่างกายแล้ว พ่อแม่ควรที่จะเข้าให้ถึงจิตใจลูก ไม่ควรเลี้ยงลูกแบบปล่อยปะละเลย และก็ไม่ควรเลี้ยงแบบถนุถนอมจนเกินไป ควรเลี้ยงให้เด็กมีการช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุดที่จะทำได้เนื่องจากพ่อแม่คงจะอยู่ช่วยเขาไปไม่ได้ตลอด และยังเป็นการทำให้เด็กมีความรู้สึกว่าตัวเองก็มีค่า ไม่ได้เกิดมาเป็นภาระให้แก่ผู้อื่น
4. พ่อแม่ที่มีลูกเป็นคนพิการ ไม่ควรที่จะปิดกั้นเด็ก เนื่องจากเด็กพิการก็มีจิตใจเหมือนกับเด็กปกติทั่วไป มีความต้องการเหมือนกับเด็กทั่วไป เพราะหากพ่อแม่อายมีลูกที่พิการแล้วไปปิดกั้นเด็ก ปิดกั้นโอกาสต่างๆ ไม่ให้เขาได้พบปะกับสังคม มันจะเป็นการทำให้เด็กนั้นมีความผิดปกติทั้งทางร่างกายและจิตใจด้วย พ่อแม่ควรจะส่งเสริมให้ลูกได้เข้าสังคม ไปโรงเรียน มีเพื่อน มันจะเป็นการทำให้เด็กมีพัฒนาการเพิ่มขึ้น รู้จักที่จะเรียนรู้ถึงการปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่นได้นอกจากคนในครอบครัวตัวเอง และยังทำให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งต่างๆที่แปลกใหม่ด้วย
5. คนปกติไม่ควรที่จะไปซ้ำเติมคนพิการ ด้วยการแสดงความรังเกียจ มองดูคนพิการเป็นตัวแปลกประหลาดในสังคม รวมทั้งการพูดล้อเลียนถึงความพิการของเขา เพราะคนพิการเหล่านี้ก็มีความทุกข์ในชีวิตมากพออยู่แล้ว เราไม่ควรไปซ้ำเติมให้เขารู้สึกทุกข์เพิ่มขึ้น เราควรจะให้ความช่วยเหลือแก่คนเหล่านี้
6. การทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความตั้งใจจริง ย่อมจะพบผลสำเร็จ ความตั้งใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่จะนำเราผ่านอุปสรรคและปัญหาต่างๆไปได้ด้วยดี เราต้องไม่ย่อท้อ และยอมแพ้ไปเสียก่อน อย่างเลน่าตอนที่เธอต้องการจะเข้าศึกษาต่อในวิทยาลัยดนตรีนั้นเธฮตั้งใจจริงหมั่นฝึกฝนด้านดนตรี และแล้วเธอก็สามารถผ่านการคัดเลือกได้
ขนาดคนพิการยังมีความตั้งใจที่แรงกล้า และคนที่ร่างกายปกติอย่างเราล่ะ
7. เมื่อเราประสบความสำเร็จมากๆในสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว ก็ถือได้ว่านั่นคือจุดสูงสุดและมันก็เป็นจุดอิ่มตัวด้วยเช่นกัน มันก็ถึงเวลาที่จะหยุดในการทำสิ่งๆนั้นแล้ว อย่างที่เลน่าเธอสามารถได้รางวัลมากมายจากการว่ายน้ำและแล้วเธอก็ปิดรายการสุดท้ายของการแข่งขันด้วยการไม่ได้รางวัลใดเลย แต่เธอก็สามารถยอมรับสภาพที่เกิดขึ้นได้ เราสามารถนำเรื่องนี้มาใช้ในชีวิตประจำวันได้เกือบทุกเรื่อง เราควรคิดว่าทุกสิ่งนั้นมีขึ้นก็ต้องมีล่วง เป็นของธรรมดา
8.ก่อนที่เราจะให้ใครมามองว่าเรานั้นมีชีวิตที่มีคุณค่าได้นั้น เราต้องทำชีวิตของเราให้มีคุณค่าเสียก่อน เราต้องไม่ดูถูกตัวเองโดยเฉพาะคนพิการ ต้องไม่นึกรังเกียจตัวเอง ต้องมองตัวเองด้วยทัศนคติที่ดี ไม่นำเรื่องความพิการมาคิดเป็นกังวล นำความพิการเปลี่ยนเป็นกำลังใจที่จะทำสิ่งต่างๆให้ได้เหมือนกับคนปกติดีกว่า
9. คุณค่าของคนนั้นไม่ได้ตัดสินที่รูปลักษณ์ภายนอก เราต้องตัดสินภายในจิตใจของคนคนนั้น คนที่มีรูปร่างภายนอกปกติดี ดูว่าสวย ว่าหล่อ แต่มันไม่แน่แสมอไปว่าในจิตใจขานั้นจะเป็นดังที่เห็น อาจจะเป็นแบบหน้าเนื้อใจเสือก็ได้ กลับกับคนที่มีรูปร่างภายนอกผิดปกติ พิการ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีจิตใจที่พิการไปด้วย
10.ทุกครั้งที่เราพบปัญหา หรือตกอยู่ในภาวะที่ยากจะทนได้ เราต้องรู้จักการปรับตัว ตลอดชีวิตของคนเรานั้นต้องมีการปรับตัวอยู่ตลอดไม่ว่าต้องปรับให้คนกับสภาพแวดล้อม หรือคนอื่นๆรอบข้าง การปรับตัวได้ทำให้เรามีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข
คำนำ
หนังสือเรื่อง บันทึกจากปลายเท้า เป็นหนังสือที่แสดงถึงเรื่องราวของผู้ที่ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต เนื้อเรื่องเป็นการบรรยายถึงคนพิการคนหนึ่ง โดยที่ตลอดชีวิตของเธอนั้นผ่านเรื่องราวอุปสรรคต่างๆมากมาย จะต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งต่างๆมากมาย นับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้ายแล้วเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นก็สามารถผ่านมันไปได้ด้วยดี และยังสอดแทรกเนื้อหาที่แสดงเกี่ยวกับความคิดต่างๆของคนพิการ ที่บางทีคนปกติอย่างเราๆนั้นก็ไม่สามารถจะรู้ได้
หนังสือเรื่องนี้ยังเหมาะกับผู้ที่รู้สึกท้อแท้กับชะตาชีวิตของตัวเองด้วย เมื่ออ่านหนังสือเรื่องนี้แล้วท่านจะรู้สึกได้ว่ายังมีบุคคลอื่นอีกที่มีชีวิตที่เลวร้ายกว่าท่าน และผู้เขียนยังได้บอกแนวความคิดต่างๆที่ทำให้ผู้เขียนมีกำลังใจต่อสู้ชีวิตให้อยู่รอดมาด้วย
นุชรีย์ ก่อเลิศรัศมี
ผู้จัดทำ
รายงาน
จิตวิทยาการปรับตัว
จากหนังสือ บันทึกจากปลายเท้า
เสนอ
อ. วราภรณ์ ตระกูลสฤษดิ์
จัดทำโดย
น.ส.นุชรีย์ ก่อเลิศรัศมี รหัส 42213920
ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์