จริงอยู่ การมีหนังสือที่เขียนขึ้นด้วยตัวเองตีพิมพ์ออกมาสักเล่ม เป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ของชีวิตของผมเอง แต่ครั้นเมื่อตัดสินใจลงมือทำจริงๆ แล้ว ผมกลับมีความรู้สึกว่า
ความฝันของตัวเองนั้น หาใช่แก่กิเลสในทางวรรณกรรมส่วนตัวเท่านั้น แต่มันมีความหมายมากมายเกินกว่าที่ผมคิดเอาไว้นัก
ก่อนหน้านี้ ผมเคยส่งต้นเรื่องจำนวนหนึ่งให้บรรดาน้องๆ ในแวดวงนักเขียนแถวอีสานได้อ่านกันบ้างแล้ว หลายคนเป็นนักเขียนเต็มตัว หลายคนก็โลดแล่นอยู่ในแวดวงคนทำหนังสือ และอยู่เบื้องหลังหนังสือสวยๆ ของนักเขียนดังๆ หลายคนเหมือนกัน
ส่วนหนึ่ง ให้คำแนะนำว่าให้ผมปรับกระบวนการของการนำเสนอใหม่ทั้งหมด ให้นำเอากลวิธีการเขียนแบบสารคดี บทความ หรือแม้แต่เรื่องสั้น และนวนิยายเข้าไปขับเคลื่อน
ซึ่งผมชี้แจงไปสองประเด็นหลักคือ หนึ่ง,ผมต้องการคงต้นแบบของการเป็นบันทึก หรือ “บล็อก” อันเป็นที่มาที่ไปไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นการแสดงความคาราวะต่อต้นธารแห่งการบันทึก ซึ่งนั่นก็คือ gotoknow นั่นเอง
สอง, การจะให้ปรับแต่งใหม่ทั้งหมดนั้น ผมว่ามันยากมาก ให้เขียนใหม่แบบถอดด้ามยังง่ายกว่าเยอะเลย เพราะทั้งหมดนั้น มันเป็นแค่บันทึกธรรมดาๆ เท่านั้นเอง กล่าวคือ ณ วันที่เขียนบันทึกและเผยแพร่ในบล็อกนั้น ผมก็ไม่เคยได้วางประเด็น วางโครงเรื่อง หรือวางกลวิธีการเขียนไว้ล่วงหน้า-พบเจออะไรมาก็เขียนสดๆ เน้นความสดของเรื่อง เพียงหวังจะเป็นการบันทึกชีวิตประจำวันและบันทึกเรื่องราวอัน “ดีงาม”
ที่พบผมได้เจอมาเท่านั้นแหละ และในห้วงนั้น ก็ไม่เคยคิดว่าจะนำมาทำเป็นหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้น มันจึงเป็นแค่บันทึกธรรมดาๆ เท่านั้นเอง..
และก่อนนั้น ก็ไม่เคยคิดที่จะนำเอาบันทึกที่ว่านี้มาทำเป็นหนังสือขาย-จ่ายแจกเลยสักนิด
เมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องการทำหนังสือจึงหยุดชะงักไปห้วงหนึ่ง ซึ่งห้วงที่ว่านั้นก็ยาวนานหลายเดือนเลยทีเดียว
กระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่เดินเล่นเพลินๆ อยู่ในร้านหนังสือแห่งหนึ่งกลางใจเมืองมหาสารคาม ผมมีโอกาสได้เจอนักเขียนชื่อดังท่านหนึ่งโดยบังเอิญ (ปัจจุบันเข้ารอบสุดท้ายของซีไรต์ปีนี้) คล้ายกับนักเขียนท่านนี้แว่วยินเรื่องราวการทำหนังสือของผมมาบ้างแล้ว ดังนั้นการสนทนาในเรื่องดังกล่าวจึงเปิดตัวขึ้นอย่างง่ายงาม ..
ครั้งนั้น (หรือวันนั้น) ... นักเขียนที่ว่านี้ก็บอกกล่าวต่อผมในทำนองว่า “ทำเลย ไม่ต้องปรับแต่งแล้ว รักษาต้นฉบับนั้นให้มากที่สุด มายังไงก็เสนอไปตามนั้น ทำเล่มแรกให้มันได้ แล้วมันจะทะลายกำแพงบางอย่างลง บางทีเราอาจจะพบพลังมหาศาลที่อยู่ในตัวเรา พอทำเล่มที่สอง ค่อยจัดวางระบบเรื่องใหม่ เอาให้ชัดตั้งแต่ต้นเลย...”
เช่นนั้นแหละ ถัดจากวันนั้น ผมก็หันกลับมาปัดฝุ่นต้นฉบับ และเอาจริงเอาจังกับความฝันของตนเอง ด้วยการเดินหน้านำเอาบันทึกในบล็อกมาทำเป็นหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คอย่างที่ใจพึงปรารถนา..
ผมไม่สนใจว่ามาตรฐานของเนื้อหานั้นจะเป็นอย่างไร เพราะผมไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพที่ต้องคิดให้หนักหากต้องทำหนังสือสักเล่ม มีเพียงมาตรฐานเดียวเท่านั้นที่ผมสัมผัสได้ นั่นคือ “ความสุข” หรือ “มาตรฐานแห่งใจของผมเอง” ซึ่งนั่นก็หมายถึง ...มันเป็นความฝันของผมเอง เมื่อพร้อมผมก็ควรต้องลงมือทำ ไม่ใช่ขลาดกลัว หรือทรยศต่อความฝันของตัวเอง พร้อมๆ กับการย้ำเตือนตัวเองว่า ความฝันที่เป็นจริงได้ ย่อมเกิดจากการลงมือทำ และหากเราติดยึดกับมาตรฐานของคนอื่นมากจนเกินไป เราย่อมไม่อาจมีก้าวแรกของเราได้เลยก็เป็นได้...
และจากนี้ไปก็คือ ส่วนหนึ่งที่ปรากฏในคำนำหนังสืออันเป็นที่รักของผม..
ผมอยากให้ทุกท่านได้อ่าน เพราะบันทึกต่อไป ผมจะบอกเล่าถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ปรากฏในคำนำของหนังสือ แต่เป็นพลังที่ผมคิดและปรารถนาที่จะให้หนังสือของผมได้ทำหน้าที่ที่มากกว่าการเป็นความฝันส่วนตัวของผมเอง...
เชิญครับ...
มันเป็นแค่บันทึกธรรมดาเท่านั้นเอง-
ครับ-ผมบอกกับใครต่อใครในทำนองนั้นเสมอเมื่อจำต้องพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ เพราะในความเป็นจริงนั้น เรื่องทุกเรื่องก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ และผมก็ไม่อาจเรียกได้ว่างานเขียนของผมนั้นเป็นบทความ, สารคดี, หรือแม้แต่ความเรียงได้เลย เพราะไม่ว่าองค์ประกอบใดก็ตาม ล้วนยังคงไกลสุดกู่นักหากต้องเทียบเคียงกับประเภทของงานเขียนที่ผมกล่าวถึง
เรื่องทุกเรื่องที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ ล้วนเป็นบันทึกที่ผมเขียนไว้ในบล็อก (Blog) ของสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (gotoknow.org) โดยใช้นามแฝงว่า “แผ่นดิน”
ผมเขียนเรื่องราวเหล่านี้ด้วยจุดหมายอันชัดเจนมาตลอด นั่นคือการพยายามที่จะบันทึกเรื่องราวอันดีงามของนิสิตที่เพียรพยายามทุ่มเทกายและใจให้กับการทำประโยชน์ต่อสังคม และนั่นอาจหมายรวมถึงการทำหน้าที่บอกกล่าวให้รู้ว่า คนหนุ่มสาวในมหาวิทยาลัยยังคงเต็มไปด้วยไฟฝันของชีวิต เช่นเดียวกับชีวิตในโลกใบนี้ก็ยังมีเรื่องราวอันดีงามให้สัมผัสพบเจออยู่อย่างไม่เหือดแห้ง
นอกจากนี้ยังมุ่งหวังเป็นการส่วนตัวว่าเรื่องราวในบันทึกของผมนั้นจะกลายเป็นจดหมายเหตุชีวิตของนิสิตบนถนนสายกิจกรรมของมหาวิทยาลัยโดยปริยาย ในภายภาคหน้าจะได้ไม่ต้องมาวิ่งวุ่นและกุมขมับปะติดปะต่อข้อมูลต่างๆ ให้ยุ่งยากเหมือนที่ผมกำลังประสบอยู่ รวมถึงการย้ำให้ผู้คนไม่ลืมว่า ในมหาวิทยาลัยอันเป็นที่รักของผมนี้ ยังคงมีอีกวิถีหนึ่งที่มีคุณค่าและมีความหมายต่อการดำเนินชีวิตของคนหนุ่มสาวปัญญาชนเป็นยิ่งนัก ซึ่งวิถีนั้นก็คือ วิถีกิจกรรม หรือวิถีการเรียนรู้นอกห้องเรียนนั่นเอง...
และการเรียนนอกห้องเรียนนั่นแหละที่ผมเรียกอีกชื่อว่า “เรียนนอกฤดู” อันเป็นชื่อของหนังสือเล่มนี้ เรื่องทุกเรื่อง ล้วนเป็นเรื่องจริงที่ปราศจากการปรุงแต่ง และส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับค่ายอาสาพัฒนาแทบทั้งสิ้น เพราะผมเองก็เชื่อเสมอว่า ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน งานค่ายอาสาพัฒนาก็ยังเป็นทางเลือกในอันดับต้นๆ ที่เหมาะต่อการเป็นเครื่องมือแห่งการเพาะบ่มให้คนหนุ่มสาวในมหาวิทยาลัยเกิดกระบวนการเรียนรู้โลกและชีวิต สร้างเจตคติที่ดีต่อการชีวิตและมีจิตสำนึกที่ดีต่อการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
ที่สำคัญ ผมเองก็เชื่อและศรัทธาเรื่อยมาอย่างไม่เปลี่ยนแปลงว่า ถึงแม้สังคมในมหาวิทยาลัยจะพลิกผันไปแค่ไหน แต่งานค่ายอาสาพัฒนาก็ยังเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ให้คนหนุ่มสาวที่เรียกตนเองว่าปัญญาชนได้ก้าวเข้าไปสัมผัสอย่างไม่รู้เบื่อ...
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ “เรียนนอกฤดู” จึงเป็นการยืนยันว่านี่คือ “ห้องเรียนชีวิต” อีกห้องเรียนหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้ โดยเฉพาะในวันและวัยของคนหนุ่มสาวที่กำลังเตรียมความพร้อมออกไปสู่การเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอย่างแท้จริง
แต่สำหรับผมแล้ว ผมมีความสุขเป็นที่สุดกับการได้บันทึกเรื่องราวอันดีงามเหล่านี้ไว้ด้วยตนเอง และไม่อาจเฝ้าฝันหรอกว่าหนังสือเล่มนี้ จะมีพลังมากพอที่จะขับส่งให้ผู้อ่านได้ก้าวออกไปเรียนนอกฤดูของตนเองได้ เพราะมันเป็นแต่เพียงบันทึกธรรมดาๆ เท่านั้นเอง
แต่ถ้าโชคดี จะมีใครสักคนที่อ่านแล้ว หันกลับไปเปลี่ยนมุมคิดของตนเองให้ก้าวทะยานออกไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และใส่ใจกับคนรอบข้างขึ้นบ้าง ผมก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างยิ่งใหญ่สำหรับผม
หากแต่วันนี้ ผมก็เชื่อว่า เราทุกคนล้วนมีฤดูกาลของชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่า คนแต่ละคนกล้าพอที่จะเรียนรู้นอกกรอบนอกกติกาบ้างหรือไม่เท่านั้นเอง
โชคดีกับชีวิตกันทุกคน
พนัส ปรีวาสนา
ว๊าว..ออกมาเป็นรูปเล่มแล้วเหรอคะเนี่ย..ตื่นเต้นด้วยจังค่ะ..วู๊๊๊ๆๆๆ
..
ยินดีด้วยนะคะ..หนุ่มน้อยหน้าปกหล่ออย่าบอกใครเชียว..อิอิ..
เชียร์นะคะ..อาจารย์พนัสเป็นคนที่เขียนคำสละสลวย มากค่ะ..
อันนี้..แฟนคลับหนังสือทำมือฝากมาค่ะ..อิอิ..
ขอบคุณมิตรภาพที่งดงามเสมอนี้นะคะ..
^^
มาชื่นชมครับ
สวัสดีค่ะ
ขอเป็นกำลังใจ
ให้ประสบความสำเร็จ
ที่ตั้งความปรารถนาไว้
ปกน่ารักและสื่อความได้ดี
รออ่านข้างในอยู่ค่ะ
ขอให้โชคดีนะคะ
เป็นกำลังใจให้ตลอดเวลานะคะ บันทึกคุณพนัสน่าอ่านทุกบันทึกค่ะ
หน้าปกหนังสือ สวยมากค่ะ
สวัสดีค่ะอาจารย์แผ่นดิน
สวัสดีค่ะ น้องแผ่นดิน
โชคดีน้องรัก
พี่ติ๋ว.
สวัสดีค่ะ
*** อ่านบันทึกความเห็นชื่นชมและให้กำลังใจอาจารย์แล้วปลื้มแทน
*** ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
สวัสดีค่ะ
มาชื่นชมกับผลผลิตที่น่าสนใจยิ่ง
ผมอ่านบันทึกของอาจารย์แล้วอยากกลับไปเป็นนักศึกษาทำกิจกรรม อยากให้ลูกเป็นลูกศิษย์อาจารย์เพราะเชื่อมั่นว่าเขาจะได้รับแต่สิ่งดีๆของชีวิต แต่เขาก็จบมาแล้วจากสถาบันการศึกษาทางภาคใต้ทั้ง สงขลานครินทร์และวลัยลักษณ์ครับ
อยากอ่านหนังสือของท่านจังเลยครับ
ติดตามอ่านบล็อกมา 2-3 ครั้ง
ประทับใจการนำเสนอครับ
ขอชื่นชม
สวัสดีครับ...คุณครูแอ๊ว
จริงๆ แล้วหนังสือทำมือเล่มนั้น (เสียงจากโลกแคบ) หลายบท ผมอ่านแล้วก็เขินตัวเองไม่น้อยนะครับ เพราะบางที เหมือนนักรักพเนจร บางทีก็เหมือนนักเดินทางที่ไร้หลักแหล่ง...และเหมือนผู้รู้อะไรสักอย่าง แต่จริงแท้นั้น เป็นเพียงบทสังเกตการณ์ของผมที่มีต่อโลกและชีวิตเท่านั้นแหละ...
ขอบคุณสำหรับคำชื่นชมที่มีให้นะครับ
ผมน้อมรับและขอเก็บรักษาไว้ด้วยใจ
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ..ท่าน อ.JJ
ดังที่ผมเคยเรียนกับท่านอาจารย์ฯ แหละครับว่า นี่คือเครื่องมือหนึ่งที่ผมหวังจะใช้ในกระบวนการรของการพัฒนานิสิต
มันเป็นเพียงบันทึกธรรมดาๆ..ของผมเอง
และความสุขก็คือการได้ทำ และได้ให้กับคนอื่นในรูปแบบของตัวเอง
...ขอบคุณครับ..
สวัสดีครับ พี่รุ่ง... ตันติราพันธ์
หนังสือเล่มนี้ ไม่ได้ตั้งเป้าว่าต้องได้กำไรเลยนะครับ
ขอเพียงไม่ขาดทุน หรือขาดทุนน้อยที่สุดเท่าที่พึงมีได้
ก็ถือว่า ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดแล้ว
และขอให้คำพรนั้นเป็นจริง...
"ขายดีๆ"
ขอบคุณนะครับ
จะเข้ามาบอกว่า ไปรษณีย์มาส่งหนังสือให้แล้ว ทั้งเล่มเดิมและเล่มใหม่
พี่จะรีบติดต่อไปในอีเมลนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
สวัสดีครับ..ป้าแดง pa_daeng
เมื่อต้องลงมือทำหนังสือสักเล่ม ผมจะทุ่มเทมาก ..ถึงแม้ทุกครั้งทุกเล่ม จะมีข้อผิดพลาดบ้าง แต่ก็ด้วยเหตุสุดวิสัยแทบทั้งสิ้น
ผมมีความรู้สึกว่า หนังสือ...คือ...คนรักของข้าพเจ้าฯ
...ขอบคุณครับ...
สวัสดีค่ะ
* แวะมาเตือนสัญญาค่ะ อิอิ
* รอ รอ รอ รอ รอ รออ่านค่ะ
* สุขกายสุขใจนะคะ
แวะมาขอบคุณและมาเยี่ยมค่ะ บทความของคุณดีมากค่ะ
จากครูเปิ้ล
สวัสดีค่ะพี่แผ่นดิน
โอ้โห พี่แผ่นดินเก่งจังเลยค่ะ
แวะมาให้กำลังใจ อ.แผ่นดินครับ ผมชื่นชอบบทความของอาจารย์มากเลยครับ ได้อารมณ์ ความรู้สึกดีจริงๆ
สวัสดีครับ ครูอรวรรณ
ขอบคุณการมาเยี่ยมเยียนอย่างสม่ำเสมอ นะครับ..
พรุ่งนี้เช้า จะวานให้คุณแดนไท บรรจุหนังสือลงในวองไปรษณีย์
และส่งไปให้ นะครับ ..และคงได้ฝากหนังสือเข้าห้องสมุดเป็นการทดแทนบุญคุยของโรงเรียนเดิมของผมเองด้วยเช่นกัน
สมัยที่เรียน...
ไม่มีเงินกินข้าวเที่ยง เลยไปเก็บตัวอยู่ในห้องสมุด พลอยให้ต้องเสพวรรณกรรมประเภทต่างๆ แทนอาหารเที่ยง...เรื่อยมาเลยก็ว่าได้
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ พี่ศศินันท์ . Sasinand
ผมเลือกปกนี้..เพราะมีคนต่างวัยที่ไปใช้ชีวิตร่วมเรียนรู้อยู่อย่างครบครัน อีกทั้งปกนี้ มีเจ้าตัวเล็กสองคนอยู่ในนั้นด้วย จึงคิดว่าอยากให้รางวัลนี้กับเขา เพราะเขาเองก็ถามเรื่อยมาว่า ปกหนังสือจะมีรุปเขาหรือไม่
ครับ-ที่จริง ปกอื่นก็สวยกว่านี้นะครับ
แต่ด้วยเหตุผลข้างต้น ผมจึงปลงใจเลือก...
ขอบคุณครับ
อาจารย์ ค่ะ ขอสั่งเพิ่ม จาก 1 เป็น 2 เล่ม ส่วนตัว หนึ่ง เล่ม เข้าห้องสมุด โรงเรียน 1 เล่ม นะคะ โอนเงินวันเสาร์ เพราะ อยู่ไกลแบงค์ เจ้า
ชวนอาจารย์ ไปชม **** แต่งเพลง****ผลงาน ชิ้นใหม่ของน้องพอ ด้วยค่ะ ขอบคุณ จ๊าด นักเจ้า
สวัสดีครับ พี่ยาว . เกษตรยะลา
ตอนนี้มีหลายคนชวนให้ผมผมนำหนังสือเสียงจากโลกแคบฉบับทำมือมาทำใหม่อีกรอบ..
ผมบอกว่าไม่ไหวแล้ว..
อยากให้มีแค่นั้น-มันจะได้เป็นตำนานของมันเอง...
เชื่อไหมครับ หนังสือทำมือเล่มนั้น ชาวบล็อกเท่านั้นที่ได้อ่านและเป็นเจ้าของ ครั้งนั้นหักเงินเข้าสมทบโกทูโน 3,000 เลยทีเดียว
แต่คนที่มหาวิทยาลัยฯ แทบไม่ได้อ่านเลย นะครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์ 4 กค... มีความหมายจังเลยค่ะ
ขอให้มีความสุขในการทำงานนะคะ...ฮักแพงกันเด้อค้า คนอีสานคือกัน...
สวัสดีครับ... เมียวดี
..มันเป็นความฝันของผมเอง
มันเป็นจริงได้ เพราะใจรักที่จะ "ทำ"
บางทีนะครับ ใครสักคนอ่านแล้ว อาจคิดที่จะเขียนเรื่องราวของตนเองเผยแพร่..แบ่งปันการอ่าน...
ผมก็ถือว่า ผมประสบความสำเร็จแล้วแหละครับ
อยากได้หนังสือที่อ.แต่งค่ะ
มีวางจำหน่ายที่ไหนค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณมากค่ะสำหรับของขวัญวันเกิดย้อนหลัง ที่เป็นหนังสือเล่มนี้
อ่านและดูภาพประกอบแล้วรู้สึกดีมากๆค่ะ
ขอบคุณที่ได้เป็นส่วนหนึ่งส่วนเล็กๆของหนังสือและชีวิต....
ขอบคุณมากมาย
ตามมา จากบล็อคน้องกอคะ
ชื่นชมอาจารย์นะคะ อยากจะรู้ความในใจ ที่อาจารย์บรรยายคงจะเกี่ยวกับการเข้าค่ายของนักศึกษา ที่เต็มไปด้วย ของจริง และสิ่งที่ได้พบและสรรหามา ในชีวิตจริง ใช่ไหมคะ
สนใจนะคะ ราคาเล่มละเท่าไร ส่งมาทางไปรษณีย์ แล้วจ่ายเงินไปพร้อม เขาเรียกว่า อะไรหละ ส่งมาทางไปรษณีญ์ เราไปรับเอาเงินไปให้พร้อม ส่งพัสดุภัณฑ์ หรือเปล่า ได้เลยนะคะ
จะนำมาอ่านเวลาว่าง เก็บใส่ตู้หนังสือไว้
สวัสดีครับ พี่ติ๋ว..กฤษณา สำเร็จ
............
ผมอ่านทุกคำที่พี่บอกเล่าซ้ำไปซ้ำมาอย่างอิ่มอุ่น อ่านไปยิ้มไป ไม่เคยมีใครชมผมได้ยืดยาวปานนี้เลยก็ว่าได้ จนอดคิดไม่ได้ว่า นี่น่าจะเป็นคำ (ไม่นิยม) ในหนังสือเล่มต่อไปของผมได้ (ถ้าผมทำได้นะครับ)
จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมเองก็ยังคงรักและประทับใจพี่ติ๋วเรื่อยมา..
แทบจะเรียกว่า เป็นบล็อกเกอร์กลุ่มแรกๆ เลยที่ผมมีโอกาสได้พบเจอ..และนั่นก็ทำให้ผมเขิน-และอาย อย่างออกหน้าออกตา
และยิ่งเมื่อครั้งเดินทางไป ม.ราชภัฏเชียงใหม่ด้วยกัน ผมยิ่งรู้สึกประทับใจเป็นที่สุด ไม่ว่า พี่ติ๋ว หรือแม้แต่ อ.แป๋ว...ดูแลผมอย่างดี และนั่นยังไม่รวมถึง นิทานสนุกๆ ที่เจ้าสองหนุ่มของผมได้เคยฟังผ่านบล็อกของพี่ติ๋ว...
คิดถึง และเป็นกำลังใจให้เสมอนะครับ
สวัสดีครับ.. กิติยา เตชะวรรณวุฒิ
ชาวบล็อก..มีมิตรภาพที่ดีเสมอ
ผมไม่เคยกังขาในเรื่องนี้เลย...
ทำอุทิศในหนังสือ ผมจึงจงใจและตั้งใจอย่างมากกับการ กล่าวถึง G2K ...
พอหนังสือเล่มนี้ เล่มมีข่าวความเคลื่อนไหว ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้
ผมก็สัมผัสได้อย่างยิ่งใหญ่ว่า...
กำลังใจของผู้คน-งดงาม เหลือเกิน
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ พี่อัยการชาวเกาะ
ขอบพระคุณมากครับ.
ผมเชื่อว่า ทุกสถาบัน มีแหล่งเรียนรู้ที่ดีด้วยกันทั้งนั้น
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม อาจมีทำเลเหมาะ เพราะตั้งอยู่ติดกับชุมชน มีหมู่บ้านมากมายรายรอบ ดังนั้น การนำพานิสิตไปสู่การเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งหมายถึงการอยู่ร่วมกับชุมชนนั้น ก็จำต้องอาศัยกิจกรรมนิสิตนี่แหละครับเป็นเครื่องมือนำพาเข้าไปสร้างสายสัมพันธ์..
ยังหวังว่า..คงมีโอกาสได้นั่งคุย และนั่งฟังเพลงเพราะจากพี่ฯ อีกนะครับ
แวะมาขอบคุณ...กับคำกล่าวชมของน้องเช่นกันค่ะ...
...และที่แน่ๆ ยังไม่ลืมว่าจะต้องเล่านิทานให้หลานฟังอีก...เพราะสัญญาไว้ หากช้ากว่านี้เดี๋ยวหลานเป็นหนุ่มก่อน จะต้องเปลี่ยนจาก"เล่านิทาน" เป็น "เล่านิยาย" ละยุ่งแน่เลย...อิ อิ
ฝากความคิดถึงมายังเด็กๆด้วยค่ะ
สวัสดีครับ บินหลาดง
ขอบคุณนะครับสำหรับการติดตามบันทึกของผม
ผมเป็นคนประเภทเขียนบันทึกแบบ "เปิดเปลือย"
รู้สึกยังไง ก็ว่าตามนั้น...
และเป็นคนประเภท วิชาการสามบรรทัด..
เขียนด้วยแรงบันดาลใจ-ถ่ายทอดความรู้สึก
และเน้นรุปแบบบันเทิง มากกว่าวิชาการ จะได้อ่านไม่เคร่งเครียดจนเกินไปนัก
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ.. เกษตร(อยู่)จังหวัด
ในโลกนี้ มีเส้นทางลัดสำหรับการเรียนรู้มากมาย
แต่ไม่ว่าจะเส้นทางใด หรือวิธีการใดก้แล้วแต่
ขอเพียงเราลงแรงสัมผัสด้วยตนเอง
สิ่งนั้น ก็มีค่าต่อการตอบโจทย์ของชีวิต แล้วนะครับ
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ พี่ศศินันท์ Sasinand
ดีใจมากครับ ที่ทุกอย่างเดินทางไปถึงปลายทางได้สำเร็จ
หวังอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้คงให้อะไรบ้างนะครับ หรืออย่างน้อยก็ความบันเทิงในยามผ่อนพักชีวิตจากการงาน
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ อ.แผ่นดิน
เข้ามาอ่านครับ เป็นกำลังใจให้ครับ