go to know go to หนองคาย...(ว่าด้วยหัวใจ..ทัศนคติ...ความรัก)


สัมผัสแรกที่รู้ตัวว่าเป็นโรคไตนั้น คล้ายกับว่า ลมหายใจชีวิตในห้วงท้ายกำลังสิ้นสุดลงก็ไม่ปาน มันเหมือนเห็นความตายยืนตระหง่านอยู่ในระยะประชิด หันซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นใครพอจะเกี่ยวยึดประคองได้

 

วันอาทิตย์ที่ผ่านมา (๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓)
          ผมและทีมงานเดินทางออกจากมหาสารคามในราวๆ ๙ นาฬิกา  โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่การไปร่วมงาน “จิตอาสาที่โรงพยาบาลหนองคาย” (go to know go to หนองคาย)
          การไปครั้งนี้ผมพ่วงพาทีมงานไปด้วยเหมือนทุกครั้ง          
          ทีมงานที่ว่านั้น ก็ประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่และนิสิต  โดยหวังว่าพวกเขาจะเรียนรู้อะไรๆ ด้วยตัวเองมากขึ้น  ได้ยืนอยู่หน้าเวทีด้วยตนเอง  ได้นั่งล้อมวงรับฟังและพูดคุยเรื่องราวนานาประการจากผู้ร่วมเสวนา

          และที่สำคัญก็คือ  ผมอยากให้เขามีเครือข่ายที่กว้างขวางมากขึ้น และเห็นพลังของคำว่า “จิตอาสา”  เพราะผมเชื่อว่า “จิตอาสา” คือทางรอดของสังคม

          นอกจากนั้น  ผมยังอยากให้เขาสัมผัสถึงความเป็นคนจิตอาสาของชาว G2K ที่มาต่างทิศต่างถิ่น  แบบว่าไม่คุ้นหน้าแต่คุ้นใจ  และมีความสัมพันธ์ทางใจราวกับคนคบค้าสมาคมกันมาเป็นสิบๆ ปี 
          ปรากฏการณ์ของจิตอาสา G2K จะช่วยให้นิสิตและเจ้าหน้าที่ของผม รับรู้ได้ว่า โดยเนื้อแท้นั้น ไม่มีที่ใดในโลกใบนี้ที่ความดีงามจะเดินทางไปไม่ถึง  เมื่อเรารู้ข่าวความดีงามใดๆ 
ก็ไม่ควรปล่อยเลยให้ความดีงามนั้นๆ ต้องเดินทางไปอย่างเดียวดาย  มันเป็นหน้าที่ของคนทุกคน
ที่ต้องช่วยกัน  ใครทำอะไรได้ก็ต้องทำ  เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดีกว่าไม่ทำ...

       
         ครับ, นั่นคือ  เหตุผล หรือโจทย์ที่ผมอยากให้เขาสัมผัสด้วยตนเอง  มันเป็นวิธีสอนของผม  สอนแบบพาไปดูให้เห็นกับตา... 
         และเมื่อไปถึง ผมก็มักถอย หรือถอนตัวเองออกมา  เพื่อผลัก หรือดันให้พวกเขาได้ก้าวเข้าสัมผัสในเรื่องนั้นด้วยตัวเองให้มากที่สุด         
         วิธีการเช่นนั้น คือสไตล์ที่ผมเป็นนั้นมาโดยตลอด  ผมเป็นประเภทนักคิดและซุกตัวอยู่
ด้านหลัง  เป็นประเภทคิดแต่ไม่เอ็นเตอร์เทน  หรือเรียกแบบเก๋ๆ ว่า หน้าไม่ยิ้มแต่หัวใจยิ้มก็ไม่ผิด
         กระนั้นพวกเขาก็รู้ดีมาโดยตลอดว่า  อย่างไรก็ตาม  เมื่อกิจกรรมสิ้นสุดลง  พวกเขาจะต้อง “ถอดบทเรียน”  ให้ผมฟังเท่านั้นเอง....(ฮา)

 

 

ในเวทีครั้งนี้  ผมได้พบกัลยาณมิตรแห่ง G2K มากมาย
          การได้พบเจอคนที่เราอยากเจอนั้น  ประหนึ่งว่า  เราได้รับคำพร หรือของขวัญอันล้ำค่าจากโลกและชีวิตอย่างน่าทึ่ง

          ถึงแม้การพบเจอในห้วงเวลาอันน้อยนิดนั้น  จะไม่ทำให้เราได้พูดคุย หรือแลกเปลี่ยนกันเท่าที่ควร  แต่ภารกิจเฉพาะหน้าตรงนั้น  ก็ตอบได้ชัดเจนว่า “เรารักและปรารถนา”  ในสิ่งเดียวกัน 
          นั่นก็คือ “ความรักและความปรารถนาดี” ต่อเพื่อนมนุษย์
          (ฟังดูยิ่งใหญ่มากครับ แต่ความยิ่งใหญ่ก็สร้างจากมนุษย์ตัวเล็กๆ ด้วยกันทั้งนั้นมิใช่หรือ)

          และสำคัญที่สุดก็คือ  เราต่างตระหนักรู้ว่า  เรากำลังเรียนรู้ตัวตนของการเป็นผู้ให้  
          ในทำนองเดียวกันนั้น  เราก็กำลังเรียนรู้ที่จะบอกกับผู้รับว่า  เราเป็นแต่เพียง “ผู้นำสาร”  เท่านั้น  เพราะแท้จริงแล้ว  ยังมีคนรักและคนปรารถนาดีต่อพวกเขาอย่างมากมาย  เพียงแต่เดินทางมาไม่ได้เท่านั้นเอง

          ซึ่งทั้งปวงนั้น  ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับคำว่า “โลกไม่เงียบเหงา...เพียงเพราะมีคนให้เราได้คิดถึง” ...

  

 

ทันทีที่กิจกรรมการแยกกลุ่มเริ่มต้นขึ้น
          ผมพาตัวเองมานั่งสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ  โดยมีมะเดี่ยว (สายลม) น้องชายสุดที่รักเขยิบ
มาเจ๊าะแจ๊ะศาสตร์กับผมอย่างเงียบๆ
          เราคุยกันถึงกิจกรรมต่างๆ ที่ผ่านพ้นมาในภาคเช้า  รวมถึงการพยายามเงี่ยหูฟังเรื่องราว
ที่คนในกลุ่มได้ “เปิดเปลือย”  สื่อสารออกมาให้เพื่อนร่วมกลุ่มได้รับรู้... รับฟัง...หรือแม้แต่ได้ร่วมชะตากรรมไปด้วยกัน
          ซึ่งทั้งเจ้าหน้าที่และนิสิตของผม  ก็พาตัวเองขยับเข้าไปร่วมล้อมวง “เล่า” กับกิจกรรมนั้นอย่างไม่อิดออด  ผมจึงได้แต่ภาวนาว่า  พวกเขาคงได้เรียนรู้อะไรบ้างล่ะ  อย่างน้อยก็เรียนรู้เรื่องคุณค่าของการใช้ชีวิต...เรียนรู้เรื่องมิตรภาพจากกันและกัน  รวมถึงเรียนรู้ความหมายของการไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา

          เสร็จจากนั้น  เมื่อถึงเวลาแห่งการสะท้อนบทเรียน  โดยพี่หนานเกียรติและพอลล่า
ให้แต่ละกลุ่มทำการคัดเฟ้นผู้แทนมานำเสนอเรื่องราวที่ชวนประทับใจให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ร่วมกัน 
         ถึงตรงนั่นแหละ  ทั้งผมและมะเดี่ยว จึงถือโอกาสแยกตัวออกจากกัน เพื่อลัดเลาะไปทำหน้าที่บันทึกภาพและร่วมเทใจซึมซับเรื่องราวต่างๆ อย่างใจจดใจจ่อ

 

 
 

         โดยหลักแล้ว  แต่ละกลุ่มดูเหมือนจะบอกเล่าเรื่องราวของแต่ละคนอย่างเปิดเปลือย 
นับตั้งแต่พื้นเพชีวิต  จนกระทั่งมารู้ตัวเองว่าป่วยเป็นโรคไต...
         บางคนบอกเล่าสัมผัสแรกที่รู้ตัวว่าเป็นโรคไตนั้น  คล้ายกับว่า  ลมหายใจชีวิต
ในห้วงท้ายกำลังสิ้นสุดลงก็ไม่ปาน  มันเหมือนเห็นความตายยืนตระหง่านอยู่ในระยะ
ประชิด  หันซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นใครพอจะเกี่ยวยึดประคองได้
 
         ยิ่งได้ยินคำว่า “ระยะสุดท้าย”  ยิ่งเหมือนตัวเองกำลังจะแตกดับสลายกลายเป็นธุลีปลิวหายไปกับสายลมยังไงยังงั้นเลยทีเดียว
         แต่ครั้นพอตั้งสติได้  ก็ยังต้องมาปวดกะบาลกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ดูแล้วช่างมากมาย
ก่ายกองเหลือทน  บางคนถึงขั้นคิดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าจะเอาแรงที่ไหนมายืนหยัดสู้กับเจ้าโรคไตที่ว่านี้ได้
         จนแล้วจนรอด  หลายต่อหลายคนก็ยังยืนหยัดอยู่ได้อย่างทระนง



        

        
         สิ่งสำคัญที่ผมรับรู้และสัมผัสจากเรื่องเล่าเหล่านั้นก็คือ  การมีหัวใจอันกล้าแกร่ง พร้อมที่จะยอมรับสภาวะความจริงที่ผู้ป่วยเป็นอยู่... หรือแม้แต่การพลิกวิกฤตเป็นโอกาส  แทนที่จะสิ้นหวัง หดหู่  ก็ปรับใจเข้าสู่การเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเองอย่างดีที่สุดในวันเวลา
ที่เหลือ

         ผมว่าตรงนี้คือเรื่องของ “ทัศนคติเชิงบวก”  โดยแท้  เพราะมันช่วยย้ำให้รู้ว่าหัวใจของมนุษย์นั้นเข้มแข็งมากยิ่งนัก และมนุษย์ก็ไม่ได้เกิดมาเพียงเพื่อจะพ่ายแพ้ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยปราศจากการต่อสู้
         ถัดจากนั้น  ผมเห็นว่าเรื่องความรักจากคนในครอบครัวก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งใหญ่  เพราะทุกคนยืนยันได้ว่า  การมีคนข้างๆ ยืนหยัดต่อสู้ร่วมกันนั้น ถือเป็นอาวุธอันทรงพลานุภาพอย่างยิ่งใหญ่ในการต่อกรกับโรคภัยไข้เจ็บ
         มันเป็นปรากฏการณ์แห่งการพิสูจน์วิถีแห่งรักโดยแท้ว่า  "ในยามทุกข์ยามยากเช่นนี้ 
คนที่เคยบอกว่ารักเรามากมายนักหนานั้น  ยังคงยืนเคียงข้างเราอยู่อีกหรือไม่  เขายังรู้สึกเจ็บปวด ..รู้สึกร้อนหนาวไปกับเราหรือเปล่า  ..."


เช่นเดียวกับอีกสิ่งหนึ่งที่พวกเขาสะท้อนออกมาก็คือ  มิตรภาพความรักที่ได้รับการดูแลจาก
คุณหมอและพยาบาลนั่นเอง  เพราะนี่คือกระบวนการอันสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดความเชื่อมั่นว่า “ชีวิตยังมีทางออก” เสมอ

 

 

แน่นอนครับ  นั่นคือสิ่งที่ผมได้รับฟังและสัมผัสได้จากหัวใจว่า ความเป็นมนุษย์นั้นมีจุดแข็งอยู่ที่ “หัวใจ” 
         
หัวใจที่ว่านี้  หมายถึง การไม่อ่อนแอ หรือจำนนต่ออุปสรรคใดๆ ที่ผ่านพบหรือรุกล้ำเข้ามาในชีวิต  รวมไปถึงการมี “หัวใจ” ที่พร้อมจะแบ่งปันความรักให้แก่กันและกัน
          และสำหรับการไปเยือนของเหล่าบรรดาบล็อกเกอร์ “จิตอาสา” นั้น  ก็น่าจะทำให้ผู้ป่วย
ได้ร่วมรับรู้บ้างกระมังว่า  นอกจากความรักจากคนในครอบครัวแล้ว พวกเขาก็หาใช่อยู่อย่าง
เดียวดายเสียเมื่อไหร่  คนที่มาในวันนี้ ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติขาดไม่ได้...
          ฉะนี้แล้ว โลกและชีวิต  ยังรื่นรมย์ และมีค่าต่อการยืนหยัดสู้อย่างมากมายนัก
ขอเพียงมีลมหายใจที่ไม่ท้อ...ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีเสมอ

          ส่วนนิสิตและเจ้าหน้าที่ที่ร่วมเดินทางไปกับผมนั้น  คงต้องหาเวลาถอดความรู้กันสักยก
ว่า  เขาทั้งหลาย เห็นและสัมผัสได้กับสิ่งใด  หรือพบพานสัมผัสได้ในสิ่งเดียวกับผม บ้างหรือเปล่า !

 

 

หมายเลขบันทึก: 357721เขียนเมื่อ 11 พฤษภาคม 2010 15:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (19)

สวัสดีครับ อาจารย์

มาร่วมชื่นชมและยินดี

เป็นกิจกรรมที่มีคุณค่าอย่างยิ่งครับ

มาร่วมชื่นชมกิจกรรมกลุ่มทำความดีเพื่อผู้ป่วยโรคไต..ได้อ่านเรื่องเล่าจากหลายๆท่านที่ไปร่วมงานครั้งนี้ ได้แง่คิดและเห็นถึงความปรารถนาดีมากมายค่ะ

                   

ซึ่งทั้งปวงนั้น  ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับคำว่า “โลกไม่เงียบเหงาเพียงเพราะมีคนให้เราได้คิดถึง” ...

ชอบคำฮิตของคุณแผ่นดินนี้จังเลยค่ะ และ ปิดท้ายได้อย่างสวยงาม

โลกและชีวิต  ยังรื่นรมย์ และมีค่าต่อการยืนหยัดสู้อย่างมากมายนัก    ขอเพียงมีลมหายใจที่ไม่ท้อ...ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี

อ่านแล้วอิ่มใจ เพราะเรามีหัวใจ โลกนี้จึงงดงามและยิ่งใหญ่ในความรู้สึก ขอบคุณค่ะ;)

สวัสดีคะ อาจารย์แผ่นดิน  มาที่ 1 เลยคะ   พี่สุดีใจที่ได้พบและเห็นตัวเป็นๆๆของอาจารย์คะ และจากการได้อ่านบทบันทึกนี้แล้ว  พี่สุอ่านแล้วแปลกใจมาก ที่อาจารย์แผ่นดินเขียนมา เล่าได้กินใหญ่  โดนใจ  ฟังแล้วสะท้อนหัวอกคนป่วยเหลือเกิน  ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้กี่วัน

และจากบทความ ที่อาจารย์เขียนมา  เนื้อหา แบบเดียวกับพี่สุเขียน แต่ของอาจารย์ก็เขียนไปอีกแบบหนึ่ง ในเนื้อความประเด็นเดียวกัน

พี่สุก็พึ่งฟื้นตัวเอง มานั่งเขียนบทความ  และพี่สุขอ อนุญาต ขอรูปพี่สุไปไว้ที่บทพี่สุด้วยนะคะ   เพราะเวลาพี่สุทำกิจกรรม ไม่มีคนถ่ายไว้ให้เลย   ของอาจารย์แผ่นดิน ถ่ายรูปได้สวยมากเลยคะ ฝีมือเยี่ยม  และกล้องคงราคาแพงด้วยใช่ไหมคะ ภาพสวยใสจริงๆๆๆคะ  ขอบคุณล่วงหน้านะคะ

อยากเรียนเชิญอาจารย์ไปอ่านของพี่สุดูนะคะ

http://gotoknow.org/blog/lelaxy/357328  GO TO KNOW  GO  TO NONGKHAI จิตอาสา

สวัสดีคะ ลาก่อนคะ  คงจะมีโอกาสได้พบร่วมกิจกรรมกันอีกนะคะ ขอบคุณหนังสือที่อาจารย์เป็นผู้เขียน พี่สุชอบคะ  แล้วจะอ่านนะคะ  ขอบคุณคะ

-เรื่องที่บันทึกนี้  นักศึกษาคงจะได้เรียนรู้ด้วยนะคะ

สวัสดีค่ะ

  • พี่คิมเองได้เรียนรู้กระบวนการเข้าถึงอย่างไม่มีเงื่อนไข
  • เป็นครั้งแรกที่ได้มาร่วมกิจกรรมเป็นกึ่งทางการเช่นนี้
  • กำลังถอดบทเรียนให้ตัวเอง  และจะพยายามเข้าร่วมกิจกรรมแบบนี้บ่อย ๆ
  • เชื่อเช่นเดียวกันว่า...อยากให้เขามีเครือข่ายที่กว้างขวางมากขึ้น และเห็นพลังของคำว่า “จิตอาสา”  เพราะผมเชื่อว่า “จิตอาสา” คือทางรอดของสังคม
  • ทุกอย่างโดยเฉพาะ"จิตอาสา"เมื่อมีคนคิด ต้องมีคนทำ ...และมั่นใจว่าต้องเติบใหญ่ได้อีก...

พี่พนัส..

  • มาชื่นชมกิจกรรมดีๆ
  • ของชาวG2Kค่ะ ^^

สวัสดีครับ

การได้เรียนรู้กับชีวิตจริง เป็นเหมือนทางลัดในการฝึกฝนตนเองไปด้วย

บางครั้งที่ผมเองอยู่ในเวทีเเบบนี้ ทำให้ใจเย็นมากขึ้น ใคร่ครวญกับตัวเองมากขึ้น

ขอบคุณสำหรับจิตอาสาที่ไม่เคยหมดเเรงนะครับ

 

ได้มีโอกาสพบตัวจริง รู้สึกดีใจเป็นที่สุด

เหนื่อยยังไงพอเห็นคนไข้ยิ้ม หัวเราะ ก็หายเหนื่อย เพิ่งฟื้นค่ะอาจารย์

จะนำผลการสะท้อนความรู้สึกของคนไข้และผู้เข้าร่วมกิจกรรมมาเล่านะคะ

ตอนนี้เน็ตที่บ้านก็มีปัญหา

งานนี้ได้เรียนรู้มากมาย ทั้งจากเรื่องราวของผุ้ป่วยที่สะท้อนออกมา

ทั้งจากมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่จากชาวG2K น่าทึ่งจริงๆ

ขอบคุณอาจารย์และทีมงานมากเลยค่ะที่ไปร่วมสร้างความสุขให้ผู้ป่วย

มีคนนึงเขาบอกว่า ชอบหมอลำที่สุด คราวหน้าเชิญมาอีกเด้อ

ขอบคุณหลายๆค่ะ

สวัสดีครับอาจารย์

บันทึกนี้ของอาจารย์งดงามมาก ๆ ครับ

ทำให้อ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ

งางามทั้งตัวบันทึก งดงามทั้งวิธีคิด การวิธีปฏิบัติของอาจารย์

ทำอย่างไรเมืองไทยจะมีครูอย่างนี้มาก ๆ ในมหาวิทยาลัยที่จะหล่อหลอมให้คนรุ่นใหม่ให้อาทรต่อสังคมต่อผู้ทุกข์ยาก

เรียนตามตรงว่าผมมีความหวังน้อยมาก...

แต่การได้มาพบอาจารย์ท่ามกลางความหวังน้อนนิดนี้ทำให้ใจอิ่มเอิบเป็นอย่างยิ่งครับ

นี่และครับโชคดีของชีวิตผม ที่มักจะไม่ขาดช่วงการพบปะคนแบบอาจารย์

กำไรชีวิตครับ...

ว๊าว..ทีมในโกทูโนวเพียบเลยนะคะ..

อบอุ่นและเรียนรู้ร่วมกัน ชื่นมื่นมากค่ะ..

อาจารย์พนัส สบายดีนะคะ..รออ่านบันทึกละเมียดละไมอยู่นะคะ..^^

ว๊าว..ทีมในโกทูโนวเพียบเลยนะคะ..

อบอุ่นและเรียนรู้ร่วมกัน ชื่นมื่นมากค่ะ..

อาจารย์พนัส สบายดีนะคะ..รออ่านบันทึกละเมียดละไมอยู่นะคะ..^^

สวัสดีคะ อาจารย์ ....

ซาบซึ้งและประทับใจ มากมายค่ะ

ขอบคุณ อาจารย์และน้องๆ ทุกท่านนะคะ ที่มาช่วยกันแบ่งปันความสุขและความรักให้กันและกันค่ะ

ไม่ไป ก็เหมือนได้ไป จากบันทึกดีดีเช่นนี้

วันนี้ตั้งใจว่าจะเขียนบันทึก AAR เเต่ว่ามาอ่านที่อาจารย์บันทึกก็เลยคิดในใจว่า ครบถ้วนทุกกระบวนความ ทั้งของพอลล่าเเละคุณหนานด้วย

เเต่ถ้าหากเขียนก็คงประมาณเก็บตก ขอบคุณสำหรับภาพสวยๆ นะคะอาจารย์พนัส เเละเเวะมาขอบคุณสำหรับหนังสือด้วยค่ะ

ขอบคุณมากคะอาจารย์แผ่นดินที่แบ่งปันสิ่งดีๆ และร่วมจิตอาสา

พี่ประทับใจทีมงานของอาจารย์ตั้งแต่จิตอาสาที่ขอนแก่แล้วคะ

จนมีความรู้สึกอยากให้น้องแตมไปเรียนรู้สิ่งดี ๆที่ มมส.

พี่เชื่อว่านิสิตที่ไปด้วยวันั้นคงได้รับสิ่งดีๆ ที่ประทับใจเช่นกัน

  • เข้ามาปลื้มด้วยคนนะคะ
  • หน้าตาคุ้นๆ นะคะ ป้าแดงใช้ไหมคะ
  • ขอให้มีแรงใจทำดีต่อไปค่ะ
  • บันทึกนี้เรียงร้อยถ้อยคำได้งดงามมากค่ะ
  • ความจริงเช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้ชวนพ่อว่าไปหนองคายไหมอยู่เหมือนกัน โดยไม่ได้บอกวัตถุประสงค์แฝง แต่ท่านปฏิเสธ เพราะไม่สะดวกในการเดินเหินและเดินทาง จึงอดไป
  • ประกอบกับมีภาระงานที่จำเป็นต้องไปสะสางด้วย จึงตัดใจ
  • แต่เมื่ออ่านบันทึกนี้แล้ว คิดว่าได้อรรถรสเหมือนได้ร่วมไปด้วยค่ะ ขอบคุณบันทึกนี้ค่ะ

****เพียง “ความรักและความปรารถนาดี” ที่มีให้กันและกันก็เป็นกุศล ความดีจึงมีตัวตน เหมือนที่อ.แผ่นดิน เคยเขียน

*** ขอบคุณภาพสวยเปี่ยมด้วยรอยยิ้มแห่งบุญกุศลค่ะ

  • หรือเรียกแบบเก๋ๆ ว่า หน้าไม่ยิ้มแต่หัวใจยิ้มก็ไม่ผิด

  • รูปผม ก็หน้าไม่ยิ้มนะครับอาจารย์ ^^
  • ..ประทับใจเรื่องเล่าครับ อย่างน้องที่กลุ่มผม อายุเพียง 27 ปี เป็นไตวาย ได้อย่างไร...
  • เขาไปตรวจถึง 6 รอบ สูญเงินค่าตรวจไปหมื่นกว่า เพราะไม่เชื่อว่าตัวเองเป็น....
  • ..พอรู้ค่ารักษาเป็นหมื่น คิดว่า คงหมดหวัง จบชีวิตลงแค่นี้ แต่พอถูกส่งตัวกลับจาก กทม.มารักษาที่หนองคาย ก็พอมีหวัง ปัจจุบันเป็นแม่ที่ดีของลูก พร้อมฝากเตือน อายุน้อยก็เป็นโรคไตได้
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท