ฉลาดอวดโง่...!


ฉลาดอวดโง่... ถึงแม้นว่าจะไม่โง่อย่างลงใจ แต่อย่างไรก็เป็นทางก้าวไปแห่งการลด "ทิฏฐิ มานะ"
คนที่ด่าตัวเองมาก ๆ หรือแม้นบางครั้งจะแกล้งด่า หรือด่าเพราะหวังว่าจะได้เข้าสังคมเข้าชมรมนักปั่น ก็ยังดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ทำไรเสียเลย
การก้าวเดิมทีละน้อยหนทางก็ยังสั้นเข้ากว่าผู้ที่หยุดนิ่งหรือผู้ที่เดินถอยหลังด้วยการหลงตนอยู่ว่า "ฉลาด" เน๊อะ

ตอนก้าวใหม่ ๆ ก้าวไป ก้าวมาก็กล้า ๆ กลัว ๆ
แต่ทว่า การให้โอกาสของคนที่จะก้าวนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐกว่าผลที่เขานั้น "ก้าว" ไป...

คนเรามักจะฉลาดตีความว่าเป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้ "เขาทำก็ดีมากแล้ว"
ถึงแม้นว่าเราเป็น เราทำ เราก็รู้ตัวอยู่ว่าเราเป็น เราทำ เรายังเป็นผู้ฉลาดอวดโง่อยู่หรือไม่...?
เราก็รู้ของเราอยู่แบบนี้แหละ
เราจะไม่ฉลาดไปรู้เรื่องของคนอื่น
เราก็โง่ของเราอยู่อย่างนี้แหละ
เราจะไม่ไปสนใจความโง่ของคนอื่นว่าโง่จริงหรือ "โง่ปลอม..."

เราโง่ของเราอยู่อย่างนี้ โง่ด้วยความเป็น "สัมมาทิฏฐิ..."
โง่ไปเรื่อย บางครั้งโง่จริงแล้วยอมรับว่าโง่
บางครั้งโง่จริงแล้วก็ไม่ยอมรับว่าโง่ หรือยังอวดฉลาด
บางครั้งไม่โง่แล้วก็แกล้งโง่
บางครั้งไม่โง่แล้วก็ใช้ความไม่โง่นั้นให้เกิดประโยชน์
จะเป็นอย่างไร จะนิยามการโง่ออกมาเป็นอย่างไร สุดท้ายวัดกันที่เรา "คิดดี พูดดี และทำดี" หรือไม่...

ถ้าโง่หรือแกล้งโง่แล้วยังคิดดี พูดดี และทำดีอยู่ ก็ถือได้ว่าดี เลิศ และประเสริฐอยู่
แต่ถ้าแกล้งโง่แล้วไปโกหกคนโน้น คนนี้ อย่างนี้ก็ไม่ไหว ผิดศีล ผิดธรรม

ความคิด คำพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำนั้นเป็นตัววัด ตัวกลั่น ตัวกรอง...

คนโง่เขาไม่คิดมาก ความคิดมากนั้นคือ "ความคิดชั่ว"
คนโง่เขาไม่พูดมาก คนพูดมากนั้นคือ "การพูดชั่ว"  พูดเพ้อเจอไปเรื่อย
คนโง่เขาต้องทำมาก คนทำมากนั้นคือ การหยุดความคิดและการพูดที่ชั่ว

เพราะคนทำเขาไม่มีเวลาไปคิด ไม่มีโอกาสที่จะพูด เขาก็โง่ ๆ ทำอยู่อย่างนั้นแหละ
ทำไปเรื่อย ทำจนหมดแรง หัวถึงหมอนก็หลับ
ทำจนไม่มีเวลาพูดกับใคร ทำจนไม่มีเวลาไปคิดว่าใครไปอย่างไร คนที่โง่จริง ๆ ไซร้เขาก็โง่ทำอย่างนี้แหละ...

(ที่มาจากบันทึก ชมรมนักปั่นสัญจร ครั้งที่ ๒...)

คำสำคัญ (Tags): #ความโง่
หมายเลขบันทึก: 303557เขียนเมื่อ 6 ตุลาคม 2009 07:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (21)

ก็พอได้รู้ว่ามันเป็นทางเข้า ก็เหมือนยืนตรงประตู

ยืนถูกประตู เห็นถูกทาง

แต่ทำไม๊ ทำไม

การก้าวขาเข้าไปมันยากจัง

ประตูแห่งความโง่นี่ ไม่ใช่เข้ากันง่าย ๆ เลยนะเนี่ย

สงสัยว่าจะยังโง่ไม่พอ ยังมีความฉลาดอยู่...!!!

คนฉลาดนั้นจะไปไหนมาไหนทีก็ต้องคิดโน่น คิดนี่ หาเหตุ หาผล ต้องเห็นให้ได้เสียก่อนว่าจะไปที่ไหนแล้วได้อะไร...?

คนฉลาดก็เลยต้องควานหาจุดหมายปลายทางให้ได้ ให้เห็นก่อน แล้วจึงค่อยก้าวเท้าเพื่อออกเดินทาง

เหมือนกับคนที่ถามว่า "ตายแล้วไปไหน...?"

คนฉลาด ๆ เขาก็ตั้งตา ตั้งตาหาคำตอบอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่เห็น "ชีวิตหลังความตาย" เขาก็จะไร้ความเชื่อใน "กฎแห่งกรรม"

เราถูกหล่อ ถูกหลอมมาว่า ต้องเห็นจุดหมายปลายทางที่ชัดเจนก่อนถึงจะก้าวเท้าออกเดินทางได้

ถ้าไม่เห็น ไม่ไป ถ้าไร้ซึ่งหลักฐาน ไม่เชื่อ ไม่ฟัง

เราทั้งหลายจึงไม่ได้ไปไหนกันซักที

ก็มัวแต่นั่ง "งม" หาเหตุ หาผล หารูป หาภาพ หา "หลักฐาน" ว่าจุดหมายปลายทางนั้น "มีจริง..."

ถ้าไม่เห็นจริง "ไม่ไป..."

แต่คนที่ไป เขาก็ไปไกลเสียเกินกว่าจะมีเวลากลับมาบอกเราได้ทัน...

คนไปเขาก็ไปไกลแล้ว กว่าเขาจะเจอ เราก็ยัง "โง่" ยืนอยู่ที่จุดเดิม...

ในอดีต เราไม่ได้เห็นอะไรอีกหลายอย่าง เมื่อก่อนเราไม่เชื่อ

เดี๋ยวนี้ เราได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่าง วันนี้เรากลับมาเชื่อ

อนาคต เราคงจะได้เห็นอะไรอีกหลายอย่าง วันหน้าก็อาจจะเชื่อ แต่วันนี้ก็ยังไม่เชื่อ

อนาคตนั้นคงไม่อยู่รอเราให้พิสูจน์เสมอไป เพราะใครจะรู้ความตายแม้นพรุ่งนี้...

ถ้าไม่เริ่มก้าวเดิน ชีวิตก็ย่อมต้องเผชิญกับ "หายนะ" ไม่ว่าจะเป็นความแก่ ความเจ็บ และ ความตาย...

เจ้าค่ะ ไม่สงสัยแล้วเจ้าค่ะ

 หายใจสบายเจ้าค่ะ

ยิ้มไว้ ๆ ก้าวเดินต่อไป ไม่คิด ไม่ปรุง ไม่ท้อ ไม่รอ ทำ ทำ ทำ

ทำตามหน้าที่ มุ่งมัน ขยัน อดทน

ดีมาก ๆ

สงสัยมาก "โง่" มากนะ

อย่าไปทำ "โง่ ๆ" แบบนั้นอีกนะ

ถ้าเคย "โง่" อย่างนั้นแล้วก็ "ช่างหัวมัน" เอาใหม่ เอาใหม่ ยิ้มไว้ หายใจให้สบายไว้...

มีหน้าที่ทำก็ทำนะ มีหน้าที่เขียนก็เขียน

เหนื่อยก็ทำ ไม่เหนื่อยก็ทำ ทำมันไปอย่างนั้นแหละ...

การที่ไม่คิดมาก ไม่พูดมาก ไม่รู้เรื่องคนอื่นมาก นั่นคือคนโง่หรือคะ การที่คนเคยคิดมาก พูดมาก คอยรู้เรื่องคนอื่นมาก นั่นคือคนฉลาดหรือคะ ไม่ค่อยเข้าใจขอคำอธิบายด้วยคะ

ถูกต้องส่วนหนึ่ง ไม่ถูกต้องส่วนหนึ่ง

ถูกต้องในส่วนที่ว่า คนโง่นั้นไม่คิดมาก ไม่พูดมาก ไม่ต้องรู้เรื่องคนอื่นมาก ก็ "สบาย"

ไม่ถูกต้องในส่วน "การที่ไม่คิดมาก ไม่พูดมาก ไม่รู้เรื่องคนอื่นมาก นั่นคือคนโง่หรือคะ" เขาไม่ใช่คนโง่หรอก แต่เขารู้จักฉลาดที่จะโง่...

บางคนนั้นฉลาดมาก ฉลาดไม่เข้าเรื่อง

เขาพูดอะไรนิด อะไรหน่อยก็ "ฉลาด" เก็บมาคิด เก็บมาตีความ

บางครั้งเขาไม่ได้ว่าเรา ก็นึกว่าเขาว่าเรา

หรือเขากระทบกระแทกเรา ก็ดัน "ฉลาด" ไปรู้ว่าเขาว่าเรา

รู้แล้วเป็นอย่างไร เจ็บไหม ทุกข์ไหม

สู้คนโง่ไม่ได้ อย่าว่าแต่เขากระทบกระเทียบเลย บางครั้งเขาด่าตรง ๆ ก็ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้สึกรู้สา

คนไม่รู้เรื่องสบายมั๊ย "สบาย" นอนหลับสบาย

คนฉลาด ๆ นี้รู้มาก คิดมาก นอนกลับไปโกรธ ไปเครียดทั้งคืน

ใครโง่ ใครฉลาดกว่ากันน๊อ ไหนลองตอบหน่อยซิ...?

ก็คงเป็นคนโง่ที่ฉลาดกว่าที่ไม่รับรู้เรื่องอะไรใดๆทั้งสิ้น

ส่วนคนฉลาดคงจะทุกข์น่าดูเพราะความรู้มาก

ตรงนี่ซิคะที่สำคัญ การที่คนเราจะเป็นคนโง่นี่ทำยากมากคือที่ไม่รับรู้เรื่องใดๆทั้งสิ้นไม่ว่าจะดี/ร้าย (ซึ่งกำลังทำอยู่)

แต่เมื่อก่อนนี่ ฟังทุกเรื่อง รับทุกเรื่อง ตอบทุกเรื่อง ปวดใจทุกครั้ง

แล้วก็กลับไปเสียใจอยู่คนเดียว ทุกครั้ง โดยไม่มีใครรู้ (นี่แหละคนฉลาดแน่ๆ)

ที่คิดว่าการได้รับรู้ทุกเรื่องช่วยแก้ไขทุกเรื่อง แต่สิ่งที่ได้รับนั้นคือความทุกข์ทั้งนั้น

แต่ตอนนี้ที่กำลังทำอยู่ ก็ตั้งใจเลยว่าฟังทุกเรื่องแต่เลือกที่จะตอบ ไม่ตอบทุกเรื่อง

จะไม่ตอบเหมือนเมื่อก่อนทุกเรื่อง วันๆจะทำงานคุยแต่เรื่องงานซึ่งเป็นเรื่องปกติ

แต่ถ้าเป็นชีวิตครอบครัวจะนิ่งฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง พ่อ แม่ พี่น้อง ที่อลเวง อลม่าน

แต่เลือกที่จะตอบที่ไม่กระทบใคร เรื่องที่มันไม่จำเป็น ไม่พูดเสีย เงียบๆ

(เมื่อก่อนนี้ทำไม่ได้แต่ตอนนี้พอเจ็บมากๆก็ต้องคิดว่าถ้าตอบไปแล้วผลตอบแทนนั้นคือ ความทุกข์ที่จะได้รับกลับบ้านวันนี้ ก็ไม่เอา)

เวลาพูดน้อย สิ่งแรกที่รู้สึกเลยคือปัญหาที่จะเกิดตามมามันน้อยลง

ไม่เหนื่อยกับการพูด ไม่เจอคำพูดที่มากระทบใจให้เจ็บปวด

ไม่เจออะไรเลย ว่างๆ เฉยๆ คนอื่นก็แปลกใจว่าทำไมถึงไม่พูด

เดี๋ยวนี้ก็รู้สึกดีขึ้น

แต่ยังมีข้อเสียอีกข้อ คือ เวลาเห็นใครทุกข์ ก็อดที่จะช่วยเขาไม่ได้

ทั้งๆที่ในบางครั้งช่วยแล้วตนเองเจ็บก็ยังทำอยู่ไม่รู้

ว่าแบบนี้เป็นคนโง่หรือคนฉลาดคะ

ก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ว่าง ๆ ก็ "โง่" บ้างก็ได้ ไม่ต้องไปฉลาดรู้ทุกเรื่องหรอก

ทำไปเฉย ๆ กับเรื่องราวที่ผ่านไปมาในชีวิตบ้าง

รู้มากก็เรื่องมาก รู้เรื่องมากก็วุ่นวาย

ถ้าใครด่าเราแล้วเราไม่รู้เรื่องมันก็จบ

แต่ไอ้เรามันดันฉลาด "หูดี" เข้าใจตีความ ว่าเขาด่าเราอย่างโน้น เขานินทาเราอย่างนี้

พอรู้แล้วก็เอามาเจ็บช้ำน้ำใจ "นอนไม่หลับ..."

ถ้าช่วยได้ก็ช่วยไป เรื่องช่วยนั้นเรื่องหนึ่ง เรื่องปล่อยวางนั้นเรื่องหนึ่ง

เวลาจะเจริญเมตตาบารมี "ปัญญา" บารมีมันก็ต้องเอามาใช้ควบคู่กันด้วย

มีหน้าที่ช่วยก็ช่วยไป ช่วยเสร็จก็จบ

อย่าไปหวังว่าช่วยเขาแล้วเขาจะเห็นความดีของเรา

ไอ้ตัว "หวัง" เนี่ยแหละตัวทุกข์ แต่ตัว "ช่วย" นั้นไม่ทุกข์หรอก

หวังมากก็ผิดหวังมาก เมื่อมีหวังก็ต้องยอมรับ "ความทุกข์..."

ถูกเลยคะตอนใครว่า/ด่าเรา สมองมันแล่นเลยมีความคิดว่าจะตอบโต้อย่างไรดีแหม มาว่าเราได้

เพิ่งมาคิดได้ว่าถ้าคิดแบบนี้มันฉลาดจังเลย แต่ทุกข์มากมาย

ปัจจุบันคิดแค่ว่าทำอย่างไรที่เรา จะนิ่ง จะเงียบ จะมีสติ ให้ได้มากที่สุด

จะไม่ให้หลุดคำพูดที่ฉลาดๆออกไปได้ แล้วก็รู้สึกว่า มีบททดสอบมาลองใจ ทุกวันเลย

ก็ต้องขอบคุณที่มาลองใจ แรกๆก็แพ้ ตอนนี้ก็เริ่มแพ้ บ้าง ชนะ บาง ไม่แพ้อย่างเดียวแล้ว

คงจะต้องฝึกไปเรื่อยๆจนกว่า นิ่ง ก็ไม่รู้ว่า จะสงบ นิ่ง ได้ตอนไหน ตอนไหนก็ตอนนั้น

อย่าไปหวัง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยังทำไมได้ ต้องยอมรับตามประสาคนโง่ เลย

เคยชินมากเกินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ สิ่งนี้คือสิ่งที่ต้องปรับปรุงโดยด่วน ไม่รู้ ว่าต้องเริ่มอย่างไร

ชอบหวัง คาดหวัง รอผล นี่เป็นสิ่งที่แย่และยังมีอยู่ในตัวเองมากอยู่ อยากหาทางออกเหมือนกัน

สวัสดีครับ เยี่ยมครับ ได้แง่คิดอะไรจากท่านหลายอย่าง ส่วนตัวผมมักเตือนตัวเองอยู่ตลอดครับว่ายิ่งเรารู้มากเท่าใด เรายิ่งรู้น้อยเท่านั้น เพราะมันมีอะไรที่ลึกซึ้งที่ต้องศึกษาอีกมากมาย เป็นกำลังใจให้ท่าน ผู้ที่ทำงานเพื่อประชาชนครับ

ติดตามมา สังเกตการหมุนเกลียวเจ้าค่ะ

 

การที่มีคนมาด่าเรา มาว่าเรา มาทำอะไรต่าง ๆ ให้เราไม่พอใจนั้นเขาป็น "ครู" ที่ดีที่สุดของเรา

คนที่มี "ปัญหา" จะเป็นคนที่มี "ปัญญา"

คนที่มี "ปัญหามาก" จึงจะเป็นคนที่มี "ปัญญามาก"

แต่ถ้าจะมี "ปัญญา" ที่เป็น "สัมมาทิฏฐิ" นั้นก็จะต้องใช้ "ธรรมะ" เป็นเครื่องตัดสินใจในการ "แก้ปัญหา"

แต่ถ้าพูดตามหลักแล้ว คนที่ไม่มีธรรมะก็คือคนที่ไม่มี "ศีล" ถ้าไม่มีศีลแล้ว สมาธิกับ "ปัญญา" จะมาจากที่ไหนเน๊อะ...

สิ่งที่ยังทำไม่ได้คือ ความคาดหวัง รู้สึกไม่ผ่านทุกครั้ง เพราะคาดหวังทุกครั้ง

จึงทุกข์ที่คาดหวัง ทั้งๆที่ จะเป็น พ่ แม่ พี่น้อง ก็ไม่ควรคาดหวังเลยใช่ไหม

จริงๆ การที่บอกว่า ทำสิ่งใด ก็แล้วแต่ อย่าได้หวังสิ่งตอบแทน แม้นแต่คำชม หรือรอยยิ้ม ก็ตาม

เพราะทุกครั้งที่ทำ คงหวังให้เขามีความสุข ดีใจ กับการที่เราทำสิ่งใดๆก็ตามให้กับผู้บังเกิดเกล้า

แต่ผลที่ได้รับ กับเป็นตรงกันข้าม ไม่ถูกใจ บางครั้งไม่พอใจเลย พอได้รับแบบนี้ มันแย่น่าดู

เหมือนอาทิตย์ ที่ผ่านมา ได้ไปออกโรงทาน แบบนั้นทำโดยไม่ได้หวังอะไรเลย

ทำด้วยความเต็มใจ ทั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์ ที่สำคัญกำลังใจ

ทำเสร็จก็เหนื่อย แต่ก็รู้สึกดี แบบนี้ใช่ไหม ที่คือการที่ไม่คาดหวังใดๆ

การทำความดี เต็มใจ นั้นเป็นสุขจริง ไม่ต้องการสิ่งใดเลย ยิ่งสุขมาก

ทำให้คิดถึงเรื่องที่คาดหวัง ก็เพราะหวังผล นั่นแหละ ที่ทำให้ทุกข์

ทำให้เศร้า ทำให้ผิดหวัง ก็เป็นเพราะตนนั่นเอง ที่คาดหวัง สมน้ำหน้า

เมื่อเวลาที่ มีคนนั้นมาต่อว่าเรานั้น พูด ๆ แล้วก็พูด เขาคงมีความสุขกับคำพูดที่ดังๆ ของเขา

เรามองดูเขา ไม่ตอบโต้ และไม่พูดอะไรสักคำ ตอบแค่สั้นๆไปเท่านั้น เพราะเขาอยากได้คำตอบ

ถ้าเป็นเมื่อก่อนละก็ ไม่มีมาพูดได้อย่างนี้หรอก ต้องมีคำตอบกลับไปแน่นอน ไม่ต้องห่วง

แต่มาวันนี้ เราไม่แล้ว ไม่รู้จะพูดทำไม ไม่รู้สึกอะไร ไม่คิดจะเถียงไปเพื่ออะไร

มองดูตนเองเหมือนกัน ว่าทำไม ถึงนิ่งได้ เพราะอะไร ใจเย็นเหรอ ก็ไม่นะ

บางครั้ง ก็ยังมีอารมณ์โมโห มีอารมณ์โกธร อยู่ ยังมีกิเลส อยู่

ไม่เชื่อตนเองเหมือนกันว่าทำไมนิ่ง หรือว่าไม่มีแรงสู้ ไม่ใช่มีแรง แต่ไม่สู้

ความสุขใดไม่เท่า ความนิ่ง และความสงบ จริงๆ

เพราะรู้สึกเฉยๆ ไม่โกธร ไม่โมโห ดีใจมาก

ค่อย ๆ ทำไป ล้มบ้าง ลุกบ้าง ชาตินี้ยังทำไม่ได้ ก็เอาไว้ชาติหน้า

แต่เรื่องชาติหน้านี้ต้องภาวนาให้ดีนะ ใครจะรู้เล่าว่าชาติหน้าเราจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนาอีก

ยิ่งถ้าห่วงมาก ห่วงโน่น ห่วงนี่ ดีไม่ดีชาติหน้าเกิดเป็น "ลูกหมา" แล้วจะยุ่ง...

ถูกต้อง ถูกต้อง ขอเสริมอีกคำหนึ่ง "สมน้ำหน้า"

แต่ว่าไปพูดคำว่า "สมน้ำหน้า" ไปแล้วตั้งหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เข็ดอีกนะนี่

สงสัยจะต้องหาคำใหม่ คำนี้คงจะยังไม่สะกิด สะเกาใจสักเท่าไรเน๊อะ 555

มีหน้าที่ทำก็ทำไปนะ ทำไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็ทำ ไม่เหนือ่ยก็ให้ทำนะ..

คงต้องพยายามทำในชาตินี้คะ เพราะชาติหน้าอาจไม่มีโอกาสแน่เลย

เกิดเป็นลูกหมาล่ะก็ คงไม่มีโอกาสทำแน่นอน

เริ่มชินกับคำ "สมน้ำหน้า" เริ่มเฉยๆไม่ค่อยรู้สึกอะไรสักเท้าไร ถ้าจะด้านได้ที่ หรือจะเริ่มโง่ ก็ไม่รู้

ถ้าเราทำแบบสบายๆ โดยที่ไม่ไประบุเจาะจงสักเท่าไร ให้ผลออกมา ตามธรรมชาติ ก็คงดูดี

เช่น มีคนมาว่า เราพยายามกดดันตัวเองไม่ให้พูด คิดว่าแบบนั้นไม่ใช่ธรรมชาติ ซักเท่าไร

สู้ ทำแบบสบายๆ จะพูดหรือก็พูดฟังที่พูดแต่เหมือนเขาหูซ้ายทะลุออกหูขวา (ทำตัวเหมือนเป็นคนบ้า)

เพราะคนบ้าเขาไม่รู้สิ่งใด เลย ไม่ว่า คำชม คำติ คำด่า

แบบนี้ถ้าจะดี

ดีมาก ๆ

ถึงชาตินี้อุปสรรคจะเยอะ แต่ก็ต้องพยายามหน่อย อย่าท้อแท้ไปเสียก่อน...

อื่ม... ต้องชินหน่อย เพราะเราน่ะเป็นพวก "เจ็บแล้วไม่จำ" ขนาดโดนว่าขนาดนี้แล้วก็ยังไปเจ็บซ้ำเดิมอีก

อย่าลืมที่สำคัญ ต้องพูดให้น้อยลงอีก หัดนิ่งไว้ให้มาก ๆ

หัดสงบปาก สงบคำ หัดอยู่เฉย ๆ บ้าง

หยุดความคิดที่จะว่าคนอื่น หยุด "ปาก" ที่จะว่าคนอื่นให้ได้ แล้วชีวิตจะ "สงบ" ขึ้นอีกเยอะ...

อยากถามท่านว่า ถ้าหมดกำลังใจ ควรจะทำอย่างไรดี และที่สำคัญความท้อใจ หดหู่ใจ นี่ซิเรื่องใหญ่ไม่รู้ทำอย่างไรให้กำลังใจนั้นกลับมาเหมือนเดิม ขอคำชี้นำนะคะ

อยากถามท่านว่า ถ้าหมดกำลังใจ ควจะทำอย่างไรดี และที่สำคัญความท้อใจ หดหู่ใจ นี่ซิเรื่องใหญ่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้กำลังใจนั้นกลับมาเหมือนเดิม ขอคำชี้นำนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท