ตอน ... โอ้โห ! เมืองมรดกโลก(โดย น้ำฝน)
น้องสาวไปเที่ยวเมืองลาว
เห็นว่าสนุกดี ก็เลยอยากนำมาแบ่งปันความประทับใจ
เชิญอ่านครับ ===>
--------------------------------------------
ไป “ เบิ่ง ” เมืองลาวให้เห็นกะตา
ตอน ... โอ้โห ! เมืองมรดกโลก (โดย น้ำฝน)
ความเดิมตอนที่แล้ว ... เราเดินทางจากเชียงของ จ.เชียงราย สู่ เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว โดยทางเรือล่องแม่น้ำโขงลงมา การเดินทางนานกว่า 10 ชม. ก็สิ้นสุดลง ...
ทันทีที่เรือของเราจอดเทียบท่า ผู้โดยสารทั้ง 10 คน ( ลูกทัวร์ 8 ไกด์ 2 ) ต่างก็ช่วยกันหอบหิ้วข้าวของสัมภาระต่าง ๆ ลงจากเรือ ... สองเท้าเหยียบพื้นดิน ก็เกิดอาการโคลงเคลงไปตาม ๆ กัน เดากันไปว่า อาจเป็นอาการเมาบก (( แต่ก็แอบคิดในใจว่า อาจเป็นอาการของคนหิวข้าวจนจะเป็นลมซะมากกว่า 555++ )) ... ลูกทัวร์พร้อมแล้ว คุณน้องบอยก็พาเราออกเดิน ด้วยสภาพบรรยากาศที่มืดแล้ว แสงไฟก็น้อยนิด ทำให้มองบรรยากาศรอบข้างได้ไม่ชัดเจนนัก (( และก็ไม่สนใจจะมองแล้วด้วย ต่างก็จ้ำ ๆ ตาม กันไป )) เดินมาได้สัก 50 เมตรเห็นจะได้ ทางพื้นราบก็เริ่มเปลี๋ยนไป๋ ... เป็นทางชัน เงยหน้ามองทาง พลางก็นึกถึงเป้ใบใหญ่ที่แบกอยู่ (( ตรูจะรอดมั้ยเนี๊ยะ ! )) เท้าก็จ้ำต่อไป .... คิดอยู่ในใจว่า พรุ่งนี้จะมาถ่ายรูปทางขึ้นนี้ไว้เป็นที่ระลึกให้ได้
... สุดทางชันก็เป็นถนน ซึ่งสวรรค์ก็เข้าข้างเรา เพราะว่าโรงแรมที่พักอยู่ตรงหน้าพอดี “ โรงแรมหลวงพระบางรีเวอร์ลอร์ด” ... การต้อนรับแรกของทางโรงแรม เมื่อเราเข้าไปติดต่อห้องพัก มีเด็กชายตัวเล็ก ๆ เอาน้ำผลไม้มาเสริฟ ซึ่งมีรสชาติแปลกดี ลักษณะคล้ายกับมะละกอสุกปั่นผสมกับโยเกิร์ต ...และแล้วอาหารมื้อค่ำก็มาถึง ไกด์ก็พาขึ้นรถตู้ (( คงคิดว่าเราหมดแรงเดินแล้ว .. ซึ่งก็ถูกต้อง 555++ )) ไปทานมื้อค่ำที่ “ร้านอาหารตำหนักลาว” พอไปถึงอาหารก็พร้อมเสริฟพอดี จานแรกเป็นสลัดผักน้ำ (( ผักหน้าตาไม่คุ้นเคยเลยค่ะ )) มีน้ำพริก คล้าย ๆ น้ำพริกอ่องของภาคเหนือ แต่รสชาติต่างกันมาก ออกแนวหวาน ต้มจืดตำลึงใส่กุ้งแห้ง (( ชามเบ่อเริ่ม มีกุ้งแห้งนอนก้นชามอยู่ประมาณ 5 – 6 ตัว )) และแกงปลาแม่น้ำ อิ่มหนำสำราญกับมื้อค่ำ พร้อมทั้งไม่พลาดการชิมเบียร์ลาว ที่มีรสนุ่ม และจืดกว่าเบียร์บ้านเรามาก (( พี่เค้าบอกมา หุหุหุ ))
ท้องอิ่มแล้วก็ออกเดินย่อยอาหารที่ตลาดค่ำ ( Night market ) ไกด์ก็ให้ข้อมูลของตลาดนี้คร่าว ๆ ว่าคล้าย ๆกับถนนคนเดิน เปิดตอนเย็นตั้งแต่เวลา 5โมงเย็น ถึงประมาณ 4 ทุ่ม จะมีชาวลาวสูง ลาวเทิ่ง ลาวลุ่ม ชาวบ้านผานมแม้แต่ชาวหลวงพระบางเองนำสินค้าพื้นเมือง ไม่ว่าจะเป็นผ้าปัก ผ้าทอมือ ผ้านุ่ง ผ้าซิ่น เครื่องเงิน เครื่องไม้ สินค้ามากมายถูกวางอยู่บนถนนและริมทางเดิน แถมยังบอกวิธีการต่อราคาสินค้า ให้ต่อประมาณ 20 % ของราคาขาย (( แม่ค้าส่วนใหญ่จะคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินอยู่ที่ 250 กีบ / 1 บาท ซึ่งจะได้น้อยกว่าอัตราแลกเปลี่ยนตามจุดแลกเงิน )) แถมยังบอกอีกว่า ต่อราคาเงินกีบจะต่อได้มากกว่าต่อเป็นราคาเงินไทย เมื่อข้อมูลพร้อมขนาดนี้ เราก็เดินตลาดค่ำกันด้วยหัวใจหึกเหิม ร้อนวิชา กว่าจะเดินผ่านกันได้ก็ปาเข้าไปหลายชั่วโมงอยู่ สำหรับคนที่ไม่รู้จะซื้ออะไร ไปฝากใคร ก็สนุกกับการเดินดูผู้คน ทั้งเจ้าถิ่น นักท่องเที่ยว แม่ค้าส่วนใหญ่จะพูดได้หลายภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ จีน ภาษาไทยนับได้ว่าเป็นภาษาที่เด็กลาวรุ่นใหม่จะพูดได้ควบคู่กับภาษาของตน และพูดได้ชัดมาก เพราะว่าที่ลาวรับข่าวสารทางโทรทัศน์จากไทยแทบทุกช่อง ใครที่ติดละครงอมแงม ไปลาวไม่ต้องห่วง คุณสามารถดูได้ทุกช่อง ชัดด้วย (( ชัดกว่าที่ห้องเค้าอีก กลับมาเลยประชด ติด UBC เลย 55 ))
ออกจากตลาดค่ำได้ ก็พากันเดินกลับโรงแรม เดิน ๆ ไป ตาก็เหลือบไปเห็นตู้ ATM อู้หู ! คลาสสิกมั๊ก ๆ ลักษณะคล้าย ๆ กับป้อมยาม มีประตูคล้ายประตูบ้าน เจาะช่องสำหรับเครื่อง ATM ว่าแล้ว ตู้ATM ก็กลายร่างเป็นนายแบบนางแบบให้ตากล้องถ่ายรูปกันเพลินไป นอกจากนี้แล้วสองข้างทางยังสร้างความเพลิดเพลินได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ราชการต่าง ๆ ที่ช่วยกันอ่านป้ายว่าคือสถานที่อะไร (( อยากยกตัวอย่างน๊ะ แต่กลัวจำผิด หุหุหุ ))
…. 22 กุมภาพันธ์ 2551 หนึ่งวัน กับเมืองมรดกโลก ....
อรุณสวัสดิ์ยามเช้าหลวงพระบาง อากาศดีมากเลยทีเดียว เย็นนิด ๆ เหมาะสำหรับการเดินชมเมืองจริง ๆ หลังจากการตุนเสบียง ไม่ว่าจะเป็นข้าวต้มหมู ไข่ดาว ไส้กรอก แฮม ขนมปังฝรั่งเศส (( คนที่นี่เค้าทานขนมปังฝรั่งเศสกันเป็นอาหารหลักเท่า ๆ กับข้าวเหนียวเลย มีขายให้เห็นอยู่ทั่วไป )) น้ำส้ม และผลไม้ กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็ได้พบกับไกด์ท้องถิ่นชาวลาว “ พี่ประไพ “ ซึ่งก็คือเจ้าของโรงแรมที่เราพักนั่นเอง เมื่อทุกอย่างพร้อมเราก็ออกเดินจากโรงแรม ผ่านตลาดเช้า มีชาวบ้านเดินจับจ่ายซื้อของกัน ของต่าง ๆ จะวางขายกับพื้นถนน ของสดต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะปลูกกันเอง หรือไม่ก็หามา เช่น ปลาแม่น้ำโขง (( ปลาของเค้าสดจริง ๆ วิธีการขายก็จะต่างจากบ้านเรา คือเค้าจะนำปลามาวางบนใบตอง ตัวไหนที่ยังไม่ตาย เหงือกก็ยังพะงาบ ๆ อยู่ ไม่แช่น้ำ หรือว่า ใส่ในกะละมังแบบบ้านเรา ยังสงสัยอยู่ว่าถ้าขายไม่ได้แล้วเค้าจะทำไง เดา ๆ ว่าคงจะเป็นอาหารของที่บ้านไป 555 มั่ว ๆ )) สาระพัดแมลง เนื้อสัตว์ที่ผ่านกรรมวิธีการถนอมอาหารมาแล้ว ผักต่าง ๆ (( และแล้วเราก็เจอผักน้ำด้วย เยอะจริง ๆ )) ที่เด็ด ๆ มีจมูกหมี อุ้งตีนหมีด้วย โฮ่ ๆ ขายให้เห็นกันจะ ๆ
เดิน ๆ อยู่ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนมุงดูไรกันอยู่ ส่งภาษากันฟังไม่ออก ก็เลยหันไปถามไกด์ว่าใช่คนลาวมั้ย ไกด์บอกว่าเป็นทัวร์ของคนเวียดนาม ด้วยจิตวิญญาณของไทยมุงที่มีอยู่ในตัว เราก็เลยพาร่างอันน้อย ๆ ค่อย ๆ แทรกหัวเข้าไปดูว่าเขาทำอะไรกัน ก็เห็นว่าเป็นขายของกินชนิดหนึ่ง คล้าย ๆ กับข้าวเกรียบปากหม้อ กรรมวิธีการทำก็คล้าย ๆ กัน แต่ของเค้าพอใส่ไส้แล้วก็จะม้วน ๆ คล้าย ๆกับก๋วยเตี๋ยวหลอด กลิ่นหอมเชียว นี่ถ้าไม่ได้ทานไรก่อนออกมาหล่ะก็ คงมิวายได้ลิ้มรสกันเป็นแน่แท้ หุหุหุ พอจะหันไปถามไกด์ว่าเจ้านี่มันชื่อว่าอะไร อ้าว ! โน่น เค้าจ้ำไปกันจนท้ายตลาดกันละ จะหันไปถามป้า ๆ ชาวเวียดนาม ก็คงจะพูดกันมิรู้เรื่อง ก็ต้องเลยตามเลย ละก็รีบวิ่งตามทุกคนไป
สถานที่แรกที่พี่ประไพพาพวกเราไปชม พระราชวังเจ้าชีวิต ( Royal Palace Museum ) สร้างขึ้นปี ค.ศ.1904 ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส เป็นอาคารชั้นเดียวยกพื้นสูงแบบฝรั่งเศส แต่มีการผสมผสานระหว่างความเป็นฝรั่งเศสและลาว หลังคายอดปราสาทเป็นศิลปะลาวล้านช้าง ด้วยความที่ถูกผสมผสานจาก 2 ศิลปะ พระราชวังเจ้าชีวิตจึงถูกเปรียบเปรยว่าเป็นลักษณะของฝรั่งสวมชฎา พระราชวังเจ้าชีวิตเป็นที่ประทับของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ กษัตริย์ของลาว ทรงประทับอยู่ที่นี้จนสิ้นพระชนม์ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงถูกเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์วังเจ้ามหาชีวิตแทน ภายในประกอบด้วยห้องฟังธรรม จัดแสดงธรรม ไม้แกะสลักสกุลช่างหลวงพระบาง และพระพุทธรูปสำริดสกุลช่างลาวโบราณช่วงศตวรรษที่ 17-19 ห้องพิธีหรือห้องรับแขกมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวลาวโดยช่างฝีมือชาวฝรั่งเศส ห้องท้องพระโรงประดับกระจกสีบนพื้นสีทอง จัดแสดงราชบัลลังก์ไม้แกะสลักหุ้มทองและเครื่องสูงทั้ง 5 ในส่วนของที่ประทับ ห้องบรรทม ยังคงมีข้าวของเครื่องใช้ที่ผ่านการใช้งานจริงจัดแสดงอยู่ มีฉลองพระองค์ ฉลองพระบาท ที่ทำให้ทราบว่าเจ้ามหาชีวิตทรงมีพระวรการสูงใหญ่มาก ซึ่งต่างจากชาวลาวทั่วไป พี่ประไพเล่าว่า “ ชาวลาวเชื่อว่าการที่เจ้ามหาชีวิต ทรงมีพระวรกายสูงใหญ่ต่างจากชาวลาวทั่วไป เพราะว่ากษัตริย์ทรงมีบุญญาธิการสูง ย่อมที่จะมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากปุถุชนทั่วไป ” นอกจากนี้ยังมีรูปวาดขนาดใหญ่เท่าองค์จริง ฉลองพระองค์เดียวกับที่จัดแสดงอยู่
พี่ประไพบอกว่ารูปนี้มีความพิเศษอยู่ ไม่ว่าเราจะเดินไปทางด้านไหนของภาพ เราจะเห็นปลายเท้าซ้ายของเจ้ามหาชีวิต หันตามเราเสมอ ... งานนี้ก็มีการพิสูจน์กันนะคร้าบ ซึ่งก็เป็นจริงอย่างว่า เป็นเทคนิคของการวาดภาพ ที่ใช้การเล่นสี และการใช้ภาพต่อกัน ให้มีมุม มีมติ ลูกทัวร์อื่น ๆ เห็นเราเดินวน ๆ จ้องปลายเท้า ก็พากันมาต่อแถวกันใหญ่ หุหุหุ ภายนอกอาคารพระราชวังมีหอพระบางซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบาง พระคู่บ้านคู่เมือง เป็นพระพุทธรูปศิลปะขอมสมัยหลัง “บายน” ปางประทานอภัย หรือปางห้ามสมุทร หล่อขึ้นจากทองคำถึง 90% นอกจากนี้ยังมีอนุสาวรีย์เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ผู้พระราชทานรัฐธรรมนูญอยู่ด้วย เนื่องจากข้างในพระราชวัง ห้ามถ่ายรูป พอออกมาก็ขอถ่ายกันให้หนำใจ ซึ่งบรรยากาศรอบ ๆ ก็สวยสมกับเป็นพระราชวังเก่า มองดูรอบ ๆ ก็สามารถมองเห็นพระอุโบสถของวัดต่าง ๆ เดิน ๆ จะออกจากบริเวณเขตพระราชวังแล้ว ก็เหลือบไปเห็นเจ้าสิ่งหนึ่ง ซึ่งมันก็คือ หัวจ่ายน้ำมัน นั่นเอง ! แถมยังอิมพอร์ต จากบ้านเราอีกด้วย เพราะว่ามีตัวหนังสือไทย แสดงจำนวนเงิน ที่สะดุดตาก็คือ คำว่า “ ลิตร “ นั้นมีตัวการันต์ด้วย ด้วยความที่เด็กสุด ก็ชี้ให้พี่ ๆ ดูว่า “ ลิตร ” นั้นพิมพ์ผิดชัวร์ พี่ผู้คงแก่วัยคนหนึ่งก็บอกว่า “ เมื่อก่อนเค้ามีการันต์จริง ๆ แหละ ” หุหุหุ เป็นความรู้ใหม่ (( แต่ไม่ได้หาข้อมูลว่าจริงเป่า ... ถือว่าบันทึกนี้เป็นการโม้ ๆ กัน ถ้าข้อมูลผิดประการใด ก็ขออภัยขอรับ ))
ออกจากเขตพระราชวังก็พากันเดินเลาะไปตามถนนเรื่อย ๆ ข้างทางเจอวัดอีกหลายวัด แต่ละวัดก็จะมีสามเณร กำลังขะมักเขม้นทำงานฝีมืออยู่ บ้างก็กำลังทำความสะอาดวัดอยู่ เมื่อเดินผ่านบ้านเก่า ๆ โทรม ๆ หลังหนึ่ง พี่ประไพก็หันมาบอกเราว่า บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ได้ขึ้นเป็นบ้านมรดกโลก ด้วยความต๊กกะใจ ก็รีบหันไปดูใหม่ ว่าบ้านหลังนี้มันมีอะไรพิเศษ ไกด์แสนดีก็คงเห็นสีหน้าสงสัยของพวกเราก็รีบบอกว่า บ้านหลังนี้มีความพิเศษก็คือ เป็นบ้านที่สร้างขึ้นจากไม้ทั้งหมด (( ไม่นับหลังคามั้ง )) ตัวบ้านที่ดูคล้าย ๆ ว่าจะทำจากปูน ก็มีรอยเจาะให้เห็นถึงไม้ที่สานขัด ๆ กันอยู่ข้างใน นอกจากนั้นยังใช้ไม้ในการเชื่อมต่อโครงสร้างแต่ละชิ้นอีกด้วย บ้านเหล่านี้เคยเป็นที่พักอาศัยของชาวลาว เมื่อเวลาผ่านไปเกิดการชำรุดทรุดโทรม ต้องการการซ่อมแซม แต่ก็ไม่สามารถทำเองได้ เนื่องจากมีกฎเกณฑ์ของการเป็นเมืองมรดกโลก การซ่อมแซมสิ่งที่เป็นมรดกนั้นต้องทำเรื่องยื่นต่อองค์กรที่รับผิดชอบ ทำให้เกิดความล่าช้า ชาวบ้านที่ทนไม่ไหวก็ต้องย้ายออกไปอยู่ที่อื่น (( เป็นความลำบากอย่างหนึ่งของการเป็นเมืองมรดกโลก )) จากการเดินรอบเมืองสังเกตได้ว่า ตึกที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ส่วนใหญ่จะมีความสูงไม่เกิน 2 ชั้น และจะมีลักษณะของศิลปะที่เป็นแนวเดียวกัน พี่ประไพได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เป็นกฎระเบียบที่เคร่งครัดมาก กว่าจะสร้างตึกได้ต้องยื่นเอกสาร แปลนแบบต่าง ๆ หลายรอบ แก้แล้วแก้อีก (( โรงแรมของพี่ประไพเพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน )) ถ้าอยากจะสร้างมากกว่า 2 ชั้น จะต้องขุดลงไปใต้ดินเท่านั้น มีบางโรงแรมที่สร้างบนเนิน มองดูผิวเผิน คล้าย ๆ ว่ามี 3 ชั้น แต่จริง ๆ แล้วเป็นชั้นใต้ดิน พี่ประไพยังบอกอีกว่า สิ่งที่ยากของการเป็นเมืองมรดกโลกนั้นอยู่ที่ จะทำอย่างไรให้ยังคงเป็นเมืองมรดกโลกต่อไป ข้อแม้ กฎระเบียบต่าง ๆ เยอะมาก มีคนคอยดูแล ประเมินตลอด เพียงแต่ทำผิดข้อแม้ กฎระเบียบ ก็สามารถถูกถอดออกจากการเป็นเมืองมรดกโลกได้
ถัดมาไม่กี่สิบก้าว ก็จะเห็น “ เรือนจัน ” เป็นเรือนมรดกโลกที่ค่อนข้างสมบูรณ์มาก และหลังใหญ่กว่าที่เห็นผ่าน ๆ มา ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี ตัวบ้านหลังใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่า สิ่งที่สะดุดตาก็คือประตูบานใหญ่ที่ไม่มีบันไดขึ้น (( แอบนึกอยู่ในใจว่า เป็นทางหนีไปฉุกเฉินเป่าหว่า ?? 555++ )) ... ค่อย ๆ คลานขึ้นบันไดด้านข้าง ตามพี่ ๆ ไป ทันได้ยินเสียงพี่ประไพเล่าว่า ประตู (( ฉุกเฉิน )) นั้นมีไว้สำหรับเป็นทางออกของศพ เป็นประตูส่งศพนั่นเอง เพราะมีความเชื่อกันว่า เมื่อนำศพออกทางประตูนั้น ผู้ตายจะกลับเข้าบ้านไม่ได้ เพราะว่าไม่มีบันไดนั่นเอง (( อืม ๆๆ ช่างคิดกันน๊ะ 555++ ))
ออกจาก “ เรือนจัน ” ก็มุ่งหน้าสู่ “ วัดเชียงทอง” เป็นวัดหลวงคู่บ้านคู่เมือง สร้างในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาราช ก่อนหน้าที่จะย้ายเมืองหลวงไปเวียงจันทน์ วัดนี้มีพระอุโบสถ หรือ สิม หลังคาอ่อนโค้งและลาดต่ำซ้อนกันอยู่ 3 ชั้น เกือบจรดฐาน ช่อฟ้าหรือพุทธสีมา 17 ช่อ ผนังด้านหลังอุโบสถใช้กระจกสีตัดต่อกันเป็นรูปต้นทอง บ้างก็เรียกว่าต้นน้ำต้นชีวิต ด้านหลังพระอุโบสถมีวิหารน้อย เห็นประตูปิดตาย ก็มิได้สนใจ เห็นแต่ว่ามีพระพุทธรูปองค์ใหญ่องค์หนึ่งด้านในวิหาร (( ซึ่งดูเหมือนว่าพระพุทธรูปจะองค์ใหญ่กว่าประตู )) จนพี่ประไพบอกว่าวิหารน้อยนี้จะมิเปิดให้คนเข้ากราบไหว้ แต่จะมีรูขนาดเท่าเหรียญบาทอยู่ตรงบานประตูให้คนส่องเข้าไปดูข้างในได้ ข้าง ๆ บันไดขึ้น (( ซึ่งเล็กและแคบ )) ก็จะมีการนำดอกไม้ ธูป เทียนมาจุดไหว้ด้วย มีโรงเก็บราชรถพระโกศของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา ดูจากภายนอกจะเห็นเป็นสีทองอร่ามทั้งหลัง ราชรถพระโกศ เป็นรูปพญานาค 5 เศียร ทุกอย่างดูงดงาม อลังการจริง ๆ จากนั้นก็ไปต่อกันที่วัดวิชุน เจ้าชีวิตวิชุนราชโปรด สร้างขึ้นเมื่อปี ค . ศ .1503 เป็นวัดที่มีความแปลกจากวัดอื่นๆ ในหลวงพระบาง ตรงพระเจดีย์พระประทุมหรือพระธาตุดอกบัวใหญ่ พระธาตุเจดีย์ดีรูปโค้งที่คนลาวเรียกกันว่า พระธาตุหมากโมตามลักษณะที่คล้ายแตงโมผ่าครึ่งที่พระนางพันตีนเชียง พระอัครมเหสีโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1514
และแล้วมหกรรมการเดินสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในช่วงเช้าก็จบลงอย่างสวยงาม รถตู้จากโรงแรมมารับไปทานกลางวันที่ “ ร้านอาหารหลวงพระบาง ” มื้อกลางวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะว่าช่วงบ่ายเราจะไปเที่ยวน้ำตกกัน พอขึ้นรถได้เท่านั้นแหละ ไม่รู้ว่าด้วยอิ่ม รึว่าเหนื่อย ประกอบกับระยะทางในการเดินทางไม่ต่ำกว่า 1 ชม. ทำให้ทุกคน .... หลับ ! ตื่นมาอีกทีก็อยู่ที่ “ น้ำตกกวางสี ” ..............
ยางงงงง ยังไม่จบ...โปรดติดตามตอนต่อไปจ้า !