ไป “ เบิ่ง ” เมืองลาวให้เห็นกะตา ตอน ... โอ้โห ! เมืองมรดกโลก


ตอน ... โอ้โห ! เมืองมรดกโลก(โดย น้ำฝน)

น้องสาวไปเที่ยวเมืองลาว

เห็นว่าสนุกดี ก็เลยอยากนำมาแบ่งปันความประทับใจ

เชิญอ่านครับ ===>

--------------------------------------------

ไป เบิ่ง เมืองลาวให้เห็นกะตา    

ตอน ... โอ้โห ! เมืองมรดกโลก (โดย น้ำฝน)

ความเดิมตอนที่แล้ว ... เราเดินทางจากเชียงของ จ.เชียงราย สู่ เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว โดยทางเรือล่องแม่น้ำโขงลงมา การเดินทางนานกว่า 10 ชม. ก็สิ้นสุดลง  ...

 

                ทันทีที่เรือของเราจอดเทียบท่า  ผู้โดยสารทั้ง 10 คน ( ลูกทัวร์ 8 ไกด์ 2 ) ต่างก็ช่วยกันหอบหิ้วข้าวของสัมภาระต่าง ๆ ลงจากเรือ    ... สองเท้าเหยียบพื้นดิน ก็เกิดอาการโคลงเคลงไปตาม ๆ กัน  เดากันไปว่า อาจเป็นอาการเมาบก  ((  แต่ก็แอบคิดในใจว่า  อาจเป็นอาการของคนหิวข้าวจนจะเป็นลมซะมากกว่า 555++ ))    ... ลูกทัวร์พร้อมแล้ว คุณน้องบอยก็พาเราออกเดิน    ด้วยสภาพบรรยากาศที่มืดแล้ว  แสงไฟก็น้อยนิด   ทำให้มองบรรยากาศรอบข้างได้ไม่ชัดเจนนัก  (( และก็ไม่สนใจจะมองแล้วด้วย    ต่างก็จ้ำ ๆ ตาม กันไป  ))  เดินมาได้สัก  50 เมตรเห็นจะได้  ทางพื้นราบก็เริ่มเปลี๋ยนไป๋   ...  เป็นทางชัน     เงยหน้ามองทาง  พลางก็นึกถึงเป้ใบใหญ่ที่แบกอยู่  (( ตรูจะรอดมั้ยเนี๊ยะ  ! ))  เท้าก็จ้ำต่อไป   .... คิดอยู่ในใจว่า   พรุ่งนี้จะมาถ่ายรูปทางขึ้นนี้ไว้เป็นที่ระลึกให้ได้  

  

...  สุดทางชันก็เป็นถนน    ซึ่งสวรรค์ก็เข้าข้างเรา    เพราะว่าโรงแรมที่พักอยู่ตรงหน้าพอดี     โรงแรมหลวงพระบางรีเวอร์ลอร์ด   ... การต้อนรับแรกของทางโรงแรม  เมื่อเราเข้าไปติดต่อห้องพัก   มีเด็กชายตัวเล็ก ๆ เอาน้ำผลไม้มาเสริฟ   ซึ่งมีรสชาติแปลกดี    ลักษณะคล้ายกับมะละกอสุกปั่นผสมกับโยเกิร์ต    ...และแล้วอาหารมื้อค่ำก็มาถึง  ไกด์ก็พาขึ้นรถตู้ (( คงคิดว่าเราหมดแรงเดินแล้ว  .. ซึ่งก็ถูกต้อง 555++ ))  ไปทานมื้อค่ำที่ ร้านอาหารตำหนักลาว  พอไปถึงอาหารก็พร้อมเสริฟพอดี  จานแรกเป็นสลัดผักน้ำ  (( ผักหน้าตาไม่คุ้นเคยเลยค่ะ ))   มีน้ำพริก คล้าย ๆ น้ำพริกอ่องของภาคเหนือ  แต่รสชาติต่างกันมาก  ออกแนวหวาน   ต้มจืดตำลึงใส่กุ้งแห้ง (( ชามเบ่อเริ่ม  มีกุ้งแห้งนอนก้นชามอยู่ประมาณ 5 6 ตัว ))  และแกงปลาแม่น้ำ   อิ่มหนำสำราญกับมื้อค่ำ พร้อมทั้งไม่พลาดการชิมเบียร์ลาว ที่มีรสนุ่ม และจืดกว่าเบียร์บ้านเรามาก (( พี่เค้าบอกมา  หุหุหุ  ))  

ท้องอิ่มแล้วก็ออกเดินย่อยอาหารที่ตลาดค่ำ  ( Night market ) ไกด์ก็ให้ข้อมูลของตลาดนี้คร่าว ๆ ว่าคล้าย ๆกับถนนคนเดิน เปิดตอนเย็นตั้งแต่เวลา 5โมงเย็น ถึงประมาณ 4 ทุ่ม จะมีชาวลาวสูง ลาวเทิ่ง ลาวลุ่ม ชาวบ้านผานมแม้แต่ชาวหลวงพระบางเองนำสินค้าพื้นเมือง ไม่ว่าจะเป็นผ้าปัก ผ้าทอมือ ผ้านุ่ง ผ้าซิ่น เครื่องเงิน เครื่องไม้ สินค้ามากมายถูกวางอยู่บนถนนและริมทางเดิน   แถมยังบอกวิธีการต่อราคาสินค้า  ให้ต่อประมาณ 20 % ของราคาขาย  (( แม่ค้าส่วนใหญ่จะคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินอยู่ที่ 250 กีบ / 1 บาท  ซึ่งจะได้น้อยกว่าอัตราแลกเปลี่ยนตามจุดแลกเงิน ))    แถมยังบอกอีกว่า  ต่อราคาเงินกีบจะต่อได้มากกว่าต่อเป็นราคาเงินไทย     เมื่อข้อมูลพร้อมขนาดนี้    เราก็เดินตลาดค่ำกันด้วยหัวใจหึกเหิม  ร้อนวิชา  กว่าจะเดินผ่านกันได้ก็ปาเข้าไปหลายชั่วโมงอยู่    สำหรับคนที่ไม่รู้จะซื้ออะไร ไปฝากใคร  ก็สนุกกับการเดินดูผู้คน ทั้งเจ้าถิ่น  นักท่องเที่ยว  แม่ค้าส่วนใหญ่จะพูดได้หลายภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ  จีน  ภาษาไทยนับได้ว่าเป็นภาษาที่เด็กลาวรุ่นใหม่จะพูดได้ควบคู่กับภาษาของตน  และพูดได้ชัดมาก  เพราะว่าที่ลาวรับข่าวสารทางโทรทัศน์จากไทยแทบทุกช่อง  ใครที่ติดละครงอมแงม  ไปลาวไม่ต้องห่วง  คุณสามารถดูได้ทุกช่อง  ชัดด้วย (( ชัดกว่าที่ห้องเค้าอีก  กลับมาเลยประชด  ติด UBC เลย 55 ))  

 

ออกจากตลาดค่ำได้   ก็พากันเดินกลับโรงแรม  เดิน ๆ ไป  ตาก็เหลือบไปเห็นตู้ ATM  อู้หู ! คลาสสิกมั๊ก ๆ ลักษณะคล้าย ๆ กับป้อมยาม  มีประตูคล้ายประตูบ้าน เจาะช่องสำหรับเครื่อง ATM  ว่าแล้ว ตู้ATM ก็กลายร่างเป็นนายแบบนางแบบให้ตากล้องถ่ายรูปกันเพลินไป    นอกจากนี้แล้วสองข้างทางยังสร้างความเพลิดเพลินได้อีกด้วย    ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ราชการต่าง ๆ  ที่ช่วยกันอ่านป้ายว่าคือสถานที่อะไร  (( อยากยกตัวอย่างน๊ะ  แต่กลัวจำผิด  หุหุหุ  ))    

 

….  22  กุมภาพันธ์  2551    หนึ่งวัน กับเมืองมรดกโลก  ....

                อรุณสวัสดิ์ยามเช้าหลวงพระบาง   อากาศดีมากเลยทีเดียว  เย็นนิด ๆ  เหมาะสำหรับการเดินชมเมืองจริง ๆ  หลังจากการตุนเสบียง  ไม่ว่าจะเป็นข้าวต้มหมู  ไข่ดาว ไส้กรอก แฮม ขนมปังฝรั่งเศส  (( คนที่นี่เค้าทานขนมปังฝรั่งเศสกันเป็นอาหารหลักเท่า ๆ กับข้าวเหนียวเลย   มีขายให้เห็นอยู่ทั่วไป ))  น้ำส้ม  และผลไม้  กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  เราก็ได้พบกับไกด์ท้องถิ่นชาวลาว  พี่ประไพ   ซึ่งก็คือเจ้าของโรงแรมที่เราพักนั่นเอง     เมื่อทุกอย่างพร้อมเราก็ออกเดินจากโรงแรม  ผ่านตลาดเช้า  มีชาวบ้านเดินจับจ่ายซื้อของกัน  ของต่าง ๆ จะวางขายกับพื้นถนน ของสดต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะปลูกกันเอง หรือไม่ก็หามา  เช่น ปลาแม่น้ำโขง (( ปลาของเค้าสดจริง ๆ วิธีการขายก็จะต่างจากบ้านเรา  คือเค้าจะนำปลามาวางบนใบตอง ตัวไหนที่ยังไม่ตาย  เหงือกก็ยังพะงาบ ๆ อยู่ ไม่แช่น้ำ หรือว่า ใส่ในกะละมังแบบบ้านเรา  ยังสงสัยอยู่ว่าถ้าขายไม่ได้แล้วเค้าจะทำไง  เดา ๆ ว่าคงจะเป็นอาหารของที่บ้านไป  555  มั่ว ๆ )) สาระพัดแมลง  เนื้อสัตว์ที่ผ่านกรรมวิธีการถนอมอาหารมาแล้ว   ผักต่าง ๆ  (( และแล้วเราก็เจอผักน้ำด้วย เยอะจริง ๆ ))   ที่เด็ด   ๆ มีจมูกหมี  อุ้งตีนหมีด้วย  โฮ่ ๆ  ขายให้เห็นกันจะ ๆ    

 

เดิน  ๆ อยู่ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนมุงดูไรกันอยู่  ส่งภาษากันฟังไม่ออก  ก็เลยหันไปถามไกด์ว่าใช่คนลาวมั้ย   ไกด์บอกว่าเป็นทัวร์ของคนเวียดนาม    ด้วยจิตวิญญาณของไทยมุงที่มีอยู่ในตัว  เราก็เลยพาร่างอันน้อย ๆ ค่อย ๆ แทรกหัวเข้าไปดูว่าเขาทำอะไรกัน  ก็เห็นว่าเป็นขายของกินชนิดหนึ่ง  คล้าย ๆ กับข้าวเกรียบปากหม้อ  กรรมวิธีการทำก็คล้าย ๆ กัน   แต่ของเค้าพอใส่ไส้แล้วก็จะม้วน ๆ   คล้าย ๆกับก๋วยเตี๋ยวหลอด  กลิ่นหอมเชียว  นี่ถ้าไม่ได้ทานไรก่อนออกมาหล่ะก็  คงมิวายได้ลิ้มรสกันเป็นแน่แท้  หุหุหุ  พอจะหันไปถามไกด์ว่าเจ้านี่มันชื่อว่าอะไร   อ้าว ! โน่น  เค้าจ้ำไปกันจนท้ายตลาดกันละ   จะหันไปถามป้า ๆ ชาวเวียดนาม  ก็คงจะพูดกันมิรู้เรื่อง  ก็ต้องเลยตามเลย   ละก็รีบวิ่งตามทุกคนไป   

                สถานที่แรกที่พี่ประไพพาพวกเราไปชม    พระราชวังเจ้าชีวิต ( Royal Palace Museum )   สร้างขึ้นปี ค.ศ.1904 ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส  เป็นอาคารชั้นเดียวยกพื้นสูงแบบฝรั่งเศส   แต่มีการผสมผสานระหว่างความเป็นฝรั่งเศสและลาว    หลังคายอดปราสาทเป็นศิลปะลาวล้านช้าง   ด้วยความที่ถูกผสมผสานจาก 2 ศิลปะ   พระราชวังเจ้าชีวิตจึงถูกเปรียบเปรยว่าเป็นลักษณะของฝรั่งสวมชฎา  พระราชวังเจ้าชีวิตเป็นที่ประทับของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์  กษัตริย์ของลาว ทรงประทับอยู่ที่นี้จนสิ้นพระชนม์    ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงถูกเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์วังเจ้ามหาชีวิตแทน   ภายในประกอบด้วยห้องฟังธรรม จัดแสดงธรรม ไม้แกะสลักสกุลช่างหลวงพระบาง  และพระพุทธรูปสำริดสกุลช่างลาวโบราณช่วงศตวรรษที่ 17-19     ห้องพิธีหรือห้องรับแขกมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวลาวโดยช่างฝีมือชาวฝรั่งเศส    ห้องท้องพระโรงประดับกระจกสีบนพื้นสีทอง จัดแสดงราชบัลลังก์ไม้แกะสลักหุ้มทองและเครื่องสูงทั้ง 5   ในส่วนของที่ประทับ  ห้องบรรทม  ยังคงมีข้าวของเครื่องใช้ที่ผ่านการใช้งานจริงจัดแสดงอยู่  มีฉลองพระองค์  ฉลองพระบาท ที่ทำให้ทราบว่าเจ้ามหาชีวิตทรงมีพระวรการสูงใหญ่มาก   ซึ่งต่างจากชาวลาวทั่วไป  พี่ประไพเล่าว่า ชาวลาวเชื่อว่าการที่เจ้ามหาชีวิต  ทรงมีพระวรกายสูงใหญ่ต่างจากชาวลาวทั่วไป   เพราะว่ากษัตริย์ทรงมีบุญญาธิการสูง  ย่อมที่จะมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากปุถุชนทั่วไป   นอกจากนี้ยังมีรูปวาดขนาดใหญ่เท่าองค์จริง  ฉลองพระองค์เดียวกับที่จัดแสดงอยู่ 

พี่ประไพบอกว่ารูปนี้มีความพิเศษอยู่   ไม่ว่าเราจะเดินไปทางด้านไหนของภาพ  เราจะเห็นปลายเท้าซ้ายของเจ้ามหาชีวิต  หันตามเราเสมอ   ... งานนี้ก็มีการพิสูจน์กันนะคร้าบ   ซึ่งก็เป็นจริงอย่างว่า   เป็นเทคนิคของการวาดภาพ  ที่ใช้การเล่นสี  และการใช้ภาพต่อกัน  ให้มีมุม มีมติ   ลูกทัวร์อื่น ๆ เห็นเราเดินวน ๆ จ้องปลายเท้า  ก็พากันมาต่อแถวกันใหญ่  หุหุหุ    ภายนอกอาคารพระราชวังมีหอพระบางซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบาง พระคู่บ้านคู่เมือง เป็นพระพุทธรูปศิลปะขอมสมัยหลัง บายนปางประทานอภัย หรือปางห้ามสมุทร หล่อขึ้นจากทองคำถึง 90% นอกจากนี้ยังมีอนุสาวรีย์เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ผู้พระราชทานรัฐธรรมนูญอยู่ด้วย  เนื่องจากข้างในพระราชวัง  ห้ามถ่ายรูป  พอออกมาก็ขอถ่ายกันให้หนำใจ  ซึ่งบรรยากาศรอบ ๆ ก็สวยสมกับเป็นพระราชวังเก่า  มองดูรอบ ๆ ก็สามารถมองเห็นพระอุโบสถของวัดต่าง ๆ   เดิน ๆ จะออกจากบริเวณเขตพระราชวังแล้ว  ก็เหลือบไปเห็นเจ้าสิ่งหนึ่ง  ซึ่งมันก็คือ หัวจ่ายน้ำมัน  นั่นเอง  !  แถมยังอิมพอร์ต จากบ้านเราอีกด้วย  เพราะว่ามีตัวหนังสือไทย  แสดงจำนวนเงิน  ที่สะดุดตาก็คือ  คำว่า ลิตร   นั้นมีตัวการันต์ด้วย ด้วยความที่เด็กสุด  ก็ชี้ให้พี่ ๆ ดูว่า  ลิตร   นั้นพิมพ์ผิดชัวร์  พี่ผู้คงแก่วัยคนหนึ่งก็บอกว่า เมื่อก่อนเค้ามีการันต์จริง ๆ แหละ     หุหุหุ  เป็นความรู้ใหม่   (( แต่ไม่ได้หาข้อมูลว่าจริงเป่า  ...  ถือว่าบันทึกนี้เป็นการโม้ ๆ กัน  ถ้าข้อมูลผิดประการใด  ก็ขออภัยขอรับ ))  

 

ออกจากเขตพระราชวังก็พากันเดินเลาะไปตามถนนเรื่อย ๆ ข้างทางเจอวัดอีกหลายวัด  แต่ละวัดก็จะมีสามเณร  กำลังขะมักเขม้นทำงานฝีมืออยู่  บ้างก็กำลังทำความสะอาดวัดอยู่   เมื่อเดินผ่านบ้านเก่า ๆ โทรม ๆ หลังหนึ่ง   พี่ประไพก็หันมาบอกเราว่า   บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ได้ขึ้นเป็นบ้านมรดกโลก  ด้วยความต๊กกะใจ  ก็รีบหันไปดูใหม่  ว่าบ้านหลังนี้มันมีอะไรพิเศษ   ไกด์แสนดีก็คงเห็นสีหน้าสงสัยของพวกเราก็รีบบอกว่า  บ้านหลังนี้มีความพิเศษก็คือ  เป็นบ้านที่สร้างขึ้นจากไม้ทั้งหมด  (( ไม่นับหลังคามั้ง ))  ตัวบ้านที่ดูคล้าย ๆ ว่าจะทำจากปูน ก็มีรอยเจาะให้เห็นถึงไม้ที่สานขัด ๆ กันอยู่ข้างใน  นอกจากนั้นยังใช้ไม้ในการเชื่อมต่อโครงสร้างแต่ละชิ้นอีกด้วย  บ้านเหล่านี้เคยเป็นที่พักอาศัยของชาวลาว   เมื่อเวลาผ่านไปเกิดการชำรุดทรุดโทรม    ต้องการการซ่อมแซม  แต่ก็ไม่สามารถทำเองได้  เนื่องจากมีกฎเกณฑ์ของการเป็นเมืองมรดกโลก   การซ่อมแซมสิ่งที่เป็นมรดกนั้นต้องทำเรื่องยื่นต่อองค์กรที่รับผิดชอบ   ทำให้เกิดความล่าช้า   ชาวบ้านที่ทนไม่ไหวก็ต้องย้ายออกไปอยู่ที่อื่น (( เป็นความลำบากอย่างหนึ่งของการเป็นเมืองมรดกโลก ))  จากการเดินรอบเมืองสังเกตได้ว่า  ตึกที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่  ส่วนใหญ่จะมีความสูงไม่เกิน 2 ชั้น  และจะมีลักษณะของศิลปะที่เป็นแนวเดียวกัน   พี่ประไพได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า  เป็นกฎระเบียบที่เคร่งครัดมาก  กว่าจะสร้างตึกได้ต้องยื่นเอกสาร  แปลนแบบต่าง ๆ  หลายรอบ  แก้แล้วแก้อีก  (( โรงแรมของพี่ประไพเพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน ))  ถ้าอยากจะสร้างมากกว่า 2 ชั้น  จะต้องขุดลงไปใต้ดินเท่านั้น   มีบางโรงแรมที่สร้างบนเนิน มองดูผิวเผิน  คล้าย ๆ ว่ามี 3  ชั้น  แต่จริง ๆ แล้วเป็นชั้นใต้ดิน   พี่ประไพยังบอกอีกว่า  สิ่งที่ยากของการเป็นเมืองมรดกโลกนั้นอยู่ที่    จะทำอย่างไรให้ยังคงเป็นเมืองมรดกโลกต่อไป  ข้อแม้ กฎระเบียบต่าง ๆ เยอะมาก  มีคนคอยดูแล ประเมินตลอด   เพียงแต่ทำผิดข้อแม้  กฎระเบียบ  ก็สามารถถูกถอดออกจากการเป็นเมืองมรดกโลกได้

 

                ถัดมาไม่กี่สิบก้าว  ก็จะเห็น  เรือนจัน   เป็นเรือนมรดกโลกที่ค่อนข้างสมบูรณ์มาก  และหลังใหญ่กว่าที่เห็นผ่าน ๆ มา  ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี   ตัวบ้านหลังใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่า   สิ่งที่สะดุดตาก็คือประตูบานใหญ่ที่ไม่มีบันไดขึ้น  (( แอบนึกอยู่ในใจว่า  เป็นทางหนีไปฉุกเฉินเป่าหว่า  ??  555++ ))     ... ค่อย ๆ คลานขึ้นบันไดด้านข้าง ตามพี่ ๆ ไป  ทันได้ยินเสียงพี่ประไพเล่าว่า  ประตู (( ฉุกเฉิน )) นั้นมีไว้สำหรับเป็นทางออกของศพ  เป็นประตูส่งศพนั่นเอง  เพราะมีความเชื่อกันว่า  เมื่อนำศพออกทางประตูนั้น   ผู้ตายจะกลับเข้าบ้านไม่ได้  เพราะว่าไม่มีบันไดนั่นเอง    (( อืม ๆๆ  ช่างคิดกันน๊ะ  555++ ))    

                ออกจาก เรือนจัน   ก็มุ่งหน้าสู่  วัดเชียงทอง เป็นวัดหลวงคู่บ้านคู่เมือง สร้างในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาราช ก่อนหน้าที่จะย้ายเมืองหลวงไปเวียงจันทน์ วัดนี้มีพระอุโบสถ หรือ สิม หลังคาอ่อนโค้งและลาดต่ำซ้อนกันอยู่ 3 ชั้น เกือบจรดฐาน ช่อฟ้าหรือพุทธสีมา 17 ช่อ ผนังด้านหลังอุโบสถใช้กระจกสีตัดต่อกันเป็นรูปต้นทอง  บ้างก็เรียกว่าต้นน้ำต้นชีวิต  ด้านหลังพระอุโบสถมีวิหารน้อย  เห็นประตูปิดตาย  ก็มิได้สนใจ  เห็นแต่ว่ามีพระพุทธรูปองค์ใหญ่องค์หนึ่งด้านในวิหาร (( ซึ่งดูเหมือนว่าพระพุทธรูปจะองค์ใหญ่กว่าประตู ))   จนพี่ประไพบอกว่าวิหารน้อยนี้จะมิเปิดให้คนเข้ากราบไหว้  แต่จะมีรูขนาดเท่าเหรียญบาทอยู่ตรงบานประตูให้คนส่องเข้าไปดูข้างในได้  ข้าง ๆ บันไดขึ้น (( ซึ่งเล็กและแคบ )) ก็จะมีการนำดอกไม้  ธูป เทียนมาจุดไหว้ด้วย   มีโรงเก็บราชรถพระโกศของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา   ดูจากภายนอกจะเห็นเป็นสีทองอร่ามทั้งหลัง  ราชรถพระโกศ  เป็นรูปพญานาค 5 เศียร  ทุกอย่างดูงดงาม  อลังการจริง ๆ   จากนั้นก็ไปต่อกันที่วัดวิชุน  เจ้าชีวิตวิชุนราชโปรด สร้างขึ้นเมื่อปี ค . ศ .1503 เป็นวัดที่มีความแปลกจากวัดอื่นๆ ในหลวงพระบาง  ตรงพระเจดีย์พระประทุมหรือพระธาตุดอกบัวใหญ่ พระธาตุเจดีย์ดีรูปโค้งที่คนลาวเรียกกันว่า พระธาตุหมากโมตามลักษณะที่คล้ายแตงโมผ่าครึ่งที่พระนางพันตีนเชียง พระอัครมเหสีโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1514

 

                และแล้วมหกรรมการเดินสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในช่วงเช้าก็จบลงอย่างสวยงาม   รถตู้จากโรงแรมมารับไปทานกลางวันที่ ร้านอาหารหลวงพระบาง   มื้อกลางวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว  เพราะว่าช่วงบ่ายเราจะไปเที่ยวน้ำตกกัน  พอขึ้นรถได้เท่านั้นแหละ    ไม่รู้ว่าด้วยอิ่ม  รึว่าเหนื่อย   ประกอบกับระยะทางในการเดินทางไม่ต่ำกว่า 1 ชม.  ทำให้ทุกคน  .... หลับ !     ตื่นมาอีกทีก็อยู่ที่ น้ำตกกวางสี   ..............  

 

ยางงงงง ยังไม่จบ...โปรดติดตามตอนต่อไปจ้า !

หมายเลขบันทึก: 180030เขียนเมื่อ 1 พฤษภาคม 2008 17:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 10:47 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (22)

นึกว่าร้านกาแฟสด น่าจะใส่ตังแยะกว่าบ้านเรา

สวัสดีเจ้าค่ะ

น้องจิแวะมาเยี่ยม คิคิ อยากไปเที่ยวเมืองลาวบ้าง เพราะหน้าตาหนูให้ 555++...รักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าค่ะ

เป็นกำลังใจให้เจ้าค่ะ ---->น้องจิ ^_^

Pนายประจักษ์

P ลิ้มศรี

P โก๊ะจิจัง แซ่เฮ ^๐^!

ขอบคุณท่าน ผอ.ประจักษ์  คุณครูลิ้มศรี และน้องจิโก๊ะจิจังคนเก่ง

ที่แวะมาทักทายกันครับ

แวะมาเบิ่งเมืองลาวด้วยคนครับ อิอิ

  • เบิ่งไปเบิ่งมา...
  • ย้าว..ยาวจังเลยค่ะ..
  • แต่อ่านแล้วสนุก..จบเลยค่ะ..
  • แล้วจะตามอ่านตอนต่อไปนะคะ

หวัดดีค่ะ...คุณรินทร์

โอโฮ...สวยค่ะ

กำลังรอเบิ่งตอนต่อไปอยู่

ว่าแต่ใครเป็นพระเอกนางเอกค๊ะนี่ ? ^_^

เสียดายแทนคุณรินทร์ ที่ไม่ได้ไป"เบิ่ง"พร้อมกับ...น้องสาว...หุหุหุ

รูปสวย น่าไปมาก ไปจริงจะสวยเหมือนในรูปไหมครับ คุณรินทร์ คุณฝน

แต่แยกกันไปอย่างนี้ คุณรินทร์ไม่ห่วงไม่หวงคุณฝนเลย ใจกว้างมากครับนับถือนับถือ

ว่าจะไปหลายครั้งรวบรวมพลไม่ครบสักที เห็นรูปแล้วต้องตามไปเบิ่งด้วยตาให้ได้ครับ

ตกลงได้ไปตักบาตร เข้าเหนียวกะชาวบ้านเขาหรือเปล่าคะ

สวัสดีครับน้องเอก P และน้อง *~Wardah~* P 

ขอบคุณที่แมทักทายกันนะครับ

แล้วอย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะครับ

จะบอกน้องน้ำฝนให้เขียนตอนละสั้นๆล่ะครับ

 

 

 


สวัสดีครับครูwindy P

น้องน้ำฝนเป็นนางเอกครับ ส่วนใครเป็นพระเอกต้องติดตามตอนต่อไปนะครับ

สวัสดีครับ คุณไม่แสดงตน และคุณต้น

ผมเคยไปเบิ่งมาแล้วครับแต่เป็นคนละทริปกันครับ

น้องสาวดูแลตัวเองได้ครับ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ หึหึ

สวัสดีครับคุณวิลาวัณย์ โต๊ะเอี่ยม P

ยังไม่ถึงตอนตักบาตรข้าวเหนียวครับ.....

ต้องติดตามตอนต่อไปนะครับ ....

ขอบคุณที่แวะมาทักทายครับ

เพิ่งกลับมาค่ะ

ตอนต่อไปจะพยายามโม้ให้สั้นลง ... อิอิ

ปล. ไปอ่านของลุงรินทร์ (( เรียกตามชินละกันน๊ะค๊ะ )) ไมลุงเขียนได้สั้นได้ใจความจัง

ปล2.งานโม้ชิ้นแรก มีคนอ่านเยอะขนาดนี้ ปลื้มค่ะ ขอบคุณลุงรินทร์ และพี่ ๆ ทุ้กคนที่(ทน)อ่านงานโม้ชิ้นนี้ค่ะ

เหอะๆๆๆ

นึกว่าครายยยยย

ที่แท้ก็เจ้าของเรื่องน่ะเอง

ตามมาอ่าน ล่ะน๊า ว่าแล้วก็ขอโทษลุงรินทร์ 555 ด้วยความเข้าใจผิดที่มาเม้นน้องฝนใน blog ของลุง อิอิ เด๋วจาไปเม้นกันเป็การส่วนตั๊วส่วนตัวแล้วล่ะค่ะ

คุณโลมาในสายลม

ไม่เป็นไรครับ เมนต์ที่นี่ก็ได้เหมือนกันครับ....หึหึ

ถ้ามีเรื่องเที่ยวสนุกๆล่ะก็ช่วยแนะนำด้วยนะครับ

อยากไปเบิ่งบ้างจัง

จารย์แพมโหมะ

ว่างๆช่วนเพื่อนไปเที่ยวสิครับ(เพื่อนร้านเบียร์น่ะ)

ผมจะได้ตามไปด้วยงัย หึหึ

กำลังจะไปช่วงปลายปี

รบกวนสอบถามขข้อมูล เกี่ยวกับ อัตราค่ารถโดยสารรถสาธารณะ เช่น รถสามล้อ รถระหว่างเมือง เป็นต้น ว่าราคาเป็นอย่างไรบ้าง รบกวนตอบด้วยค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ปลายทางสู่ ‘วังเวียง’

http://gotoknow.org/blog/pygbox/151998

ค่าใช้จ่ายไม่แพงอย่างที่คิด

1. ค่ารถจากหนองคาย-กำแพงนครเวียงจันทร์ 55 บาท + ค่าธรรมเนียมอีก 5 บาท + ค่าผ่านด่าน สปป.ลาว 20บาท รวม 80 บาท

2. ค่ารถจากนครเวียงจันทร์ไปวังเวียง

- รถสองแถว 25,000 กีบ

- รถปรับอากาศ VIP 60,000 กีบ

เลือกเองรถสองแถวถึงก่อน

3. ค่าที่พักมีหลายราคา ห้องพัดลมมาตรฐานมีห้องน้ำในตัว+เครื่องทำน้ำอุ่น คืนละ 50,000 กีบ (โอเคแล้วไม่ต้องแอร์หรอกแค่พัดลมก็ยังไม่ต้องเปิดเลย)

4. ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆต้องจ่ายค่าธรรมเนียม ราคาไม่เท่ากัน ระหว่าง 3,000-1,0000 กีบ

5. แพ็คเก็จทัวร์ที่วังเวียงมีต้องแบบครึ่งวันและเต็มวัน ราคาตั้งแต่ 100,000  - 150,000 กีบ 

6. อาหารตามร้านอาหารมีราคาตั้งแต่ 9000 - 50,000

7. เสื้อยื้ดอักษรลาวซื้อเป็นของฝากตัวละ 28,000 กีบ

8. ที่สำคัญที่สุด เบยลาว(เบียร์ลาว)ตามร้านอาหารขวดละ 10,000 กีบ

** มีเงิน 1,000,000 อยู่ได้เป็นอาทิตย์ **

** บัตรเครติดใช้ไม่ได้ที่วังเวียง มี ATM 1ตู้แต่ผมลองกดแล้ว บัตรผมใช้ไม่ได้**

** 282 กีบเท่ากับ 1 บาท **

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท