วิเคราะห์บันทึก “ความซับซ้อนทางจิต” ของกะปุ๋ม


ผมเข้าไปศึกษา บทความของ ดร.กะปุ๋ม เรื่อง ความซับซ้อนทางจิตใจ  แล้วก็ย้อนมองตัวเอง ย้อนมองหลังที่เคยฝึกฝนมาบ้าง ได้เตื่อนตัวเอง เห็นว่าเป็นประโยชน์ เลยอยากย้ำเตือนให้ทุกท่านในรูปแบบ ไดอะแกรม เพื่อนบางท่านชอบรูปแบบนี้ก็ลองนำไปศึกษาดูนะครับ

 

การสรุปแบบนี้จัดทำเฉพาะหลักการเท่านั้นไม่ใส่รายละเอียดลงไป เป็นที่เข้าใจกัน เพราะโดยพื้นฐานนั้นทุกท่านผ่านหูผ่านตามาบ้างแล้ว โดยเฉพาะท่านที่อยู่ในสายธรรมะนั้นท่านทราบรายละเอียดมากกว่านี้หลายเท่านัก  อยางไรก็ตามผมใช้มุมมองส่วนตัวพยายามชี้ให้เห็นจุดรอยต่อที่สำคัญครับ  ที่เป็นช่วงเปลี่ยนที่สำคัญ

 

๑.  เริ่มจากการมีผัสสะ: คือ การสัมผัส เกี่ยวกับรูป(จักขุสัมผัส) รส(ชิวหาสัมผัส) กลิ่น(ฆานสัมผัส) เสียง(โสตสัมผัส) กาย(กายสัมผัส) และใจ(มโนสัมผัส)  เรื่องเหล่านี้คือวิถีดำเนินชีวิตตามปกติ ทุกผู้ทุกคนที่สัมผัสสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เกิดจนตาย

 

 

 

 

๒. จิตปรุงแต่ง: เพราะมีผัสสะต่างๆทางกายภาพ ทางภายนอก แต่ผัสสะนั้นๆส่งผลกระทบให้ภายในจิตรับรู้แล้วแปรเป็นอารมณ์ ความชอบ ความไม่ชอบ หรือความเฉยๆ

 

๓. จิตสะสมยึดติด: เพราะมีอารมณ์ รับรู้ภายในแล้วแปรเป็นความพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจ เมื่อเกิดอารมณ์ดังกล่าวก็เกิดการสะสมความพึงพอใจ แล้วปฏิเสธความไม่พึงพอใจ และเมื่อวันเวลาผ่านไป ผัสสะมีมากขึ้นทุกขณะจิต อารมณ์ก็พัฒนาเพิ่มขึ้น ตลอดเวลา จึงเกิดการสะสมความพึงพอใจ ปฏิเสธความไม่พึงพอใจมากขึ้น

 

๔. จิตจำลองภาพ: การที่อารมณ์ที่เกิดขึ้นเพราะผัสสะนั้น จะเกิดการสะสมและพัฒนาภายในกลายเป็นจิตจำลองภาพ กลายเป็นความเคยชิน นิสัย และพฤติกรรมของบุคคลนั้นๆ

 

๕. ความซับซ้อนภายใน: พัฒนาการทางจิตที่พัฒนามาดังกล่าวนั้น คือ การที่บุคคลได้เกิดภาวะซับซ้อนขึ้นภายใน ยิ่งเมื่อภายนอกเข้ามากระทบ ความซับซ้อนก็จะแสดงตัวตนออกมา

 

 

 

ในกรณีความซับซ้อนภายในนี้ ดร.กะปุ๋มได้พยายามยกตัวอย่างขึ้นมาให้เห็น ดังไดอะแกรมข้างต้นนั้น  กล่าวคือ

 

เมื่อจิตกำหนดว่าอยากเป็นที่รักของใครๆ จากพัฒนาการทางจิตจึงปรุงแต่งไปว่าจำเป็นต้องมีนั่น(a) มีนี่(B)  และจิตภายในผลักดันให้ทำนั่น(a)  ทำนี่(b) ภาวะทางจิตแบบนี้จะสะสมจนบุคคลนั้นกลายเป็นนิสัย พฤติกรรมไปในที่สุด

 

และในท้ายที่สุดก็พัฒนากลายเป็นอัตตา ตัวกู ของกู

 

 

ทางออก ทางแก้: ดร.กะปุ๋ม ได้บันทึกไว้ว่า ดูเหมือนว่าจะมีแต่ธรรมะเท่านั้นที่จะเป็นทางแก้ไขความซับซ้อนภายในดังกล่าว 

 

มีหนทางเดียวเท่านั้น คือ การปล่อยวาง  การไม่ยึดติด โดยการกำนดจิตให้อยู่ที่ลมหายใจเข้า ออก เท่านั้น อย่าให้จิตเข้าไปปรุงแต่งใดๆ

 

 

 

วิเคราะห์: จากสาระบันทึกทั้งหมดของ ดร.กะปุ๋มนั้นผมพบว่า มีสองส่วนที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญคือ

 

กระบวนการภายนอก  และกระบวนการภายใน ดังนี้

 

กระบวนการภายนอกนั้นคือการเกิดขึ้นของกายภาพ และสรรพสิ่งในธรรมชาติ

 

กระบวนการภายใน คือ กระบวนการทางจิตที่เชื่อมต่อกับกระบวนการภายนอก ต่างเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน

 

กระบวนการภายนอกจะเป็นเรื่องทางโลก ที่เราต้องผ่าน สัมผัส กระทำ ถูกกระทำ เพราะเป็นปัจจัยแห่งการดำรงชีวิต  เพียงแต่ว่าเราต้องพัฒนาภายในขึ้นมาให้รู้เท่าทันผัสสะ ต่างๆ รู้เท่าทันจิต และการปรุงแต่งทางจิต มิเช่นนั้นแล้ว จิตจะพัฒนาความซับซ้อนขึ้นมาแล้วส่งผลออกมาทางภายนอก และจะส่งผลกระทบต่อธรรมชาติและสรรพสิ่ง ตามเหตุและผลต่างๆต่อไปอีกมายมายไม่รู้จบ

 

บทความนี้ ดร.กะปุ๋มเน้นที่การสร้างกระบวนการภายในให้เข้มแข็ง โดยการไม่ตามใจจิตที่ไหลไปตามผัสสะ อันจะก่อให้เกิดความเป็นตัวตน การควบคุมจิตกระทำโดยหลัก พิจารณาลมหายใจ การเป็นฐานของสมาธิ และวิปัสสนา 

 

ที่ ดร.กะปุ๋มนำเอาความจริงทางธรรมชาติมากล่าวนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่เป็นหลักของ ปฏิจจสมุปบาท หรือมีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก ที่สำคัญคือ

  • อิทัปปัจจยตา (ภาวะที่มีอันนี้ๆ เป็นปัจจัย — specific conditionality)
  • ธรรมนิยาม (ความเป็นไปอันแน่นอนแห่งธรรมดา, กฎธรรมชาติ — orderliness of nature; natural law)
  • และ ปัจจยาการ (อาการที่สิ่งทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่กัน — mode of conditionality; structure of conditions)

 

ขอขอบคุณ ดร.กะปุ๋ม เล็กดีรสโตท่านนี้มากที่นำเอาหลักธรรมมา ขยายความ มาสกิดใจ เตือนตัว เตือนตนกัน นะครับ

 

(ข้อมูลส่วนหนึ่งมาจาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
หมายเลขบันทึก: 188222เขียนเมื่อ 15 มิถุนายน 2008 18:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:10 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (18)

สวัสดีค่ะ

เรื่องเดียวกันก็สื่อสารได้หลากหลายรูปแบบนะคะ

บันทึกของคุณกระปุ๋มจะเรียบเรียงเป็นภาษาที่อ่านแล้วเหมือนได้ทั้งความรู้ ได้มีคนปลอบประโลมใจไปด้วย

ส่วนการนำมาเสนอในรูปแบบไดอะแกรม แบบวิเคราะห์แล้ว ก็ทำให้ง่ายต่อการอ่านและทำความเข้าใจไปอีกแบบหนึ่ง

โดยสรุป เป็นประโยชน์และน่าสนใจทั้งสองรูปแบบค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ขอบพระคุณพี่บู้ทมากครับ

ดร.กะปุ๋ม เป็นเพื่อนรักท่านหนึ่งที่เราสัมผัสทั้งอักษร รวมถึงมิตรภาพผ่านความเป็นเพื่อนผมเองได้ซึมซับความรู้สึกบวก ความรู้จิตวิเคราะห์เชิงลึกมากขึ้น

หลายครั้งสิ่งที่ผมคิด ดร.กะปุ๋ม คิดเหมือน-คล้ายกัน เราจึงคุยกันในประเด็นเดียวกัน ...ผมเชื่อว่าเป็นความรู้สึกที่ดีที่สัมผัสได้ โยงมิตรภาพเข้ามาด้วยกันอย่างเเนบเนียน

บันทึกละเอียด โดยใช้ใจละเอียด ผลผลิตของความคิดผ่านการปฏิบัติ เป็นความรู้ที่ทรงพลังมหาศาล ...เป็นความจริงที่เราได้รับรู้ผ่านการถอดบทเรียนของเธอครับ

ปล่อยวาง และไม่ยึดติด เป็นคำที่เธอใช้บอกเพื่อนๆเสมอ

ขอบคุณบทวิเคราะห์อันเป็นภาพรวมของบันทึกที่ดีงามของกัลยาณมิตรของผมท่านนี้ครับ

:)

ภาพนี้ที่วังเวียง-ลาว ครับ
ขอบคุณดิเรก ที่ถ่ายรูปนี้ให้ครับ

กำลังศึกษาและฝึกปฏิบัติได้เพียงน้อยนิดค่ะ

เคยคุยกับ ดร กะปุ๋ม เธอช่างเป็นคนที่มีแนวคิดและปฏิบัติได้ดีเหลือเกินค่ะ

ขอบคุณอาจารย์ที่มาวิเคราะห์ให้เห็นภาพค่ะ

สวัสดีครับ P 1. jaewjingjing

เรื่องเดียวกันก็สื่อสารได้หลากหลายรูปแบบนะคะ

เป็นความจริงครับว่าเรื่องเดียวกันสามารถสื่อได้หลายแบบ  แต่ละแบบก็มีคนชอบ เข้าถึงต่างกันครับ  บางท่านชแบการบรรยายมากกว่า บางท่านชอบ วาดรูป ไดอะแกรม กราฟ ฯลฯ  เขาบอกว่าเข้าใจง่ายกว่า  อิอิ ต่างคนต่างชอบครับ

บันทึกของคุณกระปุ๋มจะเรียบเรียงเป็นภาษาที่อ่านแล้วเหมือนได้ทั้งความรู้ ได้มีคนปลอบประโลมใจไปด้วย

ใช่ครับ ผมเห็นด้วยครับ

ส่วนการนำมาเสนอในรูปแบบไดอะแกรม แบบวิเคราะห์แล้ว ก็ทำให้ง่ายต่อการอ่านและทำความเข้าใจไปอีกแบบหนึ่ง

โดยสรุป เป็นประโยชน์และน่าสนใจทั้งสองรูปแบบค่ะ

 

ขอบคุณครับ

สวัสดีครับน้องเอก P 2. จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร

ดร.กะปุ๋ม เป็นเพื่อนรักท่านหนึ่งที่เราสัมผัสทั้งอักษร รวมถึงมิตรภาพผ่านความเป็นเพื่อนผมเองได้ซึมซับความรู้สึกบวก ความรู้จิตวิเคราะห์เชิงลึกมากขึ้น

หากติดตามบันทึกของ ดร.กะปุ๋ม จะเห็นว่าเธอบันทึกเรื่องของธรรมะบ่อยมาก และเมื่ออ่านลงไปจะพบว่าเป็นบันทึกที่เธอเอาออกมาจากการปฏิบัติจริงที่เธอเพียรพยายามอยู่ตลอด

หลายครั้งสิ่งที่ผมคิด ดร.กะปุ๋ม คิดเหมือน-คล้ายกัน เราจึงคุยกันในประเด็นเดียวกัน ...ผมเชื่อว่าเป็นความรู้สึกที่ดีที่สัมผัสได้ โยงมิตรภาพเข้ามาด้วยกันอย่างเเนบเนียน

บันทึกละเอียด โดยใช้ใจละเอียด ผลผลิตของความคิดผ่านการปฏิบัติ เป็นความรู้ที่ทรงพลังมหาศาล ...เป็นความจริงที่เราได้รับรู้ผ่านการถอดบทเรียนของเธอครับ

การบันทึกที่ถอดออกมาจากการปฏิบัติจริงนั้นจะได้อรรถรสมากกว่า ซึ่งเธอเองก็มีศิลปการถ่ายทอดด้วยครับน้องเอก เธอเป็นสตรีคนหนึ่ง แม้ร่างเล้กนิดเดียวเมื่อเทียบกับพี่ อิอิ แต่ใจเธอใหญ่เท่าฟ้า ที่ว่าใจใหญ่คือเธอกล้าหักหาญจิตภายในด้วยตัวเธอเอง...  เก่งจริงนะตัวนิดเดียว..

ปล่อยวาง และไม่ยึดติด เป็นคำที่เธอใช้บอกเพื่อนๆเสมอ

 

แม้ว่าคำนี้จะเป็นคำที่เรารับรู้กันทั่วไป แต่การที่เธอมาย้ำ ย้ำนั้น เป็นการบอกจากการปฏิบัติจริง ว่านี้คือของจริงนะ  ของจริง..

ขอบคุณบทวิเคราะห์อันเป็นภาพรวมของบันทึกที่ดีงามของกัลยาณมิตรของผมท่านนี้ครับ

ขอบคุณครับ น้องเอก

  • สวัสดีค่ะ พี่บูท
  • มาเก็บเกี่ยวความรู้ชั้นสูง ค่ะ
  • อ่านไป วิเคระห์ไป ยังไม่เข้าใจเลย ต้องศึกษาอีกมาก
  • แต่ไม่อ่านก็ไม่รู้ ขอบคุณค่ะ ความรู้ที่มีคุณค่าเช่นนี้ ใครไม่อ่าน เสียดายแย่ ค่ะ
  • อิอิ

สวัสดีครับคุณแก้ว ผู้มีใจกว้างขวาง P 3. แก้ว..อุบล จ๋วงพานิช

กำลังศึกษาและฝึกปฏิบัติได้เพียงน้อยนิดค่ะ

เคยคุยกับ ดร กะปุ๋ม เธอช่างเป็นคนที่มีแนวคิดและปฏิบัติได้ดีเหลือเกินค่ะ

ขอบคุณอาจารย์ที่มาวิเคราะห์ให้เห็นภาพค่ะ

ขอให้ประสบผลสำเร็จโดยเร็วนะครับในการปฏิบัติสิ่งดีงามทางจิต อนุโมทนาสาธุครับ

เราคนไทยแท้จริงเรามีรากทางศาสนานี้เป็นพื้น  และเป็นแรงเกาะเกี่ยวที่สำคัญของสังคมเรามานานแสนนาน

แม้ว่าเราจะมีพิธีกรรมเป็นองค์ประกอบ แต่พิธีกรรมนั้นซ่อนความหมายที่มีค่าไว้มากมาย เพียงคนรุ่นเรา และต่อไป เข้าไม่ถึงรหัสนัยแห่งรากนั้น   เห็นเพียงพิธีกรรม แล้วก็จะตีความหมายแบบไม่เข้าใจว่า ไร้สาระ

แท้จริงเขาหยาบเกินไปที่จะเข้าถึงสาระดีดีที่ซ่อนอยู่ภายในครับ เขาเป็นผู้เขลาปัญญาต่างหาก

สาธุที่ฝึกปฏิบัติครับ

สวัสดีครับ

  • อ่านคร่าว ๆ แล้ว หวนให้นึกถึงอีกบันทึกหนึ่งของหมอเบิร์ด ที่คุณหมอเขาแสดงความคิดเห็นไว้อย่างน่าสนใจที่ 682819
    กล่าวถึงว่า ...สภาวะ ๓ ป. คือ ปลอดภัย เปราะบาง และเปลี่ยนแปลง ...เมื่อความเชื่อเดิมที่เรายึดมั่นอย่างตายตัวมาตลอดถูกท้าทาย ก็จะส่งผลให้เกิด ภาวะเปราะบาง ที่อาจทำให้รู้สึกหมิ่นเหม่ ไม่มั่นใจ อึดอัด ปั่นป่วน โกลาหล ซึ่งถือเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นได้ก่อนการ เปลี่ยนแปลงด้านใน

 

 

สวัสดีครับน้อง P 6. บัวปริ่มน้ำ

  • สวัสดีค่ะ พี่บูท
  • มาเก็บเกี่ยวความรู้ชั้นสูง ค่ะ
  • อ่านไป วิเคระห์ไป ยังไม่เข้าใจเลย ต้องศึกษาอีกมาก
  • แต่ไม่อ่านก็ไม่รู้ ขอบคุณค่ะ ความรู้ที่มีคุณค่าเช่นนี้ ใครไม่อ่าน เสียดายแย่ ค่ะ
  • อิอิ

ขอบคุณครับน้องสาว  พี่เพียงทบทวนบันทึกของน้องกะปุ๋มเขาน่ะครับ  แล้วมองเข้ามาที่ตัวเองว่า ทำอะไรอยู่ อิอิ..

สวัสดีครับน้อง P 8. เด็กข้างบ้าน

เปลี่ยนนาม แต่ไม่เปลี่ยนรูป.... ดีครับ

  • อ่านคร่าว ๆ แล้ว หวนให้นึกถึงอีกบันทึกหนึ่งของหมอเบิร์ด ที่คุณหมอเขาแสดงความคิดเห็นไว้อย่างน่าสนใจที่ 682819
    กล่าวถึงว่า ...สภาวะ ๓ ป. คือ ปลอดภัย เปราะบาง และเปลี่ยนแปลง ...เมื่อความเชื่อเดิมที่เรายึดมั่นอย่างตายตัวมาตลอดถูกท้าทาย ก็จะส่งผลให้เกิด ภาวะเปราะบาง ที่อาจทำให้รู้สึกหมิ่นเหม่ ไม่มั่นใจ อึดอัด ปั่นป่วน โกลาหล ซึ่งถือเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นได้ก่อนการ เปลี่ยนแปลงด้านใน

เอ้า...ก็สองอิสตรีนี่เธอเป็นเพื่อนรักกัน...ขนาดตัวก็พอๆกัน เก่งเหมือนกัน ต่างคนต่างคมด้วยกัน  เป็นที่ชื่นชอบกับทั่วไปนะครับ

 

จริงๆพี่กำลังจะก้าวไปหาน้องหมอเบิร์ดนะเนี่ยะ ผ่านกะปุ๋มไปก่อน อิอิ

ขอบคุณครับที่เอามาเชื่อมกัน ก็เป็นเรื่องราวเดียวกัน เธอทั้งสองกำลังพูดสิ่งภายใน ความเปลี่ยนแปลง สภาวะที่จะเปลี่ยนแปลง และความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยน ... นักจิตวิทยาเธอมีคำคมด้านพฤติกรรมที่ชัดเจน นักปฏิบัติธรรมเธอมีความรู้สึกด้านในออกมาบอกผู้คน

เฮ่อ มีเพื่อนพ้องดีดีอย่างนี้ก็มีเรื่องน่าศึกษาตลอดแหละนะครับ

ขอบคุณมากครับ

ขอแจมค่ะ อิอิ

ธรรมะก็คือธรรมชาตินั่นเอง

หลวงปู่ชาเทศน์ไว้ว่าถ้าเข้าใจในสัจธรรมของธรรมชาิติรอบตัว เข้าใจในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เท่ากับได้พบธรรมะ ได้พบพระพุทธองค์ ได้พบทางสว่างค่ะ

ถ้าเราเข้าใจว่าตัวตนของเรานั้นมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และมันบังคับบัญชาไม่ได้ เข้าใจอย่างมีปัญญา อัตตาของตัวเรามันก็จะหายไป เพราะเราจะพบว่าตัวเรานั้นก็ไม่ต่างอะไรกับธรรมชาิติ กับผลหมากรากไม้ กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และมันบังคับบัญชาไม่ได้ค่ะ ^ ^

สวัสดีครับอาจารย์น้อง P 11. กมลวัลย์

ธรรมะก็คือธรรมชาตินั่นเอง

หลวงปู่ชาเทศน์ไว้ว่าถ้าเข้าใจในสัจธรรมของธรรมชาิติรอบตัว เข้าใจในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เท่ากับได้พบธรรมะ ได้พบพระพุทธองค์ ได้พบทางสว่างค่ะ

ถ้าเราเข้าใจว่าตัวตนของเรานั้นมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และมันบังคับบัญชาไม่ได้ เข้าใจอย่างมีปัญญา อัตตาของตัวเรามันก็จะหายไป เพราะเราจะพบว่าตัวเรานั้นก็ไม่ต่างอะไรกับธรรมชาิติ กับผลหมากรากไม้ กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และมันบังคับบัญชาไม่ได้ค่ะ ^ ^

 

อาจารย์เป็นสตรีอีกท่านหนึ่งที่บันทึกเรื่องธรรมะเป็นประจำ แสดงความสนใจ และการฝึกปฏิบัติเป็นประจำ  เวลาพบท่านที่ปฏิบัติธรรมนี่นะครับ ดูมุมไหนก็งามไปหมดจริงๆนะอาจารย์

งามในธรรม งามในคุณค่า งามภายในครับ

ขอบคุณครับ

สวัสดีค่ะ พี่ท่านบางทราย

* น้องเป็นแฟนพี่กะปุ๋มอีกคนค่ะ ชอบอ่านบันทึกเธอ

* แต่ก็ยังเข้าใจ เข้าถึงบ้าง นะคะ ยังอยู่ชั้นบริบาลค่ะ

* อ่านบันทึกพี่ท่านแล้ว เยี่ยมยุทธ์ค่ะ ..

* ปล่อยวาง และไม่ยึดติด น้องก็จำได้นะคะ แต่ทำได้หรือไม่

* ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ค่ะ :) ยังมีกิเลสอยู่แบบวัยรุ่น 5 5

* น้องชอบวิถี สงบ งาม เงียบ และ เรียบง่าย ค่ะ ...

* เป็นกำลังใจให้พี่ท่าน สำหรับโครงการใหม่นะคะ เต็มร้อยค่ะ

สวัสดีครับน้องปู

ดร.กะปุ๋มเธอสนใจและปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นเรื่องดีมากๆ ที่ทุกคนควรทำ ในวิถีและเงื่อนไขเฉพาะตน เธออิสระพอสมควรและมีความสนใจจึงทุ่มเทได้มากกว่าคนอื่นๆจะทำได้  เป็นเรื่องที่ดี

คนเหมือนกันแต่โอกาสทำให้คนต่างกัน  เป็นสำนวนที่ยังเป็นจริง เมื่อเธอมีโอกาสก็ทำให้เธอก้าวไปไกลในเรื่องพัฒนาภายในจิต

จริงๆเราก็ทำได้ในทุกสภาพ พระอาจารย์หลายท่านก็กล่าวไว้เช่นนั้น เพียงเราไม่ได้ฝึกฝนเรื่องเหล่านี้ให้เป็นปกติเท่านั้นเองครับ

ขอบคุณน้องปูครับ

สวัสดีค่ะ พี่บางทราย

ตามมาอ่านและรออ่านการวิเคราะห์เช่นนี้ไปเรื่อยๆค่ะ....

น้องเชื่อเรื่องของการฝึกฝนให้เข้าใจจากภายใน ขณะเดียวกันน้องก็เชื่อการเชื่อมโยงทบทวนความเข้าใจนั้นกับความรู้ที่สะสมโดยบรรพชนด้วยค่ะ...ดังนั้นน้องจึงพยายามมองและทำความเข้าใจเส้นทางที่บรรดาผู้ที่ก้าวล่วงไปข้างหน้าก่อนแล้วที่ได้กรุยไว้ แล้วหันมาพยายามมองความเข้าใจภายในของตัวเองด้วย

ขอบพระคุณเส้นทางที่พี่บางทรายกำลังนำ รวมทั้ง ท่านหลายๆคน ที่นำวิถีปฏิบัติต่างๆของท่านมาเผยแพร่ให้กับสังคมด้วยค่ะ

ขอบคุณบันทึกนี้นะครับ...

ที่ฉายภาพบันทึกของคุณกะปุ๋มออกมาให้เห็นได้ชัดครับ...

เรื่องของความซับซ้อนของจิตนี่มีหลายระดับนะครับ...

ระดับตื้น ๆ ตัวเองรู้คนรอบข้างก็รู้และสัมผัสได้...

ระดับกลาง ตัวเองรู้คนรอบข้างบางคนรู้และสัมผัสได้...

ระดับลึก ตัวเองอาจจะรู้หรือไม่รู้ คนรอบข้างก็อาจจะรู้และไม่รู้เช่นกันครับ...

เหมือนหนังฝรั่ง Psycho งัยครับ กว่าจะรู้ว่าใครเป็นใครยังงัยก็ตอนจบของหนังนั่นแหละครับ และบางทีถึงหนังจะจบแล้วก็ยังไม่เข้าอยู่ดี...

สิ่งที่เราเห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่มันเป็นก็ได้ครับ...

ขอบคุณอีกครั้งครับ...

 

 

 

สวัสดีครับ น้องสร้อย P 15. จันทรรัตน์

ตามมาอ่านและรออ่านการวิเคราะห์เช่นนี้ไปเรื่อยๆค่ะ....

น้องเชื่อเรื่องของการฝึกฝนให้เข้าใจจากภายใน ขณะเดียวกันน้องก็เชื่อการเชื่อมโยงทบทวนความเข้าใจนั้นกับความรู้ที่สะสมโดยบรรพชนด้วยค่ะ...ดังนั้นน้องจึงพยายามมองและทำความเข้าใจเส้นทางที่บรรดาผู้ที่ก้าวล่วงไปข้างหน้าก่อนแล้วที่ได้กรุยไว้ แล้วหันมาพยายามมองความเข้าใจภายในของตัวเองด้วย

ดีจังเลยที่น้องสร้อยฝึกฝนเรื่องนี้ คนปัจจุบันไหลไปตามกระแสหลักจนเพลินมากไป (พี่ก็เป็น อิอิ) แต่เมื่อมีสติก็หันกลับมา

ขอบพระคุณเส้นทางที่พี่บางทรายกำลังนำ รวมทั้ง ท่านหลายๆคน ที่นำวิถีปฏิบัติต่างๆของท่านมาเผยแพร่ให้กับสังคมด้วยค่ะ

พี่เห็นว่าธรรมนั้นห่างจากคนมาในเชิงปฏิบัติมากไป เราใกล้วัด ใกล้เอกสาร ใกล้คำสอน  แต่ห่างไกลการปฏิบัติน่ะครับ หากใครทำ ใครปฏิบัติเราก็หยิบงานท่านผู้นั้นมาศึกษากันและหากใครสามารถนำไปปฏิบัติได้ก็สมควรน้อมนำไปปฏิบัติครับ

ขอบคุณครับ

สวัสดีครับคุณ P 16. Mr.Direct

ขอบคุณบันทึกนี้นะครับ...

ที่ฉายภาพบันทึกของคุณกะปุ๋มออกมาให้เห็นได้ชัดครับ...

เรื่องของความซับซ้อนของจิตนี่มีหลายระดับนะครับ...

ระดับตื้น ๆ ตัวเองรู้คนรอบข้างก็รู้และสัมผัสได้...

ระดับกลาง ตัวเองรู้คนรอบข้างบางคนรู้และสัมผัสได้...

ระดับลึก ตัวเองอาจจะรู้หรือไม่รู้ คนรอบข้างก็อาจจะรู้และไม่รู้เช่นกันครับ...

เหมือนหนังฝรั่ง Psycho งัยครับ กว่าจะรู้ว่าใครเป็นใครยังงัยก็ตอนจบของหนังนั่นแหละครับ และบางทีถึงหนังจะจบแล้วก็ยังไม่เข้าอยู่ดี...

สิ่งที่เราเห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่มันเป็นก็ได้ครับ...

ขอบคุณอีกครั้งครับ...

-------------------------

ผมเพียงประทับใจ คุณน้องกะปุ๋มที่ฝึก และปฏิบัติธรรมดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ปกติที่เราๆท่านๆจะเฝ้าทำได้เช่นนั้น เลยลองหยิบมาทำให้ตัวเองเข้าใจ เลยถือโอกาสเผยแพร่ด้วยครับ

ขอบคุณครับคุณดิเรกครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท