หนังสือธรรมปกเหลือง ชื่อ "ถึงชีวิตจะสูญเสีย...แต่อย่าให้ใจเสียศูนย์" เขียนโดยท่านชุติปัญโญ พระนักเขียนหนังสือธรรมรูปโปรดของผม
พลิกอ่านสารบัญพบว่า ผมเคยได้นำข้อเขียนจากหนังสือธรรมเล่มมานำเสนอกัลยาณมิตรมาแล้ว 2 ข้อเขียน อันได้แก่
อันชื่อหนังสือที่มีคำว่า "สูญเสีย" มองดูเพียงผิวเผิน ก็จะเห็นว่า ไม่เป็นมงคล เป็นเรื่องมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาอย่างพวกเรา ไม่อยากเข้าใกล้ หรือ ได้ยินนัก แต่นักบวช ผู้ศึกษาเรื่องธรรม เห็นเป็นเรื่องปกติของโลก ถ้าได้ศึกษาให้ลึกซึ้งอย่างถ่องแท้
ข้อเขียนที่ผมอยากนำเสนอมีชื่อเดียวกับชื่อของหนังสือธรรมเล่มนี้ ตอนแรกไม่อยากนำเสนออันเพราะความชื่อไม่เป็นมงคล แต่ในระยะหลัง ๆ ได้มีโอกาสพูดคุยกับกัลยาณมิตรท่านหนึ่ง ท่านโชคร้าย ได้พบกับความสูญเสียคนที่ตัวเองรัก ถึงแม้ระยะเวลาจะผ่านไปหลายปี ความเศร้าโศกยังคงติดตรึงอยู่ในหัวใจไม่เสื่อมคลาย อันนำมาซึ่งความทุกข์ ความเครียด ความมืดบอดในการดำเนินชีวิต
ผมจึงอยากนำเสนอข้อเขียนนี้ต่อกัลยาณมิตรท่านนี้ และท่านอื่น ๆ ที่เห็นว่า ข้อเขียนนี้ยังคงแฝงด้วยประโยชน์ต่อตัวของท่านเอง ให้ท่านได้ฉุกคิดบางเรื่องบางราวที่ท่านอาจจะไม่ชอบ แต่ทุกคนต้องผ่านมาแล้วทั้งสิ้น
เชิญอ่านด้วยความเข้าใจนะครับ
***********************************************************************
"ทุกอย่างเริ่มต้นที่ใจ"
เป็นคำสั้น ๆ แต่กินใจความของการเรียนรู้ชีวิตทั้งหมด เพราะหากเราทบทวนชีวิตตามความเป็นจริงแล้ว จะเห็นได้ว่าต้นตอของความสุขและความทุกข์นั้นล้วนมีจุดกำเนิดมาจากใจทั้งสิ้น ถึงแม้เราจะกล่าวว่าลำบากทางกายแต่ในส่วนที่รับรู้ก็ยังชื่อว่า เกิดจากจิตใจอยู่ดี จิตใจจึงชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดในการรับรู้ความเป็นไปของชีวิตอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันจิตใจนั้นก็ต้องอาศัยกายเป็นเรือนพักอาศัยด้วย จึงก่อให้เกิดเป็นชีวิตขึ้นมา ด้วยเหตุนี้กายและใจจึงเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้ชีวิตที่คนเราควรใส่ใจทุกขณะ เพื่อความสุขอันงดงามจะได้มาห่อหุ้มตัวเราด้วยความเปรมปรีดิ์
เพราะการดำเนินชีวิตนั้นเปรียบเสมือนการเดินทางไกล เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายที่มุ่งหวัง ถึงแม้อาจจะยาวไกลต่างกัน แต่ก็เป็นสิ่งที่ชีวิตต้องก้าวไปให้ถึง อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะมุ่งไปให้ถึงฝั่งฝันได้ใกล้หรือไกลเพียงใด ขณะเดียวกัน การเดินทางไกลของชีวิต ย่อมไม่ง่ายกว่าที่จะถึงเป้าหมายที่วาดหวังไว้ ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตล้วนเป็นการทดสอบว่า คนเรามีความฉลาดรอบรู้ที่จะเป็นเจ้าของชีวิตหรือไม่อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
ปัญหาที่เกิดขึ้นตามรายทางของชีวิต จึงเป็นความท้าทายที่ทำให้ความรู้สึกของคนเรามีรสชาติมากขึ้น เปรียบเสมือนการเรียนรู้ที่จะทำอาหารให้มีความอร่อย ก็ต้องมีเครื่องปรุงต่าง ๆ เข้ามาผสมด้วย อาหารนั้นจึงจะมีรสชาติน่ารับประทาน ถ้าขาดศิลปะในการปรุงแล้ว อาหารที่มีอยู่ย่อมไม่ชวนให้น่าชิมลิ้มลองแต่อย่างใด กลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกเมินอย่างน่าเสียดาย
การศึกษาชีวิตก็เช่นเดียวกัน กว่าที่จะก้าวไปสู่จุดหมายที่เป็นความสุขและความสำเร็จใช่ว่าจะง่ายเสียทีเดียว เพราะทุกขณะของการก้าวไป ก็ต้องเรียนรู้ที่จะฝ่าฟันอุปสรรคนานานัปการ ต้องเรียนรู้ทั้งบทเรียนที่จะเป็นผู้ชนะและผู้แพ้ให้เป็นในคราวเดียวกัน เพราะเมื่อเรียนรู้ทั้งสองฝ่ายด้วยความเข้าใจ การเดินทางไกลก็จะมีทั้งสุขและทุกข์คอยเป็นครูสอนชีวิตให้แกร่งขึ้น อันจะช่วยนำทางให้เรามีความสุขและความสำเร็จที่ยั่งยืนได้
ในทางพระพุทธศาสนาได้กล่าวพุทธภาษิตบทหนึ่งไว้ว่า "การชนะตนเองนั่นแหละเป็นสิ่งที่ดี่ที่สุด" ซึ่งหมายถึงการเรียนรู้ที่จะเอาชนะใจตนเองเป็นสำคัญ เป็นภาษิตที่ช่วยสอนให้คนเรารู้จักใส่ใจที่จะหันกลับมามองชีวิตด้วยความเข้าใจ คือ เข้าใจทั้งบริบทของกายว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร เข้าใจจิตใจที่ยากหยั่งถึงนั้นด้วยความรู้สึกที่ประณีต เพื่อเป็นอุปกรณ์ในการรับมือกับอารมณ์ที่พัดพาชีวิตให้เกิดสุขและทุกข์นั้นให้เท่าทัน เมื่อนั้นความสุขและความทุกข์ที่มาเยือนอยู่มิขาดสาย ก็จะกลับกลายเป็นเพื่อนชีวิตที่แสนดีได้
เพราะว่าในการดำเนินชีวิตของคนเรานั้น น้อยนักที่จะมีใครคิดว่าชีวิตนี้จะบกพร่องหรือจะมีแต่ความทุกข์ เพราะทุกชีวิตของการเกิดมา เราต่างมุ่งหวังที่จะเชยชมความสุขต่างหมายมุ่งที่จะดึงความรู้สึกที่ตนเองปรารถนานั้นมาครอบครองแต่ฝ่ายเดียว โดยไม่คำนึงถึงอีกด้านของความทุกข์ที่คอยจ้องทำร้ายเราอยู่
เมื่อมองความสุขว่าต้องลอดผ่านชีวิตอยู่เป็นนิจ จึงเป็นจุดหักเหให้คนเราเกิดความประมาท ลืมทำความเข้าใจในความบกพร่องเล็กน้อยที่คอยวันเติบใหญ่ในวันข้างหน้า ลืมศึกษาความเป็นชีวิตทั้งสองด้านคือ กายและใจ ให้แจ่มชัดเป็นแน่แท้ จึงแช่อยู่กับอารมณ์ฝ่ายสุขแต่ฝ่ายเดียว โดยไม่เฉลียวใจต่อความทุกข์ที่กำลังก่อตัวอยู่อย่างเงียบ ๆ ที่รอคอยประทุษร้ายเราอยู่ทุกเมื่อ
เมื่อเป็นเช่นนี้ วันหนึ่งที่ความทุกข์หรือปัญหามาเยือน ชีวิตที่ไม่เคยเรียนรู้ความทุกข์หรือปัญหามาเยือน ชีวิตที่ไม่เคยเรียนรู้ความทุกข์และปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองก็จะกลายเป็นชีวิตที่หนักไปด้วยการแบกความอึดอัด ความกังวลและความวิตกเพราะปัญหาเหล่านั้น เพราะปัญญาที่ซ่อนอยู่ในจิตใจมีน้อยเกินไปที่จะต่อกรกับความหนักหน่วงของความทุกข์ที่มี เมื่อเป็นเช่นนี้ พายุแห่งความทุกข์จึงกระหน่ำซ้ำเติมชีวิตแทบปางตาย จะทำให้เสียหลักจากจุดของความสุขไปในทันที
เมื่อความจริงของความทุกข์เข้ามาครอบงำชีวิตในวันที่คนเรายังไม่พร้อมที่จะรับมือ สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเต็มไปด้วยความทุกข์และความสงสัยต่อสิ่งที่ประสบ จนก่อให้เกิดเป็นความแตกแยกทางความต้องการที่จะตอบโจทย์ข้อสงสัยนั้น ก่อให้เกิดการถกเถียงในเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตอยู่ไม่ขาดสาย เพื่อนำมาตอบข้อสงสัยของตนเอง แต่สุดท้ายก็ยังมืดบอดอยู่เช่นเคย เพราะเนื่องมาจากใจถูกปกปิดไม่ให้รับรู้ความจริงที่ควรจะรับทราบนั้น
ทำให้ชีวิตที่มีอยู่ เสมือนว่ามีแต่ร่างไร้วิญญาณที่จะรับรู้ความเป็นจริง ทำให้คนเราพยายามไขว่คว้าสิ่งต่าง ๆ ทางวัตถุมาครอบตนเองไว้ เพื่อตอบสนองใจให้ความทุกข์จางลงจึงทำให้เราได้เห็นวิธีการแก้ไขปัญหาแบบชาวโลกต่าง ๆ นานา เพราะต่างเข้าใจว่าวิธีการที่ตัวเองเลือกนั่นแหละดีที่สุดแต่นักปราชญ์ทั้งหลายกลับมีมุมมองอีกแบบหนึ่ง เป็นมุมมองที่ทุกคนรู้อยู่แต่ไม่เคยคิดว่าจะช่วยแก้ไขอะไรได้ สิ่งนั้นก็คือการเรียนรู้ "จิตใจ" ให้รู้เท่าทันสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง เข้าใจทั้งที่เป็นด้านบวกและด้านลบของชีวิตว่าเป็นเช่นใด เข้าใจว่า สิ่งใดเป็นความบกพร่อง และทำอย่างไรความบกพร่องที่มีอยู่นั้นจะหายไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เปรียบเสมือนว่าชีวิตเริ่มมีศูนย์บัญชาการและตรวจสอบที่ถูกต้อง มีความเข้มแข็งที่พร้อมจะรับมือทั้งเรื่องที่ดีและร้ายในทุกสถานการณ์ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะใด ย่อมดำรงอยู่ในอัตภาพที่ผาสุกและมีความสมดุลอย่างน่าเชยชม ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าใจชีวิตด้วยสติปัญญาอันชัดตรงต่อเรื่องที่เกิดขึ้น
เพราะการเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยสติที่ถูกกลั่นกรองมาแล้ว และก่อให้เป็นปัญญาในการแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ได้นั้น เป็นเสมือนการกลับมาอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของชีวิตที่เหนือกว่า สามารถมองผ่านป้อมยามของชีวิตที่จะแก้ไขข้อบกพร่องที่โผล่ขึ้นมานั้นได้ ขณะเดียวกันก็ทำให้มองเห็นความปกติสุขของชีวิตและรู้จักเกี่ยวข้องกับความปกตินั้นอย่างรู้เท่าทันไม่หลงให้อารมณ์แห่งสุขนั้นมาเบี่ยงเบนความรู้สึกปกติให้หลีกออกจากทางที่ถูกต้องแต่อย่างใด
กลับเป็นการรับรู้เพื่อสนับสนุนความสมดุลระหว่างทุกข์และสุขนั้นด้วยความเข้าใจ ไม่ฉุดดึงความทุกข์ให้มาเจือปนกับความสุขที่มี แต่จะแบ่งฝ่ายของความสุขและความทุกข์ที่มีอยู่นั้นให้ดำรงอยู่ในภาวะที่เหมาะสม อยู่ในอัตราส่วนทีทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ซึ่งภาษาพระเรียกว่า การเรียนรู้ที่จะอยู่เหนือความทุกข์และความสุขด้วยจิตใจที่ปล่อยวาง ไม่ให้ใจเข้าไปแช่อยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งมากจนเกินไป จนกระทั่งเป็นการเสพคุ้นต่ออารมณ์นั้น ๆ
เป็นสักแต่ว่าเรียนรู้และรับรู้ด้วยความรู้สึกที่เป็นกลาง ๆ ไม่ต่อสู้กับอารมณ์ที่ผ่านเข้ามา ไม่ถอยออกจากสิ่งที่รู้นั้น เป็นแต่เพียงไม่นำจิตเข้าไปผูกพันกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เพียงแค่นี้ก็เพียงพอที่จะดำรงอยู่ด้วยความสงบสุขอย่างแท้จริงได้ เป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ที่ชีวิตทุกสถานภาพควรใฝ่หา เพราะหากปรารถนาความสุขที่แท้จริง ปรารถนาที่จะเป็นผู้อยู่เหนืออารมณ์อันหมองเศร้า เราต้องฉลาดในการเรียนรู้ความทุกข์และความสุขที่เกิดขึ้นอย่างรู้เท่าทัน
มิใช่เพื่ออารมณ์อย่างใดผ่านเข้ามาก็เข้าไปแช่อยู่ในอารมณ์นั้นตลอดเวลา ถ้าเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับสูญเสียชีวิตที่เป็นของตัวเราไปครึ่งหนึ่ง กระทั่งสุดท้ายก็ถูกปัญหาที่เป็นความสุขจอมปลอม และ ความทุกข์อันเป็นเท็จนั้นกดให้จมลงไปอย่างถาวร โดยไม่สามารถผุดขึ้นมาดำรงอยู่กับความเป็นตัวเองได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ชื่อว่าเราได้สูญเสียชีวิตที่มีอยู่อย่างแท้จริง
แต่ถ้าวันหนึ่งชีวิตของเราถลำพลาดไป ถูกดึงเข้าไปอยู่ในท่ามกลางสิ่งลวงทางความรู้สึก แต่เรายังมีสติสัมปชัญญะที่จะดึงใจให้ตื่นตัวได้ ไม่ยอมสูญเสียการทรงตัวของจิต รีบดึงความรู้สึกตัวให้กลับมาอยู่กับแก่นแท้ของชีวิต ถึงแม้ปัญหาที่มารุมเร้าจะหนักหน่วงเพียงใด เราย่อมสามารถที่จะแหวกออกมาเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นอิสระในชีวิตของตนเองได้
ดังนั้น หากต้องการที่จะให้ชีวิตที่เกิดมาอย่างยากลำบากนี้ดำรงอยู่ด้วยความผาสุก ไม่ว่าชีวิตนี้จะสูญเสียมามากมายเพียงใด แต่หากเรายังมีจิตใจที่กล้าแกร่ง มีจิตใจที่ได้รับการพัฒนาอย่างถูกต้อง เมื่อนั้นย่อมมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นเจ้าของชีวิตที่แท้จริงได้
เป็นเจ้าของชีวิตที่เกิดมาโดยที่ไม่มีอะไรติดตัวอย่างเข้าใจ
เป็นเจ้าของชีวิตที่ไม่ยึดติดกับวัตถุที่มาครอบจำนน
เป็นเจ้าของชีวิตที่อยู่เหนือความปรารถนาทั้งมวล
เป็นเจ้าของชีวิตที่อยู่เหนืออารมณ์ของความโกรธเกลียด
เป็นเจ้าของชีวิตที่อยู่เหนือความหลงที่มาครอบงำตัวเรา
ถ้าเราปรารถนาที่จะไปให้ถึงจุดมุ่งหมายของชีวิตอย่างแท้จริง เราต้องเรียนรู้ที่จะค้นหา "แก่นของชีวิต" ให้เจอ ถึงแม้ชีวิตจะสูญเสียสิ่งใดไปมากมายเพียงใด แต่ก็อย่าให้สูญเสียจิตใจที่จะเรียนรู้สัจธรรมของชีวิตที่มีอยู่
แค่นี้ก็เพียงพอที่จะตอบโจทย์ของชีวิตได้ว่า "เราเกิดมาทำไม"
***********************************************************************
อดีต ... เดินทางกลับมาไม่ได้ คนที่จากไป ... ก็มีภาระหน้าที่เดินทางไกล แต่คนที่อยู่ จะอยู่อย่างไรให้รู้ตน รู้ตัว เข้าใจธรรม เข้าใจหลักความเป็นจริง ดึงชีวิตให้สุขที่สุด ถ้าไม่รู้ ไม่ทราบ ปิดหู ปิดตา แล้วจะทราบว่า โลกสวยงามอย่างไรกัน
หวังใจว่า ข้อเขียนนี้ทำให้ได้คิดอะไรบางอย่าง แล้วสามารถนำไปใช้พิจารณาจิตของตน สามารถทำให้อยู่ในโลกนี้ได้อย่างมีความสุข เพราะชีวิตคนเราไม่ได้มีคนที่เรารักอยู่คนเดียวแน่นอน
บุญรักษาทุกท่าน ครับ :)
แหล่งอ้างอิง
สวัสดีค่ะอาจารย์ Wasawat
สวัสดีคะ...อาจารย์
ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้นะคะ...ชอบคะ..โดยเฉพาะประโยคนี้ "การเรียนรู้ที่จะอยู่เหนือความทุกข์และความสุขด้วยจิตใจที่ปล่อยวาง"
เป็นเจ้าของชีวิตที่เกิดมาโดยที่ไม่มีอะไรติดตัวอย่างเข้าใจ
เป็นเจ้าของชีวิตที่ไม่ยึดติดกับวัตถุที่มาครอบจำนน
เป็นเจ้าของชีวิตที่อยู่เหนือความปรารถนาทั้งมวล
เป็นเจ้าของชีวิตที่อยู่เหนืออารมณ์ของความโกรธเกลียด
เป็นเจ้าของชีวิตที่อยู่เหนือความหลงที่มาครอบงำตัวเรา
ทำยากจังเลย
พยายามอย่างมากแล้ว และจะพยายามต่อไป
สู้ตายค่ะ อิอิ
ขอบคุณค่ะ อาจารย์
"แก่นของชีวิต"
เป็นเรื่องท้าทาย ที่ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง
เอาดอกไม้มาฝากค่ะ
ขอบคุณครับ พี่แจ๋ว jaewjingjing ... ค่อย ๆ อ่าน และพิจารณาครับพี่ ... :)
ขอบคุณครับ ครอบครัว นพดล&ภีรภา อัคระจาคะ (N&A) :)
"การเรียนรู้ที่จะอยู่เหนือความทุกข์และความสุขด้วยจิตใจที่ปล่อยวาง"
ยินดีครับ :)
ขอบคุณครับ คุณพยาบาลนางฟ้า AnGelNURSE ... เอาชนะอะไรไม่ยากเท่ากับเอาชนะตัวเองครับ สู้ สู้ ครับ
ขอบคุณ คุณ ครูเอ ... เราเป็นผู้กำหนด "แก่นของชีวิต" ตนเอง ครับ .... :)
มาเติมเต็มชีวิตผ่านบันทึกปราณีตครับ...
ขอบคุณมากๆครับผม
--------------------------
ทักทายจากเมืองคอนครับ :)
ขอบคุณครับ คุณเอก จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร ที่แวะมาให้กำลังใจครับจากเมืองคอนเลยครับ
ตอบกลับจากเวียงพิงค์ ครับ
วันหนึ่ง ...ที่ความทุกข์หรือปัญหามาเยือน ชีวิตที่ไม่เคยเรียนรู้ความทุกข์หรือปัญหามาเยือน ชีวิตที่ไม่เคยเรียนรู้ความทุกข์และปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองก็จะกลายเป็นชีวิตที่หนักไปด้วยการแบกความอึดอัด ความกังวลและความวิตกเพราะปัญหาเหล่านั้น เพราะปัญญาที่ซ่อนอยู่ในจิตใจมีน้อยเกินไปที่จะต่อกรกับความหนักหน่วงของความทุกข์ที่มี เมื่อเป็นเช่นนี้ พายุแห่งความทุกข์จึงกระหน่ำซ้ำเติมชีวิตแทบปางตาย จะทำให้เสียหลักจากจุดของความสุขไปในทันที
อดีต ... เดินทางกลับมาไม่ได้ คนที่จากไป ... ก็มีภาระหน้าที่เดินทางไกล แต่คนที่อยู่ จะอยู่อย่างไรให้รู้ตน รู้ตัว เข้าใจธรรม เข้าใจหลักความเป็นจริง ดึงชีวิตให้สุขที่สุด ถ้าไม่รู้ ไม่ทราบ ปิดหู ปิดตา แล้วจะทราบว่า โลกสวยงามอย่างไรกัน
ปัจจุบัน และ อนาคต เราต้องใช้สติสัมปชัญญะในการก้าวเดินเพื่อเรียนรู้แก่นของชีวิต ด้วยความไม่ประมาท
ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ
ยินดีด้วยความเข้าใจครับ คุณครูจุฑารัตน์ NU 11 :)
ขออนุญาต อาจารย์วสวัตค่ะ
แอบตาม พี่สาวไปดู...อยากไปมั่งค่ะ ถ้าครูเอมีเวลาว่างอยากไปปฏิบัติบ้างค่ะ
สมัยเรียนก็ชอบไปวัดอุโมงค์ ระยะหลังๆก็มาพาญาติไปปฏิบัติที่วัดร่ำเปิงค่ะ แต่ในส่วนตัวไม่ค่อยมีโอกาสค่ะ ขอบคุณค่ะ
วันนี้เซ็งเป็ดเห็ดเผาะ แต่ไม่ถึงกับเสียศูนย์เพราะยังไม่ได้สูญเสียสิ่งใด
บางที อาจต้องวางอุเบกขา เมื่อใดที่จำต้องสูญเสียสิ่งหนึ่งสิ่งนั้นไปจริงๆ ตามความเป็นจริงแห่งตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง
สวัสดีครับ คุณครูจุฑารัตน์ :)
ขอบคุณนะครับ :)
สวัสดีครับ คุณ ครูเอ :)
สบายใจก็ไป ครับ :)
สวัสดีจ้า น้องหมออ๋อ อ๋อทิงนองนอย :)
สู้ สู้ พี่อยากให้กำลังใจ :)
สวัสดีครับ ท่าน ศน.อาจารย์ เอื้องแซะ :)
บุญรักษา ครับ :)
สวัสดีค่ะ ท่านอาจารย์ Wasawat Deemarn
คุณ ครูปู ว่าผมใช้ชีวิตชุ่ย ๆ ครับ แง แง .... (ล้อเล่นครับ)
ขอบคุณที่มาเยือนบันทึกครับ ได้การพิจารณากลับไปใช่ไหมครับเนี่ย :)
ฝนตก ๆ ต้องนี่เลยดีไม๊คะ
ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆ ค่ะ
น่ากินอ่ะ คุณ ครูปู :) ... กำลังดูดกาแฟสดอยู่ครับ เดี๋ยวขอดูดหมดแก้วก่อนนะครับ
ขอบคุณครับ :)
..กำลังหิว ...เห็นกล้วยบวดชีน่าทานจังค่ะ
ครัวหลังบ้านเลยครับ ครูเอ ... อิ อิ
เป็นเจ้าของชีวิตที่เกิดมาโดยที่ไม่มีอะไรติดตัวอย่างเข้าใจ
เป็นเจ้าของชีวิตที่ไม่ยึดติดกับวัตถุที่มาครอบจำนน
เป็นเจ้าของชีวิตที่อยู่เหนือความปรารถนาทั้งมวล
เป็นเจ้าของชีวิตที่อยู่เหนืออารมณ์ของความโกรธเกลียด
เป็นเจ้าของชีวิตที่อยู่เหนือความหลงที่มาครอบงำตัวเรา
อ้าว คุณ poo เอาจริงหรือครับ :)
อิอิ.ชวนเข้าครัวเลยหรือคะอาจารย์ ครัวใครอ่ะค่ะ
ไหนว่าอยากบวช..5555
อุตส่าห์แวะมาแซวนะครับเนี่ย คุณครูจุฑารัตน์ NU 11 ... บวดกล้วยครับ 555
อ้าว คุณ poo เอาจริงหรือครับ :)
* โห ท่านอาจารย์ ปล่อยมุขนี้มา
* ปูต่อไม่ถูกเลย ไปกินกล้วยบวดดีกว่า ว่าแต่
กล้วยบวด นี่บวชไหนแน่นิ ... ภาษาไทยปูตาลปัตรจริงๆ
* คงถึงเวลาไปบวช จริงๆ บายค่ะ อาจารย์
กล้วยบวดชี เป็นเรื่อง 5555
เรื่อง กล้วยบวดชี ก็เป็นประเด็นได้ครับ ตั้งหัวข้อเลยครับ ครูเอ
ผมสนับสนุนการกินเต็มที่ครับ :)
มาขออภัย กล้วยบวชชี ค่ะ
ตกลงไปหาคำตอบมาแล้วใช่ไหมครับ
กล้วยบวชชี นะครับ ครูเอ :)
สวัสดีค่ะอาจารย์
ขอบคุณอาจารย์ค่ะ..ตรงใจมากจริงๆ ถ้าอย่างนั้นมิมคงหาคำตอบให้เพื่อนผู้จากไปได้แล้วละคะ ว่าโลกนี้คืออะไรหนอ ชีวิตคืออะไรกัน วันหลังจะเขียนจดหมายให้เพื่อน ขออนุญาตนำบันทึกนี้ไปประกอบนะคะ แล้ววันหลังมิมจะไปหาซื้อหนังสือมาอ่านบ้าง แต่..เอ..รออ่านบันทึกของอาจารย์ดีกว่า อิอิ ประหยัดเงินไว้ก่อน... และกลัวอาจารย์จะไม่มีอะไรมาเขียนอีก ฮา..ของกไว้ก่อนนะคะ
อาจารย์สบายดีนะคะ มิมไม่ได้มาทักทายนานแล้ว แต่ยังระลึกถึงเสมอคะ ช่วงนี้ยุ่งๆตามสภาพนะคะ อาจหายไปบ้าง..ขอบคุณอาจารย์อีกครั้งค่ะ
สว้สดีครับ น้อง มะขามอ่อน/ครูมิม :)
ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่า จะตรงตามสิ่งที่น้อง มะขามอ่อน/ครูมิม กำลังค้นหาอยู่หรือเปล่า แต่ตรงใจแล้ว ก็ยินดีมากครับ ที่สามารถช่วยให้ค้นหาได้เร็วขึ้น
ส่วนหนังสือก็หาซื้อได้เลยครับ ... ไม่ต้องรอผมไม่มีเรื่องจะเขียนหรอก เพราะบางประเด็นย้าว ยาว พิมพ์แล้วก็ต้องเวลามาก ซื้ออ่านจะทันใจกว่าครับ อีกอย่างถือเป็นกุศลผลบุญครับ เพราะผมเชื่อว่า ท่านชุติปัญโญคงนำรายได้จากการเขียนหนังสือไปบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างแน่นอนครับ
ยุ่งตามสภาพเหมือนกันครับ เคร่งเครียดไปกับการสอนคนที่บางที คนบางคนก็ไม่น่าสอน เหมือนน้ำเต็มแก้ว หรือ แก้วที่แตกไปแล้วมีรอยรั่ว รอยร้าว เหนื่อยเหมือนกันครับ
ขอบคุณครับที่แวะมาคุยกัน :)
ขออภัยที่เป็นคนแปลกหน้าเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่บังเอิญเหงา ๆ เลยคลิกไปคลิกมาหาอ่านข้อคิดต่าง ๆ ให้ผ่อนคลาย สบายใจ ขอบคุณที่โพสไว้แบ่งปันให้อ่านนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ
สวัสดีครับ คุณ Apple-Juice ;)
ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...
บันทึกในบล็อกนี้มีความประสงค์สำหรับการแบ่งปันมุมมอง วิธีคิด และการเพิ่มกำลังใจให้อยู่แล้วครับ
คุณ Apple-Juice สามารถเข้ามาอ่านได้ทุกเวลา
แล้วอย่าลืมทิ้งร่องรอยไว้ให้ด้วยนะครับ ผมยินดีมาก ๆ
ขอบคุณนะครับ ;)