บ. อมรินทร์ ระงับการพิมพ์เพิ่มหนังสือ (บางเล่ม) ของ ทพ.สม เพราะมีข้อผิดพลาดมาก






วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม 2551 เวลาประมาณ 12:00 น.

ผมได้รับโทรศัพท์จากคุณสุภาวดี โกมารทัต รองประธานกรรมการบริหาร บ.อมรินทร์ พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)

โดยมีประเด็นสำคัญคือ

ทางบริษัทฯ ได้ระงับการพิมพ์เพิ่มหนังสือ 2 เล่ม ของ ทพ.สม สุจีรา จนกว่าจะมีการแก้ไข ได้แก่

1) ฟิสิกส์นิวตัน

2) ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น

ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

1) ทพ. สม ได้ยอมรับว่าหนังสือ ฟิสิกส์นิวตัน (ซึ่งในปัจจุบันพิมพ์ออกมาได้ 3 ครั้งแล้ว) มีข้อผิดพลาด ทั้งนี้เนื่องจากในเว็บ มีผู้ที่ได้ชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดจำนวนมากมาย จึงได้แจ้งให้บริษัทฯ ว่าจะขอแก้ไขให้ถูกต้องก่อนหากจะมีการพิมพ์เพิ่ม

[หมายเหตุ : ผมเข้าใจว่า เว็บดังกล่าวอาจจะหมายถึง เว็บ Pantip ในห้องหว้ากอต่อไปนี้ อ้างอิง 1 และ อ้างอิง 2]

2) ในการนี้ บริษัท อมรินทร์จึงได้แจ้ง ทพ.สมฯ ไปว่ามีผู้แจ้งให้บริษัททราบว่า
หนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ก็มีข้อผิดพลาดอย่างมากเช่นกัน บริษัท จึงขอระงับการพิมพ์เพิ่ม

 

ทั้งนี้ คุณสุภาวดีฯ ได้แจ้งให้ผมทราบว่า

คุณเมตตา อุทกกะพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร บ.อมรินทร์ฯ

 มีความประสงค์ให้ผมช่วยแก้ไขหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น

ส่วนหนังสือ ฟิสิกส์นิวตัน นั้น จะหานักฟิสิกส์มาตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาด

 

ผมจึงได้เรียนคุณสุภาวดีฯ ไปว่า

1) ประเด็นนี้เคยคุยกับคุณเมตตาแล้ว (อ้างอิง : วิทยาศาสตร์ที่ถูกบิดเบือน : กรณี "ไอน์สไตน์พบ พระพระพุทธเจ้าเห็น" ) โดยในขณะนั้น ผมได้แจ้งคุณเมตตาไปว่า หนังสือเล่มนี้ "ผิดตั้งแต่ปก" ซึ่งหมายความว่า คอนเซ็ปต์ หรือความคิดรวบยอดของหนังสือไม่ถูกต้อง หากจะมีการแก้ไข อาจจะต้อง "รื้อใหม่หมด รวมทั้งปก" ด้วย

2) ได้เรียนคุณสุภาวดีฯ ไปตามตรงว่า การไปแก้ไขหนังสือของคนอื่น โดยเฉพาะคนที่เขียนหนังสือขายดีมากๆ นั้น เป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงต่อการผิดใจกับผู้เขียน และกระทบ Ego ผู้เขียนอย่างแรง

คุณสุภาวดีได้ตอบว่า หลังจากที่ ทพ.สม ได้รับทราบว่า หนังสือ ฟิสิกส์นิวตัน ของตนเองมีข้อผิดพลาดอย่างมาก และโดนทักท้วงในอินเทอร์เน็ต ทพ.สม ก็ลด Ego ลงไปมากแล้ว และพร้อมที่จะให้มีการแก้ไขข้อบกพร่อง (ประเด็นนี้จะเป็นจริงเพียงไร คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์)

3) ขณะนี้ ผมกำลังติดต่อกับเพื่อนอาจารย์ที่ภาควิชาฟิสิกส์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อจัดสัมมนาเล็กๆ ในหมู่นักวิชาการ โดยมีประเด็นสำคัญคือ เหตุใดฟิสิกส์จึงถูกบิดเบือนและเข้าใจผิดได้มากมายเช่นนี้และเราจะหาทางแก้ไข & ทางออกให้กับวงการวิชาการได้อย่างไร

4) ผมขอเวลาประมาณ 2 วัน เพื่อปรึกษากับเพื่อนร่วมงานและนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง โดยพยายามหาทางออกที่สร้างสรรค์ โดยไม่มุ่งทำร้ายใคร หรือองค์กรใด แต่ทั้งนี้ จำเป็นต้องแก้ไขความเข้าใจของสาธารณชน เพื่อรักษาความถูกต้องทางวิชาการต่อไป

 


 

กรณีหนังสือที่บิดเบือนวิทยาศาสตร์อย่างมากนี้ยังไม่จบ

และเชื่อว่าทุกฝ่ายคงจะพยายามหาทางออกที่ดีที่สุด

แต่นับเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับ บริษัท/สำนักพิมพ์ขนาดใหญ่

ที่ให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพเสมอมา

อีกทั้ง

ยังเป็นบทเรียนครั้งสำคัญสำหรับสังคมไทยส่วนหนึ่ง

ที่ตกอยู่ในกระแสของการเห่อตามใคร หรืออะไรง่ายๆ

สำหรับชาวพุทธ อาจจะคิดถึงคำสอนพื้นฐานในทางพุทธศาสนาอย่างเช่น หลักกาลามสูตร ที่พระพุทธองค์ตรัสเตือนไว้นานแล้ว

  


Mirror Site ใน วิชาการ.คอม : http://www.vcharkarn.com/varticle/37918


 

ความคืบหน้าเกี่ยวกับประเด็นนี้ (ล่าสุด : อังคาร 5 สิงหาคม 2551)

 


 

หมายเลขบันทึก: 195758เขียนเมื่อ 22 กรกฎาคม 2008 15:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 15:34 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (63)
  • ตามมาดู
  • มีการบิดเบือนแบบนี้ก็แย่นะครับ
  • ยิ่งคนพอมีชื่อเสียง
  • คนชอบคิดว่าเขาถูก
  • บ้านเรามีระบบตรวจสอบน้อยด้วย ยิ่งแย่ไปใหญ่
  • แต่มีการสัมมนาหาแนวทางแก้ไขก็ดีครับ
  • รอฟังข่าวคืบหน้าดีกว่า
  • ขอบคุณครับพี่ชิว
  • อิอิๆๆ

สวัสดีครับ อ.แอ๊ด

        ใช่แล้วครับ "ยิ่งคนพอมีชื่อเสียง คนชอบคิดว่าเขาถูก"

        พี่ว่าต้องปรับทัศนคติกันใหม่ "ยิ่งคนพอมีชื่อเสียง ยิ่งต้องระวังตัวให้มีคุณภาพดี และยิ่งต้องถูกตรวจสอบ (อย่างเป็นธรรม)" นะครับ

สวัสดีครับ

สำนักพิมพ์"ส่วนใหญ่"ในบ้านเรา ไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่จะตรวจสอบเนื้อหาครับ (อาจจะเว้นสำนักพิมพ์ของมหาวิทยาลัย สำนักพิมพ์ที่พิมพ์หนังสือตำรา แบบเรียน) ส่วนมากจะตรวจแค่ถูกผิด อันตรายอยู่เหมือนกันสำหรับนักอ่าน

ความเข้าใจผิดๆ ความเชื่อผิดๆ โดยมากจะติดนานเสียด้วย ;)

สวัสดีครับ อ.หมู (อู๊ดๆ) ^__^

       กรณีนี้เกิดจากความเชื่อมั่นในตัวผู้เขียนมาก จนละเลยการตรวจสอบครับ

       ปกติแล้ว อมรินทร์ผลิตหนังสือคุณภาพดีนะครับ จะมีก็หนังสือชุดนี้แหละที่ทำให้มาก แต่ก็จะทำให้เกิดปัญหาที่ต้องแก้ตามมามากเช่นกัน

       กำลังหาทางออกที่ดีที่สุด และเกิดประโยชน์ต่อสังคมกันอยู่ครับ

อ่านแล้วนึกถึงกาลามสูตรเลยค่ะ

สวัสดีครับ อาจารย์กมลวัลย์

       ใช่แล้วครับ นี่เป็นกรณีศึกษาที่น่าบันทึกไว้ เพราะหนังสือชุดนี้ขายดีมาก

       แต่อะไรที่มาเร็ว มาแรง (อย่างไม่ถูกต้อง) ก็มักจะไปเร็ว ไปแรง ครับ (กฎ Power Law)

สวัสดีครับอาจารย์ครับ

  • ขอชื่นชมอาจารย์ที่ทักท้วงในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และเสนอให้แก้ไขให้ถูกต้อง โดยเฉพาะหนังสือที่มีผลกระทบต่อการเรียนรู้ของคนเอา หากเสพสิ่งผิด ก็จะผิดไปตลอดชีวิต หากแก้ไขให้ถูกต้องเสียก็จะเป็นการสร้างความถูกต้องขององค์ความรู้ให้แก่สังคม  ถูกต้องแล้วครับอาจารย์
  • ผมคิดว่าน่าจะมีเอกสารทำนองนี้ในตลาดหนังสืออีกเท่าไหร่ที่ผิดพลาดในทำนองนี้ แล้วไม่มีใครทักท้วง  อาจเป็นเพราะไม่มีใครรู้จริงจึงไม่รู้ว่ามันผิด  หรือรู้แต่ไม่ได้ทักท้วง  หรือไม่รู้ว่าจะไปทักท้วงที่ไหน  หรือ....
  • และก็ขอชื่นชมผู้เขียนที่รับฟังและยินดีแก้ไข ขอชื่นชม สำนักพิมพ์ที่ "หน้าแตก" แล้วยังพยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น  หากแก้ไขและพิมพ์ฉบับที่ถูกต้องออกมาก็ยิ่งจะปรบมือให้ในความรับผิดชอบ หากไม่ทำอะไรต่อ ผมคงต้องตำหนิกันบ้าง ว่าค้ากำไร แต่ไม่รับผิดชอบความถูกต้อง
  • สนับสนุนการสัมมนาของอาจารย์ครับที่จะจัดขึ้น หรือจัดขึ้นมาแล้วก้ได้ และกระจายองค์ความรู้นั้นออกไป
  • การสัมมนาเป็นการเขย่าสังคมให้ตื่นตัวขึ้นมา พลังของความถูกต้องจะกระจายออกไปกับผู้เข้าร่วมสัมมนา และผู้เสพสื่อต่างๆที่เอาข้อเท็จจริงไปสื่อสารต่อสังคมวงกว้าง

ขอบคุณครับอาจารย์ คุณภาพดีดีเช่นนี้ต้องแนะนำกันครับอาจารย์

สวัสดีครับ พี่บางทราย

      ขอบคุณมากครับสำหรับกำลังใจ

      อย่างไรเรื่องนี้ยังไม่จบครับ เพราะมีประเด็นข้างเคียงตามมาอีกจำนวนหนึ่งที่รอการสะสาง

      โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อมั่นว่า บ.อมรินทร์ มีความเป็นมืออาชีพ และมีความรับผิดชอบต่อสังคมสูง ก็คงต้องรอดูว่ามาตรการ & การปฏิบัติที่จะตามมาคืออะไรบ้างครับ

      ไว้จะหาโอกาสไปคุยกับพี่บางทรายอีกครับ ตอนนี้ขอแว่บไปทำงานต่อก่อน ;-)

แวะเข้ามารับทราบข่าวสารค่ะ

พร้อมกับฝากความระลึกถึง

^_^

สวัสดีครับ คุณจูน

       ดีใจจัง ไว้จะแวะไปบุกบ้าน (เยี่ยมบล็อก) บ้างนะครับ ^__^

สวัสดีค่ะ พี่ชิว

เห็นด้วยกับคุณบางทรายนะคะที่พี่ชิวทักท้วงในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

ปกติในสังคมบ้านเรามักไม่ค่อยมีใครกล้าทำสักเท่าไหร่

ลองคิดดูว่าหนังสือสำหรับเยาวชน หากได้รับข้อมูลที่บิดเบือนไป

จะเป็นอย่างไรต่อกำลังสำคัญของประเทศชาติ??

โดยส่วนตัวเอชื่นชอบผลงานของอัมรินทร์มาก

คาดว่าทางอัมรินทร์คงจะหาทางออกที่ดีต่อสังคมนะ่คะี

ขอเป็นกำลังใจให้พี่ชิวนะคะ

สวัสดีครับ เอ (แม่นีโอ)

      ขอบคุณมากครับ ทำให้มีกำลังใจเยอะขึ้นทีเดียว ^__^

เรื่องนี้ยังมีอีกหลายแง่มุมมากทีเดียว

     1. ต้องขอบคุณ คนที่ใช้ชื่อ ศล ซึ่งเปิดประเด็นเอาไว้ใน Pantip.com ห้องหว้ากอครับ (อ้างอิง 1 และ อ้างอิง 2) เขาลุกขึ้นมาเพื่อทำสิ่งที่ถูกต้อง และยับยั้ง "หายนะทางปัญญา" ที่จะเกิดกับเด็ก เยาวชน และใครก็ตามที่อ่านหนังสือ ฟิสิกส์นิวตัน ของ ทพ.สม

         พี่พยายามติดต่อเขา แต่ยังทำไม่ได้ จึงขอแสดงความคารวะเอาไว้ ณ ที่นี้ (จะหาโอกาสทำแบบเป็นเรื่องเป็นราวอีกที)

     2. ในมุมของพี่เอง พี่กำลังเผชิญหน้ากับ 3 อย่างใหญ่ๆ ทั้งนั้น

         2.1 "นักเขียนดาวรุ่ง" ที่มีผลงานโดดเด่น (ในแง่ยอดขาย) และมีผู้คนศรัทธามากมาย

         2.2 บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่สั่งสมความดีงามมาอย่างยาวนาน จนมีความเป็นองค์กร และมีภาพลักษณ์เป็นองค์กรที่มีคุณภาพ

         2.3 ผู้คนที่ศรัทธา และ "เชื่อมั่น" ใน 2.1 และ 2.2

         คิดๆ ดูแล้ว เราก็แค่นักวิชาการตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่อยากจะไปผิดใจกับอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 อย่างนี้พร้อมๆ กันหรอกครับ

      3. แต่เมื่อ 2.1 และ 2.2 เริ่มรู้ตัวแล้ว ก็ยังเหลือ 2.3 นี่แหละครับที่จะยังคงมีโมเมนตัมอยู่มาก ส่วน 2.1 และ 2.2 จะทำอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่เขาต้องตัดสินใจเอง

          หากการตัดสินใจนั้น เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม โดยลดตัวตนและไม่ติดยึดในผลประโยชน์จนเกินงาม ทุกฝ่ายก็ย่อมจะอนุโมทนา

          แต่หากการตัดสินใจนั้นผิดพลาด ทำให้สังคมได้รับความเสียหายต่อไป ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรต่อไป

      4. ในมุมของคนอื่น....ไม่อยากคิดแทนเขาแล้วครับ เพราะเราไม่ใช่คนก่อปัญหา และไม่ใช่คนที่อาจจะสร้าง "หายนะทางปัญญา" ให้แก่สังคมไทย

          แต่ก็นั่นแหละครับ การที่ลุกขึ้นมาขวาง "หายนะทางปัญญา" ที่หนุนด้วยแรงขับเคลื่อนหลายมิติ (ศรัทธา ผลประโยชน์ทางธุรกิจ ความอยากรู้อยากเห็นของสังคม ฯลฯ) นั้น....

          คนที่ลุกขึ้นมา ก็อาจจะเจ็บตัวได้เหมือนกัน (โดนขว้างด้วย  "ก้อนหิน" ก้อนเล็กๆ ใน VCharkan.com ไปบ้างแล้ว ยังดีที่หลบทัน ไม่ไปยุ่งด้วย)

          ตอนนี้พี่ก็ทำในสิ่งที่ต้องทำต่อไป เพื่อให้สังคมไทย (ส่วนหนึ่ง) ฉุกคิดบ้าง

          แต่จะถึงกับ "ตาสว่าง" หรือไม่นั้น ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยครับ

 

สวัสดีค่ะ ท่านอ.หมอเมฆ

* หนูขอร่วมชื่นชม ด้วยจิตคารวะ ค่ะ

....

คนดี คือ คนที่กล้าต่อสู้เพื่อความถูกต้อง  ....

....

เมื่อก่อนเคยอยู่ฝ่ายบริการลูกค้า ... ถูกสอนว่า

เราควรขอบคุณ และดีใจที่ลูกค้า ชี้แนะ เพื่อแก้ไข

ดีกว่า ลูกค้าเงียบ และหายไปเลย ... นี่น่ากลัวมากค่ะ

....

และนี่ยิ่งสำคัญมากกว่านะคะ เพราะมีผลต่อสังคมโดยรวม

ขอบพระคุณท่านอ. หมอเมฆ สำหรับข้อมูลความรู้ใหม่ๆ

....

อิ่มอร่อยอาหารกลางวันนะคะท่านอ. หมอเมฆ

 

 

 

ผมร่วมเป็นกำลังใจให้พี่ชิวอีกคนครับ พี่ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และผมเชื่อว่าคนเราทุกคนก็มีโอกาสผิดพลาดกันได้ ซึ่งคนที่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดของตนเองย่อมพัฒนาตนได้มากกว่าคนที่ไม่ฟังใครครับ (ใช้ได้กับทุกวงการเลยนะเนี่ย) ...เราต้องช่วยกันคนละไม้ละมือเพื่อสร้างสังคมที่ทุกคนฟังเหตุฟังผล แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันให้มากขึ้นครับ :-)

อ่า.. พิมพ์ไปตั้งเยอะ กดส่งแล้วก็ Server down ซะงั้น.. เซ็งเลยเรา

ก็ขอเป็นกำลังใจให้อาจารย์แล้วกันค่ะ จะพิมพ์ใหม่ก็หมดแรง

เอาคร่าวๆ ว่าตอนที่เห็นหนังสือเล่มนี้ตามแผงหนังสือ และมีคนใกล้ตัวหลายๆ คนแนะนำให้อ่าน ตอนนั้นก็แอบคิดถึงอาจารย์ ว่าถ้าอาจารย์ได้อ่าน จะมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร (ตอนนี้ได้อ่าน entry ที่เกี่ยวข้องแล้ว ดีใจมากที่ได้ข้อเท็จจริงค่ะ)

อย่างน้อยเราคงต้องทำใจอย่างนึงว่า หนังสือ และสื่อทั้งหลายที่มีมากมายให้หยิบฉวยในปัจจุบัน อาจจะไม่ได้ให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่เราทั้งหมด ดังนั้นคงต้องสอนลูกหลานให้ใช้สติปัญญาในการพิจารณาให้มาก ไม่ใช่เชื่อไปซะหมดทุกอย่าง โชคดีที่ในปัจจุบัน แค่เรากูเกิ้ลดู เราก็จะได้รับข้อมูลหลั่งไหลมาหลายๆ ด้าน หลายๆ มุมมอง ถ้าเราสนใจเรื่องไหนจริงๆ จังๆ เราก็จะมีแง่มุมให้เรารับรู้ได้หลายทาง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องหนังสือที่ถูกพาดพิงนี่.. ถ้ามีใครสงสัย แล้วกูเกิ้ลดู อย่างน้อยก็จะได้แง่มุมจากเว็ปไซต์อาจารย์เพิ่มเติมค่ะ

สวัสดีครับ

     คุณ poo : ขอบคุณมากครับ เรื่องคำติดิง หรือข้อชี้แนะจากลูกค้านี่ ผมก็เคยมีประสบการณ์ เอาไว้จะหาบล็อกที่เหมาะสมเล่าให้ฟัง

    บก.ถั่ว : ขอบคุณมากเช่นกันครับ ก็คงต้องรอดูต่อว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป หวังว่ากรณีนี้จะเป็นบทเรียนให้กับทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องนะครับ

    คุณ แม่น้องธรรม์ : ดีใจที่ได้คุยกันอีกครับ แค่ข้อคิดเห็นเพียงเท่านี้ ก็รู้แล้วว่าคุณแม่น้องธรรม์มีความปรารถนาดีเพียงไร ขอบคุณมากเลยครับ ^__^

        เป็นความจริงอย่างที่สุดครับว่า

        "อย่างน้อยเราคงต้องทำใจอย่างนึงว่า หนังสือ และสื่อทั้งหลายที่มีมากมายให้หยิบฉวยในปัจจุบัน อาจจะไม่ได้ให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่เราทั้งหมด ดังนั้นคงต้องสอนลูกหลานให้ใช้สติปัญญาในการพิจารณาให้มาก ไม่ใช่เชื่อไปซะหมดทุกอย่าง"

        เด็กสมัยนี้นอกจากจะมีเรื่องราวให้เรียนรู้เยอะแล้ว ยังต้องเรียนรู้วิธีการตัดสินใจที่ดี (good judgment) อีกด้วย เพราะข้อมูลและเรื่องราวต่างๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตเยอะเหลือเกินครับ

ใช่อย่างที่พี่ชิวบอกสำนักพิมพ์เลยค่ะ ถ้าไปแก้ของเขาก็เห็นท่าจะไม่ดี ถ้าอยากทำต่อควรจะรื้อโดยตัวเขาเองตั้งแต่ concept โดยนำจุดต่างๆ ที่ผิดพลาดมาศึกษาเพิ่ม และหลีกเลี่ยงในส่วนที่ไม่สามารถ proof ได้อย่างเต็มร้อย อันไหนที่เป็นวิทยาศาสตร์ มีข้อมูลชัดเจนก็ควรทำให้ถูกต้อง แต่คนก็ชอบอ่านหนังสือที่ออกเป็นแนวนิยายหน่อยๆ แบบนี้ มันสนุกกว่าอ่านหนังสือวิทยาศาสตร์ล้วนๆ พอไม่มีความรู้ก็อ่านแล้วเชื่อฝังหัวตามที่คนเขียนเขาว่า โดยไม่ไปหาข้อมูลเปรียบเทียบ อันตรายค่ะ คนเขียนควรจะรับผิดชอบเยอะๆ หน่อย นี่ยังเห็นวางขายอยู่เลย ส่วนใหญ่ถ้าหนูจะอ่านหนังสือที่เชิงวิชาการ มักจะไปดูบรรณานุกรม แล้วหาพวกนั้นมาเช็คเมื่อสงสัย แต่ส่วนใหญ่แนววิทย์จะไม่ค่อยได้อ่านเท่าไหร่ จะอ่านแนวประวัติศาสตร์ ศิลปะมากกว่า

สวัสดีครับ ซูซาน

      ถูกต้องแล้วครับสำหรับข้อความที่ขีดเส้นใต้มานั้น

      พอไม่มีความรู้ก็อ่านแล้วเชื่อฝังหัวตามที่คนเขียนเขาว่า โดยไม่ไปหาข้อมูลเปรียบเทียบ อันตรายค่ะ

      สำหรับกรณีนี้มีหลักฐานบ่งว่า คนอ่านจำนวนไม่น้อยเป็นเยาวชนในวัยเรียน ระดับ ม.ปลาย - มหาวิทยาลัย ซะด้วย

      กรณีนี้นับเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหนังสือของผู้เขียนคนนี้ "ขายดีจัด" ด้วยความที่เขามีศิลปะในการนำเสนออย่างแยบยล อ่านง่าย เข้าใจง่าย & ที่สำคัญคือ คล้อยตามได้ง่าย (หากไม่มีพื้นฐาน หรือไม่คิดตามแบบเอาจริง - critical thinking)

      อีกทั้งฝีไม้ลายมือด้านการตลาดของบริษัทฯ ก็ยอดเยี่ยมครับ ถ้านำไปผลักดันสิ่งที่มีคุณภาพก็จะเกิดผลดีต่อสังคม

      แต่ถ้านำฝีมือด้านการตลาดระดับสุดยอดไปผลักดันสิ่งที่มีคุณภาพน่ากังขา (หรือคุณภาพต่ำ) ก็จะทำให้สังคมมีความเสี่ยงที่จะได้รับ "สารพิษทางปัญญา" ซึ่งถ้ารับไปมากๆ จนฝังลึก ก็กลายเป็น "หายนะทางปัญญา" นั่นแหละครับ

ตามมาชื่นชมอาจารย์ในบันทึกนี้อีกค่ะ...

สนับสนุนการสัมมนาเชิงวิชาการนะคะ และเผยแพร่ให้ความรู้ที่ถูกต้องไปถึงทุกๆคนด้วย

คิดเสมอมาค่ะว่า การหยิบฉวยผิวๆของความรู้ไปปรุงแต่งแล้วเผยแพร่ไปกว้างขวางอันตรายกับอนาคตของประเทศและวิชาชีพมากเลย และเดี๋ยวนี้สังคมกึ่งสำเร็จรูปก็ทำให้โอกาสที่คนจะมาไตร่ตรองเรื่องราวใดเรื่องราวหนึ่งอย่างลึกซึ้งก็น้อยลงได้ง่ายๆ ไปด้วยนะคะ 

หนังสือฟิสิกส์นิวตัน เรียกได้ว่า

เป็นการอัปยศของวงการฟิสิกส์เลยล่ะครับ

ผิดแบบไม่น่าผิดเลย

แก้ยากด้วย เพราะคนเขียนเหมือนจะ

ไม่ค่อยกระจ่างฟิสิกส์เลย

จากเด็กค่ายสอวน.ฟิสิกส์

รู้สึกชื่อชม spirit ของ สนพ ที่ระงับพิมพ์เพิ่ม

แล้วเรียกเก็บหนังสือตามร้านคืนรึเปล่าครับเนี่ย (หรือถือว่าเป็นสมมบัติเฉื่อย หยุดโช๊ะทันที่ไม่ได้)และถ้าคุณหมอสมเป็นคนขอให้หยุดพิมพ์เพิ่มด้วยตัวท่านเองก็ชื่นชม spirit ของแกเหมือนกัน

รอฟังผลสัมมนาจากข้อ 3 และทางออกตามข้อ 4 ครับ

สวัสดีครับ พี่ชิว

ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ เมื่อคร้้งจัดพิมพ์ใหม่ ๆ คือ ราว ๆ ประมาณ พค ปีที่แล้ว ช่วงนั้น อ่านแล้ว รู้สึกมันส์ มาก แต่ก็ไม่ได้สนใจถึงที่มาของหลักฐานต่าง ๆ อย่างละเอียด ว่าถูกต้องหรือไม่ แต่ สิ่งที่ผมได้รับ จาก หนังสือเล่มนี้ หลังจาก อ่านจบ คือ

1. ตอกย้ำความเชื่อ (ของผมเป็นทุนเดิม) ที่่ว่า หากเราต้องการเข้าถึง ธรรม (ชาติ) นั้น ในโลกนี้ ปราชญ์ท่านต่าง ๆ ในอดีต (พระพุทธเจ้า ในความคิดผม ถือเป็น ปราชญ์ ท่านหนึ่ง และ ในทัศนะของผมแล้ว ศาสนา พุทธ เป็นเครื่องมือ ที่อาจทำให้เรา หลุดพ้นจาก ทุกข์ และ เข้าใจถึง ธรรมชาติ มากกว่า ที่จะมองเป็น สถาบัน หรือ พยายาม ให้ พุทธ มี อัตตา ทั้ง ๆ ที่ จริง ๆ แล้ว ทุกสิ่งล้วนมาจาก และ ประกอบ ด้วย ความว่างทั้งสิ้น -> เป็นความเชื่อส่วนบุคคล) ได้ให้เครื่องมือ ให้เรา ลองเอาไปปฎิบัติ ดู ทั้ง หลัก คำสอน ของ พระพุทธเจ้า หรือ ฟิสิกส์ ก็ เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่ง แล้วแต่ จริต ของ ใคร จะไปทางไหน การเข้าใจในธรรม(ชาติ) ของ ฟิสิกส์ ก็มีวิธีการแบบหนึ่ง (ต้องใช้ความรู้ทาง คณิตศาสตร์ เข้าช่วย เป็น ส่วนใหญ่) ของ ศาสนาพุทธ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง (เน้นการเจริญ สติ ) แต่ทั้งสองเครื่องมือ ล้วนต้องใชั ตรรกะ ความมีเหตุ และ ผล ทั้งสิ้น ซึ่งทำให้ผมคิดว่า หากคนที่ไกล ศาสนาพุทธ คิดว่า การพยายามเข้าใจ (เข้าถึง ) ศาสนาพุทธ ในเชิง ศรัทธา พิธีกรรม สถาบัน อย่างที่เป็นอยู่ในชาวไทย เสียส่วนใหญ่ นั้น น่าจะเข้าใจใน ศาสนาพุทธ ในเชิง ปรัชญา มากขึ้น และหันกลับมา มอง ศาสนาพุทธ ในอีกมุมมองหนึ่งที่ มีเหตุมีผล เหมือนกับ วิทยาศาสตร์ (ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่า เป็น ศาสตร์ที่นำความเจริญ มาสู่ มนุษยชาติ )ก็จะดี และ ทำให้การศึกษาหลักพุทธรรม เป็นไปอย่างที่ควรเป็น ไม่ใช่ ใช้ ศรัทธา ในสิ่ง อภินิหาร ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

2. รู้สึกทึ่ง ใน พุทธรรมมากขึ้น และ จุดประกาย ผมว่า อยากที่จะฝึก เจริญสติ เพื่อพัฒนา ความสามารถของเราให้ได้รู้ถึง ความจริง ได้ดียิ่งขึ้น (ซึ่งอาจะจะผิด หรือ ถูกก็ได้ เราคงรู้ ว่า ผิด หรือ ถูก ก็ต่อเมื่อ เราได้ลองปฎิบัติแล้ว พบความจริง ด้วยตัวเราเอง) และ หาก หนังสือเล่มนี้ จุดประกายความคิดของคนที่อ่าน ให้รู้สึก แบบนี้ ผมก็ว่า เป็นความดีที่หนังสือเล่มนี้ พึงจะได้รับ เนื่องจาก หากพิจารณา กันจริงๆ แล้ว จะมีสักกี่คนที่อ่าน เล่มนี้ แล้ว เต็มไปด้วยความเข้าใจในรายละเอียด เชิงวิชาการอย่างถูกต้อง หรือนำไปอ้างอิงในอนาคต

ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า หากเราต้องการให้ หนังสือเล่มนี้ สมบูรณ์ยิ่งขึ้น หรือ ทำให้เป็นเครื่องมือ มากกว่าทีผมเห็นข้างต้น การแก้ไขในส่วนผิดพลาดจะต้องทำให้เกิดขึ้น และขอเป็นกำลังใจ พี่ ในการลุกขึ้นมา ทำเรื่องดังกล่าว (การที่เราอยากให้ สังคมเรา เป็น สังคมอุดมปัญญา การวิพากษ์อย่างสร้างสรรค์ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้)

แต่หาก การแก้ไขไม่ได้เกิดขึ้น หนังสือเล่มนี้ ก็ไม่ได้จะไม่มีประโยชน์เลย ผมว่า อย่างน้อยก็ เป็น กุศโลบาย อย่างหนึ่งที่ทำให้คนบางส่วนที่มองศาสนาพุทธ ในอีกมุมหนึ่ง(ในมุมแบบปรัชญา ได้มีการลองนำเอาหลักพุทธรรมมาปฎิบัติ เพื่อให้ค้นพบได้ด้วยตนเอง)ซึ่งเป็นมุมที่ผมเชื่อว่า จะเกิดประโยชน์ ไม่มากก็น้อย

ดัวยความนับถือ

อ่านแล้วเสียววาบเลยครับ ในฐานะคนทำที่ทำงานเกี่ยวกับหนังสือความรู้...

ความผิดพลาดนิดเดียว (แต่สำคัญ) อาจเกิดผลเสียร้ายแรงกว่าที่คิดก็ได้ ยิ่งถ้ามันถูกเผยแพร่ไปในวงกว้าง โดยเฉพาะกับเด็กและเยาวชน ประเด็นนี้ทำให้ผมและเพื่อนร่วมงานต้องนำไปพิจารณากันอย่างดีเลยครับ

สำหรับผม ทุกวันนี้ก็ทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของต้นฉบับของคนอื่นเหมือนกัน และพยายามช่วยกันแก้ไขให้ถูกที่สุด แต่เมื่อตัวเองต้องมาเขียนหรือปรับแก้เอง ก็ยอมรับว่าอาจมีความผิดพลาดบ้างเหมือนกัน ในเมื่อวงการหนังสือในปัจจุบันมันมีปัจจัยหลายอย่างมาเกี่ยวข้องเยอะเหลือเกิน โดยเฉพาะเรื่องเงินทองและเวลา

ผมยังไม่ได้อ่านหนังสือทั้ง 2 เล่ม แต่ฟิสิกส์นิวตันนั้น เปิดผ่านๆ แล้วรู้สึกสนใจรูปแบบและลักษณะการเขียนที่เข้าใจง่าย แต่ไม่ว่าหนังสือจะมีรูปแบบการนำเสนอที่น่าสนใจยังไง สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความถูกต้องของข้อมูลอยู่ดี

คิดว่าพี่ชิวทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วครับ ประเด็นนี้จะช่วยให้หลายคนหันมาสนใจเรื่องคุณภาพของหนังสือมากขึ้น (ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก) เราติเพื่อก่อ เพื่อพัฒนา และท้ายที่สุดแล้วคนที่จะได้ประโยชน์ก็คือตัวผู้เขียนเอง ต่อไปเราจะได้มีหนังสือความรู้คุณภาพดีๆ อยู่ในสังคมไทยเยอะๆ

ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ

เมื่อวาน (วันที่ 27 กรกฎาคม 2551) ไปร้านนายอินทร์ ที่เดอะมอล โคราช ยังพบหนังสือทั้งสองเล่มวางขายอยู่ แถมยังขึ้นป้าย "หนังสือขายดี" อีกต่างหาก เลยถามพนังงานว่าสำนักพิมพ์มีคำสั่งให้หยุดจำหน่ายหรือเปล่า พนักงานบอกไม่มี ไม่รู้เรื่อง เลยสงสัยว่าสำนักพิมพ์หยุดพิมพ์ใหม่อย่างเดียวหรือ ไม่หยุดจำหน่ายหรือไงครับ

สกล

ขออนุญาตตอบท่านอาจารย์สกล ก่อนนะครับ เพราะเป็นประเด็นสำคัญ

สวัสดีครับ อาจารย์สกล

       นี่แหละครับที่ผมไม่อยากเขียนถึงตรงๆ แต่ในเมื่ออาจารย์ถามมาแล้ว ผมจึงขอให้ข้อเท็จจริงดังนี้ครับ

       1) ผมเข้าร้านนายอินทร์ สาขาเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน เมื่อวันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม 2551 ช่วงเย็นประมาณ 5pm ก็เห็นหนังสือที่กล่าวถึงทั้งสองเล่มวางขายอยู่ และจากการสอบถามพนักงานก็ได้รับคำตอบเดียวกันครับ

       2) คอลัมน์ ธุรกิจบนกองกระดาษ เขียนโดยคอลัมนิสต์ซึ่งใช้นามปากกาว่า Mr.QC ใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 หน้าวรรณกรรม ได้กล่าวถึงประเด็นเกี่ยวกับหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ไว้ความตอนหนึ่งดังนี้

       "แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ได้รับการยืนยันจากวงในแล้วว่า จะไม่มีการเก็บหนังสือเรื่องนี้หรือว่าเรื่องไหนของ ทันตแพทย์สม สุจีรา คืนจากร้านแน่นอน เพราะปรากฏการณ์มองต่างมุมนั้น ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ...และถึงเก็บคืนก็ไม่บอกหรอก...(ฮา)"

[หมายเหตุ : สำหรับข้อเท็จจริงที่ไม่ตีพิมพ์อื่นๆ ถ้าต้องการทราบขอให้เขียน e-mail มาหาผมที่ [email protected] ครับ]

        3) ผมได้สนทนากับคุณสุภาวดีฯ หลังจากที่แจ้งไว้ในบันทึกอีก 1 ครั้ง โดยมีข้อเสนอตอนหนึ่งว่า

         3.1) หนังสือ "ฟิสิกส์นิวตัน" : มีลักษณะเป็นหนังสือที่ใช้ประกอบการเรียน จึงควรแก้ไขข้อผิดพลาดทางวิชาการทั้งหมด และจัดพิมพ์ใหม่

               ทั้งนี้ขอเสนอให้ บ. อมรินทร์ฯ แถลงข่าวและแจ้งลูกค้าอย่างเป็นทางการว่า สามารถนำหนังสือเล่มเดิม (พิมพ์ครั้งที่ 1-3) ซึ่งมีข้อผิดพลาด มาแลกกับหนังสือที่แก้ไขสมบูรณ์แล้ว

                ผมได้ให้เหตุผลไปว่า การทำเช่นนี้ย่อมแสดงถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการรักษาคุณภาพของสินค้า อันจะทำให้ได้รับความชื่นชมจากทั้งคนในวงการ ลูกค้าทุกคน และบุคคลทั่วไปว่า บริษัทคำนึงความถูกต้อง มีความรับผิดชอบ และพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาได้อย่างที่ดีที่สุด

                คุณสุภาวดีฯ ตอบว่า นี่เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ และจะนำเข้าแจ้งให้บอร์ดของบริษัทพิจารณา

[หมายเหตุส่วนตัว : หากบริษัทฯ ทำได้เช่นนี้ ย่อมนับได้ว่าเป็นการวางมาตรฐานใหม่ให้กับวงการสิ่งพิมพ์ของไทย และเป็นการแสดงไว้ซึ่งการรักษาคุณภาพอย่างสูงสุด และผมจะขอเป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่ 'เชียร์' หนังสือที่แก้ไขแล้ว]

          3.2) หนังสือ "ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น" : ผมเสนอไปว่าควรแก้ไขความถูกต้องทางวิชาการ ส่วนการนำวิทยาศาสตร์มาเทียบเคียงกับพุทธศาสนานั้น ให้ปรับข้อความโดยระบุให้ชัดเจนไปว่า การตีความตอนไหนเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนทุกครั้ง มิฉะนั้น ผู้อ่านอาจจะเกิดความสับสนระหว่าง ข้อเท็จจริง (fact) และการตีความของผู้เขียน (author's interpretation) ได้

 

สวัสดีครับ

       อาจารย์ จันทรรัตน์ : ใช่แล้วครับ สังคมกึ่งสำเร็จรูปนี่หลายต่อหลายอย่างผิวเผินมากๆ ทีเดียว

            เรื่องนี้บางคนอาจมองว่าไม่สำคัญ แต่ลองดูอย่างเรื่อง "เขาพระวิหาร" สิครับ เมื่อไม่ทำให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น แล้วปล่อยเรื่องคาราคาซังเอาไว้นานๆ ผลที่ได้ก็คือ ตอนนี้ทุกคน (อ้างว่า) พูดความจริงกันหมดเลย!  

         การตามไปแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดนั้นยากลำบางกว่าการทำให้ถูกต้องตั้งแต่ต้นครับ

       ขอบพระคุณอาจารย์มากครับที่แวะมาเยี่ยมเยียน และแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์

สวัสดีครับ คุณ ผมเอง

         เข้าใจว่าจะเป็นนักเรียน/นักศึกษาใช่ไหมครับ ("เด็กค่าย สอวน. ฟิสิกส์")

         จริงๆ แล้วพี่อยากให้พวกเรา (หมายถึงน้องๆ ที่เก่งๆ ฟิสิกส์นั่นแหละ) ลุกขึ้นมาบอกกับสังคมบ้าง เพราะพวกน้องๆ ไม่อาจโดนข้อหามีผลประโยชน์ทับซ้อน อยากดัง ฯลฯ

          อีกทั้งถ้าเด็กนักเรียนทักท้วง จะทำให้หลายๆ คนหันมาฟังด้วยครับ โดยเฉพาะพวกเด็กๆ กันเอง

สวัสดีครับ ตื่น

        ไม่ได้คุยกันซะนานเลย ตอนนี้ทำอะไรอยู่ที่ไหนเอ่ย?

        เรื่อง "ตอกย้ำความเชื่อ" นี่มีแง่มุมที่ต้องระวังเหมือนกันนะครับ ถ้าเป็นความเชื่อที่ถูกต้องอยู่แล้ว ก็ทำให้มั่นใจมากขึ้น และส่งผลดี เพราะจะไปถูกทิศถูกทาง

        แต่ถ้าความเชื่อนั้นถูกในบางเงื่อนไข หรือผิด ก็จะกลายเป็น confirmation biase ทำให้มั่นใจแบบผิดๆ และฝังหัวได้ง่ายครับ

        เรื่องนี้หากลองลงลึกไปเรื่อยๆ จะเป็นไปได้อย่างมากว่า สิ่งที่ปักธงไว้แต่แรกนั้นไม่ถูกต้องครับ (แต่ไมได้หมายความว่าพุทธธรรมจะไม่ถูกต้องนะ...อย่านำไปปนกันเชียว...เอาไว้จะหาโอกาสขยายความเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมครับ แล้วค่อยมาอภิปรายกัน)

       

สวัสดีครับ คุณ นาฬิกาลืมเวลา

        ที่ว่ามาเป็นทัศนคติ (attitude) ที่ดีเยี่ยมสำหรับคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับความรู้ครับ

        ความรู้นั้น หากอยู่เฉยๆ ก็ไม่มีฤทธิ์เดชอะไร แต่ถ้านำไปใช้ถูกที่ ถูกทาง ก็จะมีพลังอย่างมาก แต่พลังที่ว่านี้เป็นได้ทั้งบวกและลบเช่นกันครับ

        ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะครับ ผมคงต้องนำไปมอบให้ผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย ได้แก่ VCharkarn.com และอีกหลายๆ คนในเว็บ Pantip.com ห้องหว้ากอ

พี่ชิว

ดีใจครับที่ยังจำผมได้อยู่ ในส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับ พุทธศาสนา และ ความเชื่อนั้น ผมเห็นด้วยว่า น่าจะมีการขยายความหรือ ลงลึกกันในรายละเอียด อีกที เมื่อ เหตุปัจจัย ถึง พร้อม และ พอดี ผม เหลือบไปเห็น ตรง หัวข้อของกระทู้ นี้ ก็เลยคิดว่า ไม่น่าจะเกี่ยวกันสักเท่าไหร่ ไว้วันหลังค่อย ถกกันดีกว่า

แต่ สิ่งหนึ่งที่ผมคิด ถึง ทางออก ใน เรื่อง ความผิดถูก ใน หนังสือ เล่มนี้ หากทาง ผู้เขียน ยินดี แก้ไข หรือ แทรก ว่า ส่วนไหน เป็น ความคิดเห็นส่วนตัว ส่วนไหน เป็น fact ก็จะดีกับผู้อ่านมากครับ อีกอย่างที่ คิดว่า น่าจะเป็นประโยชน์กับ ผู้อ่าน คือ น่าจะมีการจัด เสวนา เรื่องนี้ กัน เพื่อเปิด โอกาส ให้ทาง ผู้เขียน และ คนอ่าน (ทั้งที่มีความรู้ด้าน ฟิสิกส์ ลึก ๆ อย่าง พี่ ) ได้แลกเปลี่ยน ความเข้าใจ ความรู้ และ ความจริง ซึ่งอาจจะนำไปสู่ ข้อสรุปใหม่ ซึ่งมีเนื้อหาใหม่ และ อาจกลาย เป็น หนังสือ เล่มใหม่ ที่เป็น ภาคต่อ เพื่อให้สมบูรณ์ ขึ้น ก็ได้ และ ผมคิดว่า น่าจะ ตอบโจทย์ทางธุรกิจ และ ให้มีทางออก สำหรับ คนเขียนด้วย

แต่ หาก เรา เดิน ในสายที่ให้แก้ไข เรื่องเดิม คงมี ปัจจัย หลายอย่าง ทำให้ เกิดขึ้นได้ ยาก ไม่ว่า จะเป็น เรื่อง ego และ ที่สำคัญที่สุด คือ เหตุผลทางธุรกิจ ครับ

พี่ชิวครับ

ผมไป๋เองนะครับ พอดีมาสมัครสมาชิกในเว็บนี้แล้ว

ผมเองก็ได้อ่านจุดประกาย คอลัมน์ธุรกิจบนกองกระดาษเหมือนกัน

และได้มีการพูดคุยเรื่องนี้กับคนในแวดวงหนังสือ

มีความเห็นหนึ่งที่น่าสนใจครับ คือสำหรับคนที่ไม่ได้สนใจเรื่องความถูกต้องของหนังสือมากนัก และคิดว่าหนังสือบางเล่มก็มีคุณค่าบางอย่างมากกว่าจะมาสนใจความผิดพลาดเล็กๆ น้อย (ในมุมมองของเขา)เหมือนเราชอบใครบางคนไปแล้ว เราก็พร้อมจะให้อภัยบางอย่างที่เป็นข้อเสียของเขาได้ และเราก็ไม่สนใจข้อเสียนั้นด้วย

ประเด็นนี้ก็ชี้แจงยากนะครับ คิดว่าพี่ชิวเองก็อาจต้องเจอเหมือนกัน

ซึ่งในมุมมองของผม ผมคิดว่าถ้าเราทำให้งานชิ้นหนึ่งสมบูรณ์ในทุกๆ ด้านคงจะดีกว่าแน่ เพราะเรากำลังชี้แจงถึงข้อผิดพลาดในบางเรื่องเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด ในส่วนที่ดีแล้ว เราก็ชื่นชม ส่วนที่ไม่ดีก็ต้องติกันบ้าง และทั้งหมดก็เพื่อให้งานชิ้นนั้นๆ ออกมาสมบูรณ์ที่สุด

ผมว่าถ้าเรียกหนังสือที่วางขายกลับมาทั้งหมดหรือให้ลูกค้านำกลับมาเปลี่ยนเล่มใหม่ที่แก้ไขได้ คงเป็นเรื่องใหญ่มากๆ ทีเดียว ถ้าทำได้ก็ต้องขอชื่นชมมากเลยครับ เรื่องนี้ก็ต้องรอดูกันต่อไปครับ

ยังไงก็สู้ๆ นะครับ เหตุการณ์ครั้งนี้นับว่ามีผลต่อวงการหนังสือวิชาการความรู้พอสมควรเลยครับ ทำให้หลายคนตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้มากขึ้น

สวัสดีครับ ตื่น & น้องไป๋

       พี่ขอตอบรวมเลยนะครับ เพราะจริงๆ แล้วเป็นเรื่องเดียวกัน

       ขอแยกเป็น 2 กรณีนะครับ

       1) ฟิสิกส์นิวตัน : ในกรณีนี้ผู้จัดทำต้องการให้เป็นหนังสือประกอบการเรียน (ดูโปรยปก) ดังนั้นความถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

           ทางแก้อาจจะเป็น
              - นำหนังสือเก่ามาแลกเล่มใหม่ที่ปรับปรุงแล้ว
              - จัดทำไฟล์แก้ไขให้ดาวน์โหลดจากเว็บ
           แต่ไม่ว่ากรณีใด ทางสำนักพิมพ์ก็ต้องแจ้งลูกค้าครับ

       2) ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น :

          หากตีความว่าเป็นหนังสืออ่านเพื่อต้องการธรรมะ หรืออ่านเล่น จึงไม่ต้องสนใจความถูกต้องทางวิทยาศาสร์ ก็จะเกิดประเด็นต่อไปนี้

          - ปกติแล้ว หนังสือที่มีการอ้างถึงข้อเท็จจริงทางวิชการ ก็ควรจะมีบรรณาธิการที่สามารถตรวจสอบเนื้อหาทางวิชาการได้ นอกเหนือจากการใช้ระบบบรรณาธิการตามปกติ

          - หากมองกลุ่มผู้อ่านในมุมกว้าง ก็ย่อมมีผู้อ่านจำนวนหนึ่งที่ต้องการข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ หรือควรได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยเฉพาะเด็ก & เยาวชน หากเขาได้รับข้อมูลที่ถูกต้องไป ก็ย่อมจะจำได้ง่ายไปอีกนาน แต่ถ้าได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด ก็จะจำแบบผิดๆ ไปอีกนานเช่นกัน

          - หากมองในแง่เวลา : การปล่อยข้อมูลผิดๆ ทิ้งเอาไว้ วันหนึ่ง อาจมีคนนำไปอ้างอิง หรือกระทั่งต่อยอด ผลจะเป็นอย่างไรสุดจะหยั่งถึง

          - หากมองในแง่คุณภาพของการทำงาน : สำนักพิมพ์จะตั้งมาตรฐานของตนไว้ที่ไหนเป็นสิ่งที่บ่งบอกนโยบายและคุณภาพของคนและความเป็นมืออาชีพได้เป็นอย่างดี

          - ในกรณีของผู้เขียน : หากสามารถแยกให้เห็นระหว่างข้อเท็จจริง (fact) การตีความตามวิทยาศาสตร์กระแสหลัก (interpretations according to mainstream science) การตีความตามวิทยาศาสตร์กระแสรองและอื่นๆ รวมทั้ง การคาดเดาของผู้เขียน (speculation) ก็จะทำให้ผู้อ่านสามารถแยกแยะประเด็นต่างๆ ได้ง่ายขึ้นว่ามีระดับความเป็นจริงได้ว่าน่าจะเป็นอย่างไร

         ยังไง หนังสือที่ถูกต้องย่อมดีกว่าหนังสือที่สอนผิดพลาดใช่ไหมครับ?

แวะมาเยี่ยมค่ะ Comment แต่ละคนร่ายมายาวมากค่ะ...มึนไปเลย ขอเป็นผู้อ่านละกันนะคะ

มึนๆ

สวัสดีครับ หุย

        เรื่องนี้กำลังฮ็อตครับ แต่ละคนก็เลยละเลงเต็มที่ แม้แต่เด็กยังมึน จมูกพองเลย ^__^

สวัสดีครับ ดร.ชิว

เราเคยพบกันในงานของ STISTA เมื่อปีที่แล้ว หวังว่ายังคงจำกันได้นะครับ

ขอแวะเข้ามาสนับสนุนและชื่นชมในการกล้าทำสิ่งที่ "ถูกต้อง" มากกว่า "ถูกใจ" ให้แก่สังคมไทย

อยากให้เรื่องนี้เป็น Case Study ให้กับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้ตระหนักถึงความสำคัญในการตรวจสอบแหล่งข้อมูลอ้างอิงก่อน

การผลิตหนังสือออกมาขาย เรื่องที่กระทบกับคนหมู่มากแบบนี้ "กันไว้ดีกว่าแก้" จริงใหมครับ...

  • มาตกใจตัวเลข อ่าน: 1501 ค่ะ
  • เหนื่อยไหมคะ

สวัสดีครับ พี่ POP

        จำพี่ได้แน่นอนครับ และขอบคุณมากเลยสำหรับข้อมูลดีๆ ที่ส่งมาให้เป็นระยะ ^__^

        ผมได้ให้สัมภาษณ์ นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ในประเด็นนี้ไปแล้ว และจะนำลงในฉบับวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2551 เซ็คชั่น จุดประกายวรรณกรรมครับ

        ก็หวังว่า ทุกฝ่ายโดยเฉพาะสำนักพิมพ์และผู้เขียน จะได้นำไปแก้ไขต่อไป ส่วนทางฝ่ายวิชาการนี่ กำลังจะจัดสัมมนากันครับ เพื่อหาข้อสรูปที่สร้างสรรค์ที่นำไปสู่การปรับปรุง หรือการทำความเข้าใจ

ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ พี่ดาว

       ช่วงนี้เรื่องนี้แหละที่ทำให้เหนื่อยหน่อยครับ แต่น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ (ผมหวังว่านะ ;-) )

       มีบางเรื่องที่สำคัญกว่านี้ด้วย แต่ยังไม่สามารถเขียนออกมาให้อ่านกันได้ เอาไว้จะหาโอกาสเหมาะๆ เล่าให้ฟังแล้วกันครับ

       ขอบคุณมากเลยครับ สำหรับกำลังใจ ^__^

เจริญพร คุณโยมอาจารย์บัญชา

อาตมาเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับนักฟิสิกส์ชื่อดังคนนี้ชื่อว่า เขียนไว้เมื่อวัยใกล้ฝั่ง เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ท่านบอกว่าเขายกย่องท่านว่าเก่ง ไอคิวสูงอะไรทำนองนั้น แต่ท่านกลับพูดว่า บุคคลในโลกนี้ไม่มีใครเทียบเท่าพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์ได้สั่งสมบารมีมาหลายชาติ มีความรู้ถึง 18 ศาสตร์สาขา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ต่างยอมรับในความรู้อันลุ่มลึกของพระองค์

โยมอาจารย์เป็นนักฟิสิกส์ตัวจริงเสียง น่าจะเขียนหนังสือนี้แทน แต่อย่างที่โยมอาจารย์บอกว่าจะไปกระทบ ego เข้า อันนี้จริง

อาตมาชอบอ่านบทความของโยมอาจารย์มาก มีความรู้ลุ่มลึกดี แต่จะอ่านจากนิตยสาร สารคดีมากว่าอ่านจากเน็ต

สวัสดี

ทุกความเห็นล้วนแล้วแต่หวังดีทั้งสิ้น สิ่งหนึ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นคือความเห็นที่สร้างสรรค์ไม่ใช้คำเปรียบเปรย หรือการเข้าใจไปเองโดยยังไม่ทราบข้อเท็จจริง เพราะถ้าคิดถึงคนทำงานทุก ๆ คนก็คงอยากให้งานออกมาดีที่สุดเชื่อว่าพื้นฐานของคนอ่านหนังสือน่าจะแสดงความคิดอย่างใจเปิดกว้าง

ใจเปิด

กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระปลัด ครับ

        ขอบพระคุณมากครับ สำหรับข้อคิดเห็น

        หนังสือ เขียนไว้เมื่อเป็นไม้ใกล้ฝั่ง ของ Albert Einstein นี่ แปลมาจากหนังสือ Out of My Later Years ครับ เป็นทัศนะต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวของไอน์สไตน์ เช่น การเมือง

        ในสารคดีนี่อย่างที่เคยเรียนให้ท่านทราบ คือ ผมเขียนไว้เพื่อให้สามารถใช้อ้างอิงได้ในระดับหนึ่ง จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

        แต่หากพระคุณเจ้าพบข้อความที่ไม่ถูกต้อง บิดเบือน หรือกำกวม ก็ได้โปรดชี้แนะมาด้วยครับ เพราะการที่คนๆ หนึ่งไปนำเสนอความรู้ในสาขาที่ตนไม่เชียวชาญนั้น ย่อมมีโอกาสคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงได้ง่ายทีเดียว

สวัสดีครับ คุณ kengkan

        ใช่แล้วครับ และนอกจากใจเปิดแล้ว ก็ควรจะหาความรู้จากแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ เพื่อตรวจสอบความเข้าใจอีกด้วย (หากสนใจจริงๆ)

         ขอบคุณมากเลยครับ ^__^

สวัสดีค่ะพี่ชิว

โอ้โห..ฮอตฮิตจริงๆค่ะ หัวข้อนี้ หนีไปเล่นน้ำวายกิกิมาแค่อาทิตย์เดียว เรื่องนี้พัฒนาไปในทางที่สร้างสรรค์ขึ้นนะึคะ ตามมาอ่านและให้กำลังใจพี่ชิวอีกแรงค่ะ ดีใจที่มีความคืบหน้าจากเดิมที่ดูจะเลื่อนลอย...แต่ความจริงย่อมหนีความจริงไม่พ้น...ชอบที่พี่ชิวบอกว่า ถ้าทำให้ถูกต้องตั้งแต่แรก ก็ไม่ต้องมาตามแก้ไขทีหลัง..เพราะมันยุ่งยากกว่ากันเยอะ...

สู้ๆ ทาเคชิว... :)

สู้ต่อไป..หน้ากากเสือ..(ไม่รู้ว่าหน้ากากเสือ ชื่อทาเคชิว หรือเปล่า?)

สวัสดีครับ น้องอุ๊

        ขอบคุณมากครับสำหรับกำลังใจ เรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆ ครับ

แต่มีแนวโน้มว่าน่าจะดีขึ้น เพราะทุกฝ่าย (คง) จะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร (ยกเว้นเฉพาะแฟนหนังสือที่ไม่ได้ติดตามเรื่อง)

        อ๊ะ! แฟนหน้ากากเสือเหมือนกันรึ พระเอกชื่อ นาโอโตะ ครับ

(ทาเคชินี่ไอ้มดแดง!)

        ตามไปดู clip + ฟังเพลงไตเติล และเพลงจบเรื่องกันดีกว่า

                                 หน้ากากเสือ

        รับรองรำลึกถึงวันวาน-วันหวานในวัยเด็กแน่ๆ ครับ ^__^

เรียน ดร.บัญชา

ได้อ่านข้อเขียนและคำสัมภาษณ์ของท่านใน จุดประกาย วรรณกรรม

ฉบับวันอาทิตย์ ของกรุงเทพธุรกิจ

เลยเขียนข้อเสนอเป็นกระทู้เล็กๆไว้ในเวปแห่งหนึ่ง

และได้ชี้ชวนให้เพื่อนๆมาอ่านเพิ่มเติมที่กระทู้นี้

ขออนุญาตท่าน ณ โอกาสนี้ด้วย

อ้อ กระทู้เล็กๆที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตาม Link นี้

http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=34819

ขอบพระคุณและกราบขอประทานโทษที่มิได้บอกกล่าวล่วงหน้า

ปล.ชอบหน้ากากเสือเหมือนกัน และยังฮึมฮัมร้องเพลงตอนจบของพี่เนาโต๊ะได้

สวัสดีครับ คุณ 'กูรูขอบสนาม'

        ขอบคุณมากเลยครับ สำหรับ link ที่ส่งมาให้ ผมขอนำไปแนะนำไว้ท้ายบันทึกนี้นะครับ เพื่อให้อ้างอิงถึงความคิดเห็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้

        ได้อ่านความเห็นบางอย่างของท่านที่บอกว่า พอดังแล้วก็ออกมาโจมตีอะไรทำนองนี้ จึงต้องขอเรียนให้ทราบว่า ไม่เป็นความจริง เพราะได้มีการทักท้วงเรื่องนี้ผ่านบรรณาธิการ และผู้เขียนแล้วตั้งแต่หนังสือพิมพ์ออกมาในระยะแรกๆ แล้ว

        การที่ข้อทักท้วงออกมาในช่วงนี้เกิดจากเหตุปัจจัยหลายอย่างประกอบกันพอดีเท่านั้นครับ

ขอบคุณอีกครั้งครับ หวังว่าจะได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกันอย่างสร้างสรรค์อีก ^__^

ครับ ผมรู้สึกอึดอัดกับหนังสือของผู้เขียนเล่มนี้มาตั้งนานแล้ว เขาดูถูกวิทยาศาสตร์ และศาสนา เป็นอย่างยิ่งครับ และผมก็ยังอึดอัดกับหนังสืออีกหลายๆเล่มที่พบในร้านหนังสือ ที่ผู้เขียนมีความรู้ไม่ดีพอ ผมอยากแนะนำให้ลองปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญก่อนดีกว่า หรือถ้ารู้ว่าตัวเองยังมีความรู้ไม่เพียงพอ ก็อย่ามาเขียนเลยครับ

รู้ไหม ผมเรียนวิทยาเอกฟิสิกส์ และรักวิชานี้มาก แต่คุณมาทำเหมือนฟิสิกส์เป็นของง่าย ทำเหมือนมันไม่มีค่า จะปู้ยี่ปู้ยำตามอารมณ์และความเห็นของคุณ มันเป็นการดูถูกวิชาฟิสิกส์

ผมไม่พอใจคุณอย่างยิ่ง คุณ สม สุจิรา

------------------------

ปล วงการหนังสือไทยในปีหนึ่งมีหนังสือใหม่ออกมาน้อยกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วถึงสิบเท่า อย่าให้หนังสือน้อยนิดที่ออกมามีปัญหาเรื่องคุณภาพต่ออีกเลยครับ

สวัสดีครับ คุณ slow ride

        ผมเห็นด้วยกับคุณที่ว่า ผู้เขียนคือ ทพ.สม เขียนหนังสือในลักษณะดูถูกวิชาความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทยาศาสตร์ โดยในช่วงต้นๆ เขียนดูประหนึ่งว่ายกย่อง ให้เกียรติ แต่ในที่สุด ก็เหยียบย่ำครับ

        ไม่น่าเชื่อนะครับว่า สังคมไทยจะมีนักเขียน Best Seller ที่ทำเช่นนี้ (อาจจะต้องวิเคราะห์สภาพจิตของคนและสังคมกันหน่อยแล้วล่ะครับ)

        ประเด็นนี้น่าสนใจเหมือนกันว่า การที่หนังสือเผยแพร่ออกไปเป็นจำนวนมากแล้วนั้น จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อผู้อ่าน ทั้งต่อสติปัญญา อารมณ์ความรู้สึก และทัศนคติ ต่อความรู้ของมนุษย์

        ขอบคุณที่แวะเวียนมานะครับ หลายคนเขียน e-mail โดยตรงมาถึงผมก็เพื่อบอกความรู้สึกเช่นนี้เช่นกันครับ

ผมบอกว่าจะเขียนต่อเสริมจากที่อาจารย์บัญชาเขียนไว้ แต่ก็ยังไม่สะดวกเขียนสักทีครับ พอดีว่าช่วงนี้มีการเปลี่ยนแปลงในหน้าที่การงานมากทีเดียว ทำให้การจัดสรรเวลาทำได้ค่อนข้างยาก แต่ก็ยังระลึกถึงเสมอ และดีใจที่ประเด็นนี้ของอาจารย์บัญชายังเป็นที่สนใจครับ

ถึงคุณ slow ride ครับ

"รู้ไหม ผมเรียนวิทยาเอกฟิสิกส์ และรักวิชานี้มาก แต่คุณมาทำเหมือนฟิสิกส์เป็นของง่าย ทำเหมือนมันไม่มีค่า จะปู้ยี่ปู้ยำตามอารมณ์และความเห็นของคุณ มันเป็นการดูถูกวิชาฟิสิกส์"

ต้องเรียนว่าไม่อยากให้คนเข้าใจว่าวิชาฟิสิกส์เป็นเรื่องยากเย็น (แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย) ไปจนถึงศักดิ์สิทธิเลยครับ อยากให้ชี้ประเด็นไปในทางที่ว่า วิชาเหล่านี้เป็นไปเพื่อค้นหาและแสดงความจริง คนที่รักความจริงก็จะรักที่จะค้นหาตามทางที่ตนถนัด ความรักและเคารพในความจริงจะช่วยให้การสนทนาแลกเปลี่ยนมีสาระสร้างสรร และยังสามารถเพลิดเพลินได้ด้วยครับ

ผมห่วงทัศนะที่ว่า มันไม่ใช่ Textbook

ผมไม่แน่ใจว่าคนที่เสนอความเห็นนั้น จะเชื่อว่าหากไม่ใช่ Textbook ก็ไม่ต้องสนใจข้อเท็จจริงหรือเปล่า, ก็สามารถจินตนาการได้ไม่สิ้นสุดหรือเปล่า, ก็ต้องให้ความบันเทิงเป็นหลักหรือเปล่า

เรากำลังโหยหาความบันเทิงกันขนาดนั้นเลยหรือเปล่า

หากสังคมจะเป็นแบบนั้น มันก็คงไม่ผิด แต่ว่าสังคมมนุษย์คงต้องแบ่งแยกกันที่ทัศนะบางอย่างเสียแล้ว

ทัศนะที่เคารพและรักในความจริง กับทัศนะที่ต้องเติมเต็มด้วยความบันเทิง

สวัสดีครับพี่ชิว

ผมเป็นเด็กสายศิลป์ก็จริงครับ แต่ก็อ่านหนังสือฟิสิกส์ด้วย และเข้าปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยหลายครั้ง ศึกษาพระพุทธศาสนามาบ้าง และมาได้ปริญญาตรีบริหารธุรกิจ

ผมจึงมองกรณีนี้ในหลายแง่มุมครับพี่ชิว

มองหัวอกสำนักพิมพ์:"บกพร่องโดยสุจริต" น่าจะเป็นนิยามที่ดีครับ ปกติสำนักพิมพ์ที่มีมาตรฐานสูงแบบนี้จะระวังตัวมากครับ หรือว่าโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว แทคติกการตลาดแบบ "ฉาว" อาจจะถูกนำมาใช้ (หรือเปล่า?)

มองหัวอกคนแต่งหนังสือ: มีความพยายามในการบูรณาการเป็นเลิศครับ หนังสือนี้จงใจเขียนมาให้อ่านสนุก เข้าถึงได้ง่ายๆ เขียนเพื่อให้เป็นเบสท์เซลเลอร์จริงๆ จะว่าไปแล้วไอน์สไตน์เองก็เคยพูดเตือนแล้วว่า "Make everything as simple as possible, but not simpler"

มองหัวอกนักวิทยาศาสตร์ที่รู้จริง และกล้าออกมาสะกิดเตือนสังคม: มีเจตนาดีครับ ผมสนับสนุนร้อยเปอร์เซนต์ ความสำคัญของข้อเท็จจริงควรที่จะมาก่อนหนังสือขายดี เพื่อประโยชน์ของสังคมพร้อมด้วยปัญญา

มองหัวอกคนที่ซื้อหนังสือ: หนังสือเล่มนี้นำเสนอมุมมองใหม่ๆ ไม่น่าเบื่อ อ่านก็ง่าย แถมยังถูกใจที่ว่า พระพุทธเจ้า เจ๋งกว่าใครในโลก สังคมไทยเราเข้าสู่ยุคแห่ง "สัญลักษณ์นิยม" เชียร์สัญลักษณ์อย่างไม่ลืมหูลืมตา เช่น แบ่งสีเหลือง สีแดง สีขาว โดยไม่ได้เข้าใจว่าแท้จริงคืออะไร รู้แต่ว่าฝ่ายเราต้องเจ๋งกว่า

มองตัวเอง: เวลารับข้อมูลเข้าหัวจะต้องใช้โยนิโสมนสิการด้วย ถ้าเกินกำลังที่ตัวเองจะพิจารณาได้ จะต้องถามบัณฑิตหรือผู้รู้ในเรื่องนั้นๆครับ

สวัสดีครับ อาจารย์ อังกุศ รุ่งแสงจันทร์

         ชอบข้อคิดเห็นของอาจารย์เกี่ยวกับ ทัศนะที่เคารพ & รักในความจริง vs ทัศนะที่ต้องเติมเต็มด้วยความบันเทิง ครับ - น่าคิดมากทีเดียวว่า สังคมไทยกำลังเอียงไปทางอันหลังมากเกินไปหรือเปล่า

         ไว้จะรออ่านการต่อยอดความคิดของอาจารย์นะครับ

สวัสดีครับ ปอม

        มุมมองหลากหลายรอบด้านดีเยี่ยมครับ สำหรับสำนักพิมพ์นั้น ประเด็น "บกพร่องโดยสุจริต" คงจะใช้ได้ก่อนที่เขาจะทราบเรื่อง แต่ตอนนี้เวลาได้ล่วงเลยมากว่า 2 เดือนแล้ว เห็นยังวางขายอยู่ แบบนี้ อาจจะอ้างไม่ได้แล้วครับ

        ในที่สุด คนอ่านนั่นแหละที่ต้องระมัดระวัง ยึดหลักกาลามสูตร และโยนิโสมนสิการ ไว้ให้ดีครับ

ปล. ยินดีที่ได้เจอกันวันนี้ในงาน Origami World และดีใจที่ได้รับประทานอาหารร่วมกันครับ ^__^

เป็นกำลังใจให้อย่างยิ่งด้วยครับ

สิ่งสำคัญที่เป็นบ่อนทำลายความเจริญก็คงเป็นลักษณะที่ว่า

ในส่วนของคนเขียนหนังสือ ก็คงเป็นเรื่อง ego คิดว่าตัวเองเก่ง เรื่องเงินที่ได้จากการขายหนังสือเยอะๆ จะยอมคืนเงิน(บ้าง)เพื่อแสดงความรับผิดชอบก็คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องหน้าตา ชื่อเสียง

ในส่วนขององค์กรจัดพิมพ์ ก็กำไรให้กับองค์กรเป็นหลัก ที่พูดดีก็แค่ให้มันดูดี จะยอมจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้ซื้อหนังสือไปก็คงเป็นไปไม่ได้ ก่อนจะตีพิมพ์จะจ้างให้คนที่มีความมาตรวจสอบความถูกต้องก็ต้องเสียเงิน เสียเวลาอีก กำไรก็หดนะซิ จะทำทำไม

ขอบคุณมากครับที่กล้าออกมาสะกิดเตือนสังคม

ผมก็ขอแวะเข้ามาสนับสนุนและชื่นชมในการกล้าทำสิ่งที่ "ถูกต้อง" มากกว่า "ถูกใจ" ให้แก่สังคมไทย

ส่วนที่ดีแล้ว เราก็ชื่นชม ส่วนที่ไม่ดีก็ต้องติกันบ้าง ถ้าผู้เขียน(ไม่เฉพาะท่านนี้)เปิดใจมากขึ้น สังคมก็คงจะสูงขึ้นไม่มากก็น้อย

ผู้เขียน(ไม่เฉพาะท่านนี้)น่าจะแสดงให้เห็นส่วนไหนคือจริง ส่วนไหนคือความคิดเห็นของผู้เขียน ส่วนไหนคือคำสอนของพระพุทธเจ้า ส่วนไหนคือการตีความตามความเข้าใจของผู้เขียน

และขอขอบคุณlink หน้ากากเสือด้วยครับ ~30ปีมาแล้วเห็นจะได้

ข้างล่างผมก็อยากเอามาลงซ้ำให้ครับ

"รู้ไหม ผมเรียนวิทยาเอกฟิสิกส์ และรักวิชานี้มาก แต่คุณมาทำเหมือนฟิสิกส์เป็นของง่าย ทำเหมือนมันไม่มีค่า จะปู้ยี่ปู้ยำตามอารมณ์และความเห็นของคุณ มันเป็นการดูถูกวิชาฟิสิกส์ ผมไม่พอใจคุณอย่างยิ่ง คุณ สม สุจิรา"

"สังคมไทยเราเข้าสู่ยุคแห่ง "สัญลักษณ์นิยม" เชียร์สัญลักษณ์อย่างไม่ลืมหูลืมตา เช่น แบ่งสีเหลือง สีแดง สีขาว โดยไม่ได้เข้าใจว่าแท้จริงคืออะไร รู้แต่ว่าฝ่ายเราต้องเจ๋งกว่า"

สู้ สู้ต่อไปครับ ทาเคชิ

(เห็นมีเขียนเล่นๆบ้างก็ ขอเล่นด้วยคน จะได้ไม่serioud เกิน)

สวัสดีครับ คุณ A

       ขอบคุณมากเลยครับสำหรับกำลังใจ

       ตอนนี้เขาก็เดินหน้าขายต่อครับ หมายถึง เล่มไอน์สไตน์นี่

       แต่ "ฟิสิกส์นิวตัน" ซึ่งอาการหนัก และทำให้ชื่อเสียงของผู้เขียนและอมรินทร์ได้รับความเสียหายนั้น หายไปจากร้านหนังสือแล้ว

       คำว่า "หนังสือคุณภาพ" ในเครือบริษัทนี้ อาจจะต้องถูกตั้งคำถามแล้วละครับ

คุณบัญชากล่าวว่า

"คำว่า "หนังสือคุณภาพ" ในเครือบริษัทนี้ อาจจะต้องถูกตั้งคำถามแล้วละครับ"

ความเห็นผมคือว่า คงไม่ใช่แค่เครื่อบริษัทนี้เท่านั้น แนวทางของกลุ่มผู้ผลิตสื่อสิ่งตีพิมพ์คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ จะทำขั้นตอนอะไรเพิ่ม เพื่อตรวจสอบความถูกต้องให้ชัดเจนก่อนจะตีพิมพฺ มันก็จะเป็นCost เป็นต้นทุน และเสียเวลา ซึ่งจะทำให้แข่งขันกับบริษัทอื่นไม่ได้ ไม่ทันการณ์ พวกนายทุนพวกนี้คงไม่ทำกัน

เรื่องนี้พอดีคุณบัญชา(และคนอื่นๆ)คงมีความรู้ดี และเป็นเรื่องข้อเท็จจริงFact มีบันทึก หลักฐาน ที่ชัดเจน จึงสามารถให้การโต้แย้งได้เต็มปากเต็มตำ

คือจะไม่เหมือนเรื่องธรรม ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้ง ละเอียด ลึกล้ำ ที่วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าขนาดไหนแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถ พิสูจน์อะไรได้มากมายเลย และนานมากๆกว่า2500ปีประกอบกับพระพุทธเจ้าของเราก็ไม่อยู่แล้ว

จึงเป็นเรื่องสบายของนักเขียนบางคนที่จะอ้างโน่น อ้างนี่ อวดภูมิรู้ของตน (จริงบ้างไม่จริงบ้าง)ไม่มีงาน ตกงาน ศึกษาธรรมบ้าง ได้ผลจากการปฏิบัติบ้าง ก็มาเขียนหนังสือทำเป็นรู้จริง มีหิริโอตตัปปะน้อย ไม่ค่อยจะกลัวไม่ค่อยจะละอายใจต่อบาป

พอดีช่วงนี้มีเทศการณ์หนังสือ เดี๋ยวจะขออณุญาติเอาไปPost webอื่นๆด้วยนะครับ เพื่อเตือนสติก่อนซื้อหนังสืออ่าน เป็นอีกมุมมองหนึ่ง

ผมว่าเรื่องนี้ ได้ประโยชน์นะ

๑) พวก วิทยา ฯ จะได้ มาสนใจ พุทธศาสนา มากขึ้น

๒) ถ้าอ่าน New Science อาจจะพบว่า วิทยาฯ ที่เรียนมา ในยุดของเรา (อุตสาหกรรม) อาจจะผิด หมดเลยก็ได้

๓) มองกลับกัน คนที่ศึกษาทางพุทธ ก็อาจจะเข้าใจผิดเอง ก็มีได้นะครับ

สวัสดีครับ

         คุณ A : ขอบคุณมากเลยครับที่จะช่วยกันเตือนสติสังคมไทยได้ฉุกคิด ผมว่าถ้าเรายึดหลักกาลามสูตรของพระพุทธองค์เอาไว้ ก็น่าจะช่วยได้บ้างครับ

         อ.วรภัทร (คนไร้กรอบ) : ขอตอบสั้นๆ ก่อนนะครับ 

         1. เรื่องได้ประโยชน์นี่ได้แน่ครับ เพราะจะมีคนสนใจทั้งพุทธและวิทย์มากขึ้น แต่เท่าที่สัมผัสมา กรณี "ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น" นี่เกิดโทษ >>>> ประโยชน์ครับ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้และเวลาเพียงพอที่จะไปตรวจสอบ

             อีกอย่างคือ การตลาดของผู้เขียนและสำนักพิมพ์นี่ก็ยอดเยี่ยมมาก

             สำหรับผม คุณเมตตาส่งขนม H&C มาขอบคุณแล้วที่เตือน แต่ก็เดินหน้าขาย (หนังสือที่มีเนื้อหาผิดๆ อย่างมาก) ต่อครับ....หมายความว่าอย่างไร? 

         2. ขอแสดงความคิดเห็นเรื่อง New Sciene ประเภท Complexity, Chaos หรือแม้แต่ Quantum (ซึ่งไม่ "New" แล้ว) สักหน่อยครับ

            วิทยาศาสตร์แต่ละเรื่องมีบริบทการใช้งานของมันครับ คือ วิทย์ในยุคอุตสาหกรรมก็ถูกต้องในระดับที่เราใช้งานมันได้ ไม่งั้นเราจะสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาใช้ได้จริงหรือครับ

            ในทำนองเดียวกัน Quantum Effect นั้น หากจะนำมาใช้ในบริบท หรือระดับที่เราคุ้นเคย ก็จะพบว่าถ้าไม่ยากมาก ก็จะขัดกับสามัญสำนึก

            มีข้อสังเกตบางอย่างว่า คนไทยที่อ้างถึง New Science มากๆ อย่าง นพ.ประสาน ต่างใจ นั้น ตัวท่านเองก็ไม่ได้ลงลึกในเชิงทฤษฎี การคำนวณ หรือแม้แต่ทางปฏิบัติ เพียงแต่ไปอ่านงานประเภท Popular Science มาเล่าต่อเท่านั้น - ที่ผมกล่าวเช่นนี้ เพราะพบว่าข้อความและทัศนคติหลายอย่างที่ท่านแสดงไว้คลาดเคลื่อนไปจากบริบทที่ใช้งาน

          3. อันนี้มีแน่นอน อย่างสำนักที่สอนว่า "นิพพานเป็นอัตตา" นั่นไงครับ

          ขอบคุณอาจารย์ที่แวะมาแสดงความคิดเห็นครับ

เรียกได้ว่าเกือบจะปีนึงแล้วที่ผมมีหนังสือเล่มนี้อยู่ในมือ แต่มารู้ความจริงก็วันนี้

(ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาเลย) นี่ถ้าผมไม่บังเอิญแวะมาเจอบทความของ คุณบัญชาแล้วละก็ ผมคงมีความรู้ความเข้าใจที่ผิดๆ(ทั้งความถูกต้องทางวิชาการและทัศนคติที่มีต่อผู้เขียนท่านนี้)ติดสมองไปอีกนาน

ต้องขอขอบคุณ คุณบัญชา ที่นำข้อเท็จจริงมาสู่ผู้อ่านตาดำๆที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เพราะถ้าไม่มีผู้รู้ท่านใดตรวจพบข้อผิดพลาด(ที่เยอะจนน่าตกใจ!) ของหนังสือเล่มนี้ ประชาชนหรือโดยเฉพาะเยาวชนคงรับรู้ข้อมูลที่บิดเบือนข้อเท็จจริงเช่นนี้ไปอีกนาน พูดได้ว่าบทเรียนนี้เป็นบทเรียนที่ราคาแพงจริงๆทั้งสำนักพิมพ์ ผู้เขียน และผู้บริโภคที่ต้องระมัดระวังในการบริโภคข้อมูลข่าวสาร

ไม่เข้าใจว่าทำไมทางสำนักพิมพ์ยังเดินหน้าขายต่อ คำตอบที่ได้ผมคิดว่า "ชื่อเ สียงเงินทอง" คงมาก่อน "ความถูกต้อง" เสียกระมัง

ปล.ไว้ว่างๆจะหาหนังสือของคุณบัญชามาอ่านเ พื่อปรับความเข้าใจในเรื่องทฤษฎีและข้อเท็จจริงต่างๆเสียใหม่ (หวังว่าคงมีขายอยู่นะครับ)

สวัสดีครับ คุณ nametco

       เรื่องทั้งหมดนี้ หากมองในแง่ดี ผมคิดว่าเป็นการเรียนรู้ร่วมกันของคนในสังคมครับ

       แต่ที่น่าตกใจก็คือ ผู้เขียนและสำนักพิมพ์ขนาดใหญ่อย่าง อมรินทร์ ไม่ได้แสดงความจริงใจในการแก้ไขความบกพร่องเลย

       ในส่วนของผมและคนที่รู้ทันอีกหลายคน ข้ออ้างที่ว่า "หนังสือคุณภาพในเครืออมรินทร์" นี่ คงจะใช้ไม่ได้กับหนังสือของผู้เขียนคนนี้ครับ

       น่าสนใจทีเดียว่า ผู้เขียนที่โด่งดังที่สุดของสำนักพิมพ์ (และอ้างว่า แรงที่สุดในยุคสมัยนี้ - ตามโปรยปกของหนังสือเล่มล่าสุด) กลับกลายเป็นคนที่ผิดเพี้ยนเรื่องความถูกต้อง และเป็นคนที่ไม่รักในความรู้อย่างแท้จริง

       น่าสนใจอีกเช่นกันว่า นักวิชาการท่านอื่นมัวไปทำอะไรกันอยู่ อีกอย่างคือ พระที่มีความรู้ทั้งหลาย ไม่รู้ว่าทราบเรื่องหรือยัง (โดยเฉพาะ ว.วชิรเมธี ซึ่งทำหนังสือกับ อมรินทร์ และโฆษณาหนังสืออยู่ข้างๆ กันอีกต่างหาก)

       สังคมไทยเต็มไปด้วยข้อมูลบิดเบือน กรณีนี้ ไม่เว้นแม้แต่วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (ซึ่งไม่น่าจะมีผลประโยชน์อะไรกับใครมากนัก) และพุทธศาสนา (ซึ่งเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมจึงถูกบิดเบือน)

       ขอบคุณอีกครั้งครับ

ฟัง ศึกษา พุทธวจน แล้วจะเข้าใจทุกเรื่อง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท