ถ้าเราดูสารคดีหมู่บ้านโออิตะ เจ้าตำรับโอท็อปแห่งญี่ปุ่น ที่พี่ไทยแห่แหนไปดูงานกันจนคนบรรยายบอกว่า ..มาแต่พวกข้าราชการ น่าจะให้ชาวบ้านมาดูงานบ้าง เพราะทุกอย่างเริ่มไปจากชุมชน ไม่ใช่คนนอกมาชี้นิ้วบอกให้ผลิตให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ สุดท้ายมันก็ไม่ยั่งยืนอะไร เป็นการจัดฉากเฉพาะหน้าไปอย่างนั้นเอง
ไม่รู้แง่มุมคิดนี้ เป็นอุทาหรณ์ให้นักพัฒนาฉุกคิดได้บ้างรึเปล่า ที่จริงมีแววปรากฏออกมาจากชุมชนเราเองก็ไม่น้อย ยกตัวอย่างกรณีของอำเภอดงหลวง มีตัวตนคนต้นคิดระดับเยี่ยมมากมาย ถ้าสนับสนุนให้พ่อๆทั้งหลายทำตามที่คิด ดูแลรักษาธรรมชาติ พัฒนาแบบเอื้ออาทร ปลูกผักหวาน ปลูกป่า เลี้ยงหอยภูเขา ดักหนู เผาถ่าน ทำที่ดักขี้ค้างคาว ทะนุบำรุงธรรมชาติฯลฯ สะท้อนวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับพื้นที่ ต่อไปชุมชนลักษณะนี้จะเป็นต้นแบบการสร้างวิธีพัฒนาสไตล์ไทยแท้ จะมีคนแห่ไปดูไปศึกษาไปท่องเที่ยว ไม่ต้องเอะอะวิ่งโร่ ไปเสนอเรื่องให้หน่วยงานต่างๆมาแก้ปัญหาให้
เพลี้ยลงข้าวไปแจ้ง
ไฟไหม้ฟางไปแจ้ง
ไม่มีน้ำไปแจ้ง
อะไรๆ ขี้เยี่ยวไม่ออก ก็ไปบอกอำเภอ อย่างนั้นรึ!!
คนที่อยู่ในระบบส่งเสริมและพัฒนาของรัฐฯ ไม่ต้องคิดต้องทำอะไร รอส่งความช่วยเหลืออย่างเดียว พัฒนาแบบนี้มันก็ง่อยทั้งกะบิสิครับ ภูมิปัญญาไทยมันจึงหดหาย เราพูดกันหน้าระรื่นให้พึ่งตนเอง แต่วิธีการกลับให้วิ่งโร่ไปร้องขอความช่วยเหลือจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งก็ไม่ช่วยตัวเอง แบบนี้รัฐฯก็แบกภาระอกแอ่นมากขึ้นๆ สิครับ
ถ้ามีการทบทวนระบบส่งเสริมและพัฒนาโดยเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง เราอาจจะเห็นอะไรดีๆออกมาจากทักษะและศักยภาพชุมชน ตรงกับแนวทางพระราชดำริ เรื่องการพึ่งตนเองและการสร้างภูมิคุ้มกัน ในบ้านเรา มีชาวบ้านเริ่มต้นจุดประกายหลายเรื่อง เช่น
· บ้องไฟอีสาน กลายไปเป็นจรวดสู่อาวกาศหลายประเทศ
· ขนมข้าวโป่ง ข้าวเกรียบว่าว เป็นที่มาของขนมกุบกรอบที่ขายกันเกลื่อน
· ผ้าไทย รำไทย นวดแผนไทย ก้าวไปเรื่อยๆ
· ข้าวไทย กำลังมีข่าวราคา ตาโต
· ต้มยำกุ้ง ส้มตำปาปาย่าป๊อกๆ เป็นอาหารสากลไปแล้ว
เราคิดดีแต่พัฒนากระบวนการและระบบช้ามาก
ตรงจุดนี้ต่างหากที่นักวิสาหกิจชุมชน นักพัฒนา นักวิจัย นักการตลาด
จะเข้าสมรู้ร่วมคิดกับชุมชน
ถ้าไปพิจารณากระบวนการเจ้าตำหรับโออิตะ เขามีที่ไปที่มาแบบชาวดงหลวงนี่แหละ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ฟันฝ่าอุปสรรคด้วยตนเอง พุ่งชนปัญหาอย่างทรหด ไม่ได้พัฒนากันแบบเอื้ออาทร อี๋ออ๋อกันไปทุกเรื่อง นี่ขนาดไปดูตัวอย่างเขามาไม่รู้กี่รอบแล้วนี่นะ ..ยังเซ่-เหมือนเดิม!
กลับมาเปลี่ยนแปลงหลักการที่เป็นหัวใจของญี่ปุ่นทิ้ง
พลิกแพลงเรื่องดีๆ ให้เป็นเรื่องหมาน้อยธรรมดา
พัฒนาให้ตายมันก็อยู่แค่นี้แหละ ..
ลดได้ไหม แผนพัฒนาชุมชนแบบปัญญาอ่อน?
------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ:
เอกสารประกอบการประชุมแผนฯระดับภูมิภาค สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
23-24 เมษายน 51 ที่จังหวัดอุดรธานี
ใช่ครับ ครูฯ
แต่ไหนแต่ไรพวกนักปกครองปลูกฝังการ ให้ ให้ ให้
แต่ไม่เคยแก้ปัญหาที่แท้จริง ให้ ให้ ให้ ถ่ายรูป ถ่ายรูป ถ่ายรูป
เป็นอย่างนี้มานาน สร้างความหวังหรอกๆเฟ้อฝัน ยิ่งพวกนักการเมืองยิ่งร้ายใหญ่ สร้างความฝันทางวัตถุ สัญญาว่าจะให้ พัฒนา
ยิ่งนานวัน สังคมไทยยิ่งแย่ ส่งผลสะเทือนสู่ชุมชน
ตอนนี้ระบอบทุนปั่นราคาข้าวขึ้นอีก อีกหน่อยอะไรต่ออะไรก็ขึ้นตามกันไป เข้าทางนายทุนครับ ชาวบ้านจะไม่มีอะไรเหลือ
พระอาจารย์ที่เคยไปโออิตะ น่าเขียนเรื่องนี้ลงบล็อกนะครับ
น้ำดื่มบ้านเรา น้ำแร่ หรือน้ำหลอก ก็ไม่รู้
ชาเขียว ชาโออิชิ ราคาแพงกว่าน้ำนม และน้ำมันเสียอีก
ทั้งๆที่การลงทุน การผลิต ไม่น่าจะยากเท่าเลี้ยงปศุสัตว์
แต่เขาโฆษณาดี มีวิธีขายที่โดนใจ จึงไปโลด
ว่าแต่มีสักขวด ไหมละครับ จะลองชิมบำบัดโรคโง่กับเขาบ้าง
อิอิ
สมัยโน้นนนราชการเราแห่ไปดู โครงการ "แซมาเอินอัลดอง" ของเกาหลี
เราแห่ไปดู "คิบบุช" และ "โมชาร์บ" ของอิสราเอล
เราแห่ไปดู "ซาโวดายา" ของศรีลังกา
เราแห่ไปดู "PRRM" ของฟิลิปปินส์
เราแห่ไปดู "กรามินแบ้งค์" ของท่านยานุส
แต่ต่างชาติกลับแห่มาดูงานของในหลวง
ท่านที่เขียนเรื่อง "การพัฒนาสังคมโดยใช้แนวทางวัฒนธรรมของไทย" กลับเดินขึ้นดอยไปศึกษาระบบวัฒนธรรมความเชื่อของสังคมชาวเขาที่มีรูปแบบที่ชัดเจน แล้วเอาหลักกรอบความคิดมาอ่านสังคมไทย และได้ภาพออกมาชัดเจน
การไปศึกษาดูงานผมก็ว่าดีครับ แต่อย่าไปเที่ยวเสียมากกว่า ไปดูไปศึกดษาจริงๆแล้วเอามาคิดอ่านปรับให้เข้ากับสังคมไทยจริงๆสิ อย่างนี้เข้าท่าครับ
แค่เราตระเวนไปในชนบททั่วประเทศ ไปซึมซับแนวคิด แนวปฏิบัติของชาวบ้านผู้ต่ำต่อย แต่ต่อสู้กับชีวิตด้วยชีวิต และเอาตัวรอดมาได้นั้นน่ะ ไปศึกษาของดีที่มีอยู่ รวบรวมเอามาเผยแพร่ และเอาจริงเอาจังกับการเอาไปปรับใช้ แค่นี้ก็มหาศาล และยืนอยู่บนสภาพจริงของสังคมไทยด้วย เข้ากับระบบนิเวศแบบต่างๆที่มีอยู่หลากหลายของประเทศเรา
ความสำเร็จที่ดงหลวง มิใช่ว่าจะเอาไปใช้ได้ทั่วประเทศ เพราะดงหลวงมีระบบนิเวศเฉพาะคือเป็นแบบภูเขา พื้นที่ใดที่มีสภาพระบบนิเวศใกล้เคียงกันโอกาศที่จะเอาบทเรียนไปใช้ก็มีมาก
แต่บทเรียนของพ่อแสนแห่งดงหลวง คือสอนให้เราคิดว่า หากเราเป็นมีความสังเกตธรรมชาติ เราก็สามารถเรียนรู้และปรับธรรมชาติมาใช้ในชีวิตจริงได้ ทุกหมู่บ้านมีสภาพธรรมชาติที่แตกต่างกัน เราจึงต้องเข้าใจ และทำในสิ่งที่สอดคล้องกับเขา ก็เท่านั้นเอง ไม่ใช่ไปเอาอะไรมาจากไหนๆมากมาย หากเอามาก็ต้องมีช่วงเวลาทดลอง พิสูจน์กันก่อน
ดังนั้นระบบการเกษตร หรือสหกรณ์แบบ แซมาเอิลอันดองของเกาหลีนั้น หรือ คิบบุช โมชาร์บของอิสราเอลนั้นจึงไม่สามารถเอามาใช้ในปีเทศไทยได้เพราะระบบนิเวศมีนต่างกัน เอาหลักคิดมาได้ แล้วเอาหลักคิดมาใช้บนสภาพแบบไทยๆ นี่หมายความว่าต้องมีนักคิดนักดัดแปลง นักทดลอง แบบเอาจริงๆ ลงมือจริงๆ เหมือนพ่อแสนแห่งดงหลวง
แหมเอาซะยาวเลยครับ ท่านครูบาครับ
ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น?
เขียนความคิดตอบกลับช่องความเห็น
ตัวไม่เด่นลดน้อยเหมือนหอยเหี่ยว
ด้านเทคนิคปรับแก้เสียทีเดียว
ให้ตัวเรียวล่ำบึกได้ไหมเอย
เห็นด้วยด้วยค่ะท่านพ่อครูบา ตอนนี้สภาพการพัฒนามันแย่เพราะคนของรัฐไม่จริงใจในการพัฒนา รายงานเฉพาะตัวเลข ที่น่าตกใจคือคุณพ่อได้พูดเรื่องข้อมูลชุมชนแต่การขับเคลื่อนหมู่บ้านอยู่ดีมีสุขและแผนชุมชนของ พช. ตัวชี้วัดแรกคือต้องใช้ข้อมูลจาก จปฐ.เป็นฐานในการพัฒนา ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดตั้งแต่แรกแล้วเพราะข้อมูล จปฐ.กับข้อมูลชาวบ้านอันไหนจะดีกว่ากัน หากเราช่วยให้ชาวบ้านเก็บข้อมูลบ้านตนเองไว้เป็นฐานคิดของการพัฒนาได้น่าจะเป็นตัวชีวัดแรกด้วยซ้ำที่หมู่บ้านนั้นต้องผ่านเกณฑ์....ไปประชุมมาแล้วเบื่อค่ะ....แผนชุมชนที่เน้นให้ชาวบ้านแสดงเป็นกระดาษที่ไร้ค่า...แต่นักพัฒนาได้หน้ากับเจ้านาย....