ว่าจะจบเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่ ๕ แต่โชคดี ที่ ศ. นพ. ธาดา ยิบอินซอย และ ศ. นพ. ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล กรุณาอนุญาตให้เอาความเห็นของท่านมาลงได้ ยิ่ง ศ. ธาดา อนุญาตให้ edit ข้อเขียนของท่านให้เข้าใจง่ายขึ้นได้ด้วย ผมจึงนำความเห็นของท่านทั้งสองมาเป็นบันทึกเพื่อการเรียนรู้ของผม
ข้อเรียนรู้ที่สำคัญคือ เมื่ออ่านความเห็นของทั้งสองท่านแล้ว ผมตาสว่างทันทีว่า ความเห็นของผมตื้นเขินมาก เมื่อมองจากมุมมของบริการสุขภาพที่ รพช. เนื่องจากผมไม่ได้ทำเวชปฏิบัติมานานกว่า ๓๐ ปี และไม่มีความสนใจด้านนี้เลยในปัจจุบัน ลองอ่านความเห็นของ ศ. ทั้งสอง เทียบกับความเห็นของผม ๕ ตอน แล้วจะเห็นความจริงข้อนี้
อ่านความเห็นของ ศ. นพ. ธาดา ยิบอินซอย ได้ที่นี่
อ่านความเห็นของ ศ. นพ. ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล ได้ที่นี่
จะเห็นว่าทั้ง ๒ ท่านมีมุมมองที่ critical กว่าผมมาก และ ศ. ไพบูลย์ มีคำถามวิจัยอยู่ตลอดเวลา ผมคิดว่านักวิชาการต้องฝึกทักษะในการมองเชิงระบบ มองหา evidence มองหาคำถาม เพื่อนำไปสู่การสร้างความรู้ สำหรับขับเคลื่อนระบบ
ส่วน ศ. นพ. ธาดา มีจริตในการมองสำรวจว่าเวชปฏิบัติที่ รพช. เป็นอย่างไร คุณภาพเหมาะสมหรือไม่ เพราะท่านมีข้อสรุปจาก trip ที่แล้วว่า คุณภาพของบริการยังไม่ดี ยาที่ใช้ยังไม่เหมาะสม จริตอีกอย่างหนึ่งของ ศ. ธาดา คือ ความเป็นมนุษย์ในผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ ที่ให้เกียรติผู้อื่นหรือคนทุกข์ยากในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน
วิจารณ์ พานิช
๒๖ ส.ค. ๕๒
สนับสนุนความคิด "ความเป็นมนุษย์ในผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ ที่ให้เกียรติผู้อื่นหรือคนทุกข์ยากในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน" ของ ศ. นพ. ธาดา สุดๆๆๆๆ คะ อยากเรียนว่า ได้ทุกเรื่องเลยคะ ทั้งบริการ บริหาร และ วิชาการเลยคะ จะตามเรื่องราวดี มีประโยชน์ ของท่านอาจารย์ทุกท่านคะ