มีผู้มาให้ความเห็นในบันทึกเรื่องนี้ตอนที่แล้ว ทำให้ผมเกิดความคิดว่า โจทย์ของท่าน รมต. อาจจจะเบี่ยงไปหน่อย พูดแบบไม่ถนอมน้ำใจก็ว่าโจทย์ผิด จึงเขียนตอนที่ ๓ แก้ตัว โดยตั้งโจทย์ใหม่ตามหัวข้อข้างบน
ย้ำว่า ต้องเริ่มต้นที่ผลประโยชน์ของประเทศ ที่จะได้จากการวิจัย โดยต้องไม่ลืมว่าการวิจัยไม่ใช้ยาผีบอก ที่แก้ได้ทุกโรค และปัญหาของประเทศหลายเรื่องก็แก้ไม่ได้ด้วยการวิจัย รวมทั้งต้องยอมรับว่า การวิจัยที่ทำกันอยู่จำนวนไม่น้อยสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ คือไม่ทำเสียจะดีกว่า เป็นผลงานวิจัยที่ก่ออันตรายหรือความเสียหาย ไม่ให้ประโยชน์ต่อบ้านเมือง
คำตอบต่อคำถามในหัวข้อข้างบน ตอบแบบกำปั้นทุบดินได้ว่า ทำ ๒ แนว คือมาตรการเชิงลบ กับมาตรการเชิงบวก
มาตรการเชิงลบ
หลักการคือต้องหาทางปิดกั้น หรือลด งานวิจัยชนิดที่ไม่ควรทำ หาทางปิดกั้นหรือเปลี่ยนแปลงจารีตผิดๆ ด้านการวิจัยหรือวิชาการ ที่เอาใจความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ไม่มุ่งเอาประโยชนืสังคมเป็นหลัก หาทางปิดกั้นสภาพแยกส่วนหรือต่างคนต่างทำ ต่างหน่วยงานต่างทำ
มาตรการเชิงบวก
หลักการคือหาทางส่งเสริมให้มีการวิจัยชนิดที่สร้างคุณค่าและมูลค่าให้แก่สังคม ซึ่งการเพิ่มงบประมาณวิจัยเป็นส่วนย่อยอยู่ในมาตรการเชิงบวกนี้ และมาตรการแต่ละมาตรการที่เสนอไว้ข้างล่าง จะมีการดำเนินการบูรณาการอยู่ใน initiatives ไม่ใช่แยกกันทำในแต่ละมาตรการ และต้องเข้าใจว่า การเพิ่มงบประมาณวิจัยอย่างรวดเร็วเป็นเรื่องที่เสี่ยงสูง ต่อการเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ หรือกลับก่อโทษแก่สังคม เพราะทำให้เกิดวัฒนธรรมวิจัยชนิดด้อยคุณภาพ หรือแค่คุณภาพปานกลาง (mediocre) เต็มไปหมด
• สร้างความเชื่อมั่นระยะยาว ว่าการวิจัยที่ดี มีคุณภาพสูง ที่มีคุณประโยชน์แท้จริง จะได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังสมเหตุสมผล
การประกาศว่าจะเพิ่มงบประมาณวิจัยเป็นเท่านั้นเท่านี้เปอร์เซ็นต์ ภายในเวลาเท่านั้นเท่านี้ปี ไม่มีผลต่อความเชื่อมั่นของสังคมมากนัก เพราะเดี๋ยวนี้เป็นที่รู้กันว่าภาคการเมืองอ่อนแอลงอย่างน่าตกใจ รัฐบาลหรือนักการเมืองประกาศอะไรออกมาผู้คนเขาไม่ค่อยเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง เขามองเป็นการหาเสียงระยะสั้นไปหมด
การเพิ่มงบประมาณวิจัย ไม่สำคัญเท่าการเพิ่มคุณค่าของงานวิจัยต่อสังคม และการที่จะเพิ่มปริมาณและคุณภาพของคุณค่างานวิจัย นอกจากเพิ่มเงินลงทุนวิจัยแล้ว การเตรียมการเรื่องคนและโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยมีความสำคัญยิ่งกว่า และเราต้องการดึงดูดคนสมองดีจำนวนหนึ่งเข้ามา หากไม่มีความชัดเจนและเชื่อถือได้ของโครงการแผนงาน คนฉลาดจะไม่เข้ามา
จึงควรกำหนดสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า initiatives ขึ้นมา เพื่อขับเคลื่อนความเข้มแข็งและคุณประโยชน์ด้านการวิจัย แต่ละ initiative มีระยะเวลา ๑๐ ปี มีระบบการจัดการที่มีคุณภาพสูง โดยมีการประเมินอย่างเข้มงวดเป็นระยะๆ เพื่อปรับระบบการจัดการให้เกิดคุณประโยชน์แท้จริงต่อบ้านเมือง และหาทางบูรณาการเข้าในระบบประจำต่อไป
งบประมาณในบริบทราชการและการเมืองไทย มีความไม่แน่นอน แต่ initiatives มีความเป็นรูปธรรม ผ่านการกลั่นกรองจากหลายฝ่ายหลายความคิด จะสื่อสารต่อสังคม และสร้างความเชื่อมั่นระยะยาวได้ดีกว่านโยบายด้านงบประมาณ
• จัดระบบการจัดการทรัพย์สินทางปัญญาระดับประเทศเสียใหม่ ให้เอื้อต่อประโยชน์ของนักวิจัยในประเทศมากขึ้น ให้ช่วยอำนวยความสะดวดต่อการจดสิทธิบัตร และต่อการนำไปใช้ประโยชน์โดยฝ่ายธุรกิจภายในประเทศ ไม่ใช่เอื้อต่อบริษัทต่างประเทศเป็นหลัก อย่างในปัจจุบัน
• สร้างนักวิจัยคุณภาพสูงด้านต่างๆ โดยเร็ว สร้างอย่างมีแผนว่าต้องการคนในสาขาใดเท่าไร โดยที่กระบวนการสร้างบูรณาการอยู่กับ initiatives ต่างๆ และเข้าไปต่อยอดโครงการที่ประสบความสำเร็จสูงอยู่แล้ว เช่นโครงการ คปก.
เรื่องการเพิ่มจำนวนนักวิจัยจำนวนมากอย่างรวดเร็วนี้ ควรศึกษาตัวอย่างประเทศจีน มีข้อมูลจากผลงานวิจัยของ ศ. ดร. ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ ว่า ในช่วงปี ค.ศ. ๑๙๙๕ – ๒๐๐๕ จีนสามารถเพิ่มบุคลากรด้านการวิจัยได้ถึงร้อยละ ๖.๑ ต่อปี ย้ำว่าเราต้องระมัดระวัง ให้การเพิ่มจำนวนนักวิจัยและบุคลากรวิจัย ต้องคำนึงถึงคุณภาพในระดับต่างๆ ตามเป้าหมายด้วย อย่ามุ่งแต่จำนวน
• อย่าเพิ่มงบประมาณให้แก่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเดี่ยวๆ ให้สร้าง “โครงการ ๑๐ ปี” ขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ให้แต่ละโครงการมีเป้าหมายชัดเจน มีลักษณะการจัดการแบบ virtual organization ที่มีความร่วมมือหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง บางโครงการให้ฝ่าย demand side แสดงบทบาทนำ บางโครงการให้ฝ่าย supply side แสดงบทบาทนำ มีกลไกตรวจสอบประเมินผลงานร่วมกัน เพื่อเปรียบเทียบผลงาน และเรียนรู้ว่าวิธีจัดการแบบใดให้ผลดีต่อบ้านเมืองมากกว่า
เป้าหมายของโครงการเหล่านี้ต้องซ้อนกันหลายมิติ ทั้งเพื่อเป้าหมายการพัฒนาบ้านเมืองในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เป็น “ชุดของเป้าหมาย” และเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้มแข็งของระบบวิจัย ร ะบบบัณฑิตศึกษา ระบบวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
• จัดโครงการ รางวัล “ครูผู้จุดประกายความคิดเชิงวิทยาศาสตร์” เป็นโครงการ ๑๐ ปี ชวน นสพ. ๒ – ๓ ฉบับ เปิดคอลัมน์นี้ ทุกวันเสาร์หรืออาทิตย์ ให้ครูส่งเรื่องของตนมาลง ว่าตนสอนให้นักเรียนมีความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ (scientific thinking) อย่างไร โดยที่ครูที่ส่งเรื่องมาไม่จำเป็นต้องเป็นครูวิทยาศาสตร์ จะเป็นครูในสาระวิชาใดก็ได้ ที่จริงเราอยากได้ครูที่สอนสาระอื่นๆ แล้วมีผลต่อ scientific thinking ของนักเรียน
และเปิด เว็บไซต์ ให้ครูเขียน บล็อก เล่าเรื่องของตน มีทีมงานคอยตรวจสอบหาครูที่มาเล่าเรื่องใน นสพ. และใน บล็อก ที่มีแววน่าจะเข้าเกณฑ์เป็น “ครูผู้จุดประกายความคิดเชิงวิทยาศาสตร์” แล้วไปเยี่ยมถึงโรงเรียน เพื่อขอข้อมูลเพิ่มขึ้นสำหรับพิจารณายกย่องเป็น “ครูผู้จุดประกายความคิดเชิงวิทยาศาสตร์” ประจำปี … ซึ่งน่าจะมีจำนวนปีละ ๕๐ คน
“ครูผู้จุดประกายความคิดเชิงวิทยาศาสตร์” จะได้รับเงินสนับสนุนกิจกรรมการเรียนรู้ของศิษย์ของตน หรือเพื่อการสร้างทีมงาน หรือเครือข่ายครู ได้รับโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้ได้รับรางวัลในปีเดียวกัน และร่วมกับผู้ได้รับรางวัลในปีต่อๆ มา
ในที่สุดจะเกิด “ชุมชนครูผู้จุดประกายความคิดเชิงวิทยาศาสตร์” แห่งประเทศไทย ที่ครูเหล่านี้ได้รับทรัพยากร และการจัดการเครือข่าย แบบ empowerment
• แนวคิด “ครูผู้จุดประกายความคิดเชิงวิทยาศาสตร์” นี้ สามารถนำไปใช้สนับสนุน empower ครู ที่มีความสามารถ/ผลงาน พิเศษ ด้านอื่นๆ ได้ด้วย เช่นด้านภาษา ด้านช่วยเหลือนักเรียนวัยรุ่น เป็นต้น
วิจารณ์ พานิช
๓ พ.ย. ๕๒
ไม่มีความเห็น