นกพิราบอีกตัวถูกปล่อยออกไปทันที เมื่อเคราดำ เฉินเปากลับถึงเรือนพักขอตน เหตุการณ์เมื่อสักครู่ยังทำให้มันรู้สึกหวาดกลัว แต่ยังไม่พอที่จะทำให้มันล้มเลิกกิจการค้ามนุษย์ เนื่องเพราะไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ในกิจการนี้ มิอาจถอนตัวจากความลุ่มหลงในทรัพย์ที่หามาได้ง่าย จากเลือดเนื้อของผู้อื่น มิใช่เพราะกิจการนี้หรือที่ทำให้มันมีหมู่ตึกมังกรอันยิ่งใหญ่แห่งนี้เป็นที่พัก มีบริวารล้อมหน้าล้อมหลัง มีเงินนับเป็นเจ้า ไม่ว่ามันไปที่ใดทุกผู้คนต้อนรับมัน เกรงอกเกรงใจมัน เนื่องเพราะต้องการเงินของมัน และมันเองก็รู้เหตุผลนี้ มันจึงมิอาจตัดใจละทิ้งขุมทรัพย์ในกิจการนี้ได้
คืนนี้นกพิราบคงบินถึงสำนักคุ้มภัยทวนศิลา และวันรุ่งพรุ่งนี้ มันจะได้พบกับเฉินกวน ญาติผู้พี่ที่มันนับถือมานาน หากพูดถึงเพลงทวนของญาติผู้พี่คนนี้ นับได้ว่าเป็นหนึ่งในแผ่นดินจริงๆ หลายปีมานี่ไม่มีใครกล้าตอแยกับสำนักคุ้มภัยทวนศิลา เนื่องเพราะเกรงกลัวทวนศิลาอันเลื่องชื่อของมัน เคราดำมั่นใจว่าระหว่างบุรุษกระบี่ดำกับทวนศิลา เฉินกวน ผู้พี่มันต้องเป็นผู้ได้ชัยแน่นอน หนำซ้ำมันมั่นใจว่า เฉินกวนต้องไม่ปฏิเสธคำร้องขอของมันแน่นอน เพราะมันส่งเงินสนับสนุนสำนักคุ้มภัยทวนศิลาปีหนึ่งก็หลายพันตำลังทองอยู่ นี่แหละเงินเมื่อสามารถทำให้ผีพูดได้ ก็สามารถซื้อความช่วยเหลือได้เช่นกัน
"เฮอะ... อีกสามวันถ้าไม่ให้ท่านตายโดยไร้ที่กลบฝัง เราไม่ขอแซ่เฉิน" มันพูดกับตัวเอง
หลายวันก่อนคืนข้างแรม ที่โรงเลี้ยงไหมนอกเมืองตอนเช้าตรู่ แสงแดดแรกส่องผ่านม่านไม้ไผ่เข้าไปในห้องเล็กๆ ที่ไม่มีเครื่องเรือนใดๆ นอกจากเก้าอี้ยาวหนึ่งตัว ซึ่งนอนไว้ด้วยบุรุษหนุ่ม ท่านอนหงาย สองมือประสานไว้เหนือหน้าอก ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ บุรุษหนุ่มสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา ดูคล้ายชาวไร่ชาวนา แต่หากจะสังเกตุให้ดีที่เอวเขาคาดไว้ด้วยกระบี่สีดำสนิท ตัวกระบี่อ่อนราวเข็มขัดหนัง ซ่อนคมไว้ในซองหนังที่ดูคล้ายเข็มขัด ด้ามกระบี่ก็บางแนบไปกับซอง มองเผินๆ หลายคนอาจดูไม่ออกว่านี่คือกระบี่
"คุณชาย... ผู้แซ่เหมยขอรบกวน" เสียงหญิงสาว ดังจากด้านนอกห้อง
"ท่านป้า มิต้องมากมารยาท เชิญกล่าว"
หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าท่านป้า ยืนชดช้อยอยู่ที่หน้าห้อง สายลมพัดเอื่อยๆ ปอยผมหญิงสาวปลิวไปมาในสายลม ยิ่งขับเค้าความงดงามบนใบหน้าของหญิงสาว ดูนางไม่คล้ายมีอายุมากมายนัก ถึงกับไมน่าเป็นท่านป้าของชายหนุ่มในห้องได้
"มีเรื่องต้องให้คุณชายลงมืออีกแล้ว"
"มันเป็นใคร"
"เคราดำ เฉินเปา มันเป็นหัวหน้าขบวนการค้ามนุษย์รายใหญ่"
"ท่านป้า สืบสาวเรื่องนี้ชัดเจนแล้วหรือไม่"
"นี่นับได้ว่าชัดเจนแล้ว เนื่องเพราะเราได้ช่วยแม่นางท่านหนึ่งจากเงื้อมือของเคราดำ"
"....นั่นยังไม่นับว่าชัดเจนในความเห็นเรา"
"ยังมี ผู้คนของเราที่ปลอมตัวของซื้อหญิงสาวจากมัน"
"...นั่นนับได้"
"ยังมีอีก... ครอบครัวของหญิงสาวอีกหลายคนเขียนหนังสือร้องเรียนไปที่กรมการเมือง"
"นั่นก็นับได้ แล้วกรมการเมืองดำเนินการอะไรหรือไม่"
"เรื่องนั้น ข้าน้อยมิทราบ"
"สายของเราได้รับแจ้งการร้องทุกข์จากครอบครัวเหล่านั้น เบื้องสูงเบื้องต่ำข้าน้อยได้ตรวจสอบรายละเอียดเรื่องนี้แล้ว เห็นว่าจำเป็นต้องรบกวนคุณชาย..."
"เราไม่ทำงานที่ไม่มีค่าจ้าง"
"ข้าน้อยทราบ ครานี้เราได้ค่าจ้างเป็นเงินหนึ่งพวง... วางไว้ให้คุณชายหน้าห้องแล้ว"
"ได้ เรารับงานนี้" กล่าวจบ เงินพวงนั้นก็ค่อยๆ ลอยผ่านม่านไม้ไผ่เข้าไปในห้อง บุรุษหนุ่ม มองเงินพวงนั้นในมือ เขาสังเกตุเห็นว่ามียี่ห้อสิงโตประทับอยู่บนเนื้อเงิน
ยกฟางข้าวไปวางไว้ที่คอกวัว เป็นกิจวัตรแรกที่บุรุษหนุ่มกระทำในเช้าวันนี้ การฝึกซ้อมฝีมือในคอกวัว เป็นอีกเรื่องที่ขาดไม่ได้ในแต่ละวัน ใครล่ะจะรู้ว่าคอกวัวที่กว้างเพียงสิบแปดศอก จะเป็นที่ฝึกวิชาฝีมือได้
ชิ้ง... เสียงกระบี่ดำดีดตัว เมื่อบุรุษหนุ่มโคจรพลังไร้ลักษณ์ สิ้นเสียงควับ...ด้ามกระบี่กระดอนเข้าไปอยู่ในมือของชายหนุ่ม มือซ้ายดีดออกด้วยพลังดัชนี ฟางเส้นเล็กก็กระเด้งขึ้นจากพื้น ลอยปักเข้าไปในเสาไม้กลางคอก ชายหนุ่มสะบัดกระบี่ผสานกับพลังไร้ลักษณ์ พริบตาแทงออกหนึ่งกระบี่ด้วยท่วงท่าที่รวดเร็ว แปรเปลี่ยนสิบสองครั้ง เข้าใส่ปลายเส้นฟาง ทุกท่วงท่ามีแต่การทิ่ม แทง ท่ากระบี่ดูง่ายดายหากแต่พลิกแพลงในขั้นสุดท้ายเกินหยั่งคาดได้ ปลายเส้นฟางถึงกับถูกแบ่งเป็นสามสิบหกส่วนเท่าๆ กัน เสียงควับดังอีกครา กระบี่ดำถูกเก็บเข้าซองหนังด้วยท่าทางที่ปลอดโปร่งยิ่งนัก
"กระบี่ไม่มีปาก มันไม่พูด มันฆ่า... เฉินเปาเอย เจ้าจะรับฟังคำเตือนของเราหรือไม่..." บุรุษหนุ่ม พึมพัมกับตัวเองเบาๆ
"น้องเรา ท่านสบาย?" ทวนศิลา เฉินกวน ถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มันเพิ่งย่างเข้าวัยสามสิบในปีนี้ นับว่าเป็นนักสู้วัยหนุ่มที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ
"เรายังดีอยู่บ้าง แต่คงไม่เท่าท่านพี่ รัศมียอดฝีมือของท่านเรารับรู้ได้ตั้งแต่ท่านอยู่หน้าหมู่ตึกแล้ว"
"ยอดฝีมือนั้นกลับไม่กล้ารับ... ขอบใจที่ยังรำลึกถึงเราผู้พี่อยู่" ทั้งสองโอบกอดกัน พากันเดินเข้าห้องรับแขกที่อยู่ด้านในของตึกหน้า
"เฮอะ...กระบี่สีดำอันใด เราไม่เห็นมันอยู่ในสายตา" ทวนศิลา แค่นเสียง หลังจากได้รับฟังเรื่องราวจากเคราดำ
"น้องเรา ท่านวางใจ เราจะให้มันตายช้าๆ อย่างทรมาน จนมันต้องร้องขอให้เจ้าเอาชีวิตมันไป"
"หากเราไม่วางใจในตัวท่านพี่ เราจะวางใจใครได้ บุญคุณครั้งนี้ เราเฉิบเปาจะจดจำไว้ชั่วชีวิต" เฉินเปา รีบประจบประแจง พลางยกมือคำนับ
"ไม่ต้องมากพิธีไป วันที่มันมาจะเป็นวันตายของมันในปีหน้า" เฉินกวน กล่าวคำก่อนขยับทวนศิลาในมือมันอย่างมั่นใจ ทวนศิลามิได้ทำจากศิลาเหมือนชื่อ หากแต่ด้ามของมันทำด้วยเหล็กกล้า ประดับด้วยลายมังกรแกะสลักจากศิลา คมทวนทำจากเหล็กไหลจากยอดเขาเทียนชุง สีดำสนิทของคมทวนเกิดจากการชะโลมด้วยโลหิตของศัตรูที่พ่ายต่อมัน
วันเวลาไม่เคยคอยใคร นับเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริง สามวันผ่านไปเร็วยิ่ง บุรุษหนุ่มติดตามความเคลื่อนไหวของกิจการเฉินเปาตลอดเวลา แม้ว่าจะไม่มีรายงานว่ามีการค้ามนุษย์ในระหว่างสองสามวันมานี้ แต่ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดที่บ่งบอกว่า เคราดำ เฉินเปาล้มเลิกกิจการอันโสโครกของมัน
เงาหลังของท่านป้าที่บุรุษหนุ่มเรียกขาน คล้อยไปได้ไม่นาน บุรุษหนุ่มก็เพิ่งได้รับข่าวที่สำคัญว่าทวนศิลา จู่ๆ ก็ปรากฎตัวขึ้นที่หมู่ตึกมังกร พร้อมทั้งมีนักบู้มากมายที่เฉินเปาจ้างมาคุ้มครองมัน บุรุษหนุ่มรู้สึกได้ถึงรังสีฆ่าฟันของตนเอง และกระบี่ดำที่รอบเอว คืนนี้จะเป็นคืนที่เฉินเปานอนโดยที่มิอาจตื่นขึ้นมาได้อีก ชายหนุ่มบอกกับตัวเอง
พระจันทร์ข้างแรมเป็นใจให้ชายหนุ่มชุดดำพ้นจากสายตาของเหล่านักบู้ประจำตึกมังกรได้ไม่ยาก กระเบื้องหลังคาสองสามชิ้นถูกถอดออกด้วยความช่ำชองของเขา ที่เบื้องล่างนักบู้สองสามคนนอนหลับอยู่ ชายหนุ่มยิ้มก่อนคลี่กระดาษห่อผงหลับไหลออกมา แผ่พุ่งพลังจนกระทั่งผงกลายเป็นควัน เขาพลิกผ่ามือพลักออกจากตัวเบาๆ ควันกลุ่มนั้นกระจายเข้าสู่ห้องนอนของนักบู้อย่างรวดเร็ว หลับให้สนิท บุรุษหนุ่มขยับหน้ากากให้เข้าที่ ก่อนทิ้งตัวลงบนพื้นห้องอย่างแผ่วเบา เขากระตุ้นพลังไร้ลักษณ์เพิ่มสมาธิในการฟังในระยะไกล
"มันไม่กล้ามาแล้วน้องเรา" เฉินกวน กล่าวคำ ยิ้มย่องอย่างลำพอง
"ผู้น้องว่ามันเกรงกลัวทวนของท่านพี่" เคราดำ ยิ้มประจบ
แค่สองประโยคนี้ก็เพียงพอสำหรับบุรุษหนุ่มที่จะจำแนกทิศทางอันเป็นที่อยู่ของเคราดำ ที่แท้มันทั้งสองหลบอยู่ที่ตึกด้านใน ปล่อยให้นักบู้รอรับอยู่ด้านนอกเป็นด่านแรก ชายหนุ่มยิ้มมุมปากก่อนพลิ้วตัวขึ้นสู่หลังคาอีกครั้ง กระโดดเบาๆ อีกสองครา พร้อมปล่อยเชือกไหมสู่ต้นไม้ใหญ่อย่างแม่นยำ ตะขอที่ปลายเชือกไหมเกี่ยวเข้ากับต้นไม้ เพื่อรับน้ำหนักขณะที่ชายหนุ่มโหนตัวลอยข้ามกำแพงใหญ่เข้าสู่ตึกด้านในชายหนุ่มค่อยๆ ลอยตัวลงลงสู่พื้นอีกด้านหนึ่งของกำแพง สัญชาติญานของเขาบอกว่ามีบางอย่างไม่น่าไว้ใจ
"ฆ่ามัน" สิ้นเสียงสั่งของเฉินเปา ลูกธนูหลายสิบดอกพุ่งตรงมาที่ชายหนุ่มราวกับนัดหมายไว้ ท่าเท้าที่พริ้วสองสามท่าเคลื่อนไหว พาให้บุรุษหนุ่มห่างออกจากลูกธนูเหล่านั้น กระบี่ดำอันรวดเร็วตวัดขึ้นในแนวขวาง และตัดเฉียงสองครั้ง ลูกธนูก็ขาดเป็นหลายท่อนหล่นเกลื่อนพื้น บุรุษหนุ่มวาดฝ่ามือ แผ่พุ่งพลังไร้ลักษณ์ทำลายคันธนูจนหักหมดสิ้น เหล่านักบู้ต่างตกใจ ละทิ้งคันธนูลงทันที หลายคนหยิบอาวุธประจำตัวออกมาถือเตรียมพร้อมลงมือ
ชายหนุ่มยืนหยัดอยู่ห่างจากสองพี่น้องตระกูลเฉินแค่หกช่วงแขน พลางกล่าว
"ผู้ใดมิใช่เฉินเปา จากไปให้แก่เรา"
"เฮอะ... เจ้าเป็นตัวอันใดมีสิทธิออกคำสั่งในที่นี้" นักบู้ที่ต้องการประจบเฉินเปา แค่นเสียง
"ฆ่ามันให้แก่ข้าพเจ้า" สิ้นเสียงเฉินเปา นักบู้ต่างจี้อาวุธทั้งมีด ดาบ หอกเข้าใส่บุรุษชุดดำอย่างพร้อมเพรียง เห็นได้ชัดว่าการลงมือครานี้ บุรุษหนุ่มยากนักที่จะหลบพ้นโดยมิถูกทำร้าย
"ประเสริฐ" บุรุษหนุ่มตวาดคำ พลันกดฝ่ามือลงพื้น ลอยตัวขึ้นเพียงวูบเดียว ตวัดกระบี่ดำใช้ออกด้วยท่วงท่าทิ่มแทงเข้าใส่ข้อมือของเหล่านักบู้ ดูเผินๆ นี่มิอาจนับเป็นกระบวนท่า หรือเพลงกระบี่อันใด ซึ่งความจริงแล้วเพลงกระบี่ของมันบรรลุถึงขั้นลืมเลือนเพลงกระบี่ จึงมิมีกระบวนท่าแต่อยางใด แค่ช่วงเวลาที่บุรุษชุดดำลอยตัวลงสู่พื้นข้อมือของพวกมัน ก็ถูกจี้ใส่จนต้องทิ้งอาวุธลงพื้นจนหมดสิ้น
"ผู้มิใช่เฉินเปา จากไปให้แก่เรา" บุรุษหนุ่ม กล่าวย้ำคำเดิมอีกครา เหล่านักบู้ที่ถูกจ้างมา ต่างล่าถอยจากไป หนำซ้ำยังจากไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าตอนขามาเสียอีก นี่จึงเรียกมีเงินมิอาจสู้มีชีวิตได้ พวกมันจะอย่างไรสู้รักษาชีวิตน้อยๆ ไว้ก่อนดีกว่า
สองเฉินต่างรับรู้ถึงรังสีการฆ่าฟันที่แผ่ออกมาจากบุรุษชุดดำผู้นี้ พวกมันพลันอยากรู้ว่าภายใต้หน้ากากหนังสีดำโฉมหน้าที่แท้จริงของคนผุ้นี้จะเป็นอย่างไร...
"เฮอะ... ปิดบังใบหน้า ไม่นับเป็นผู้กล้า ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่ถือเป็นคนดี ขอถามท่านที่นับถือ ท่านเรียกว่าอะไร" ทวนศิลา ออกหน้าถาม
"ไม่ต้องมากความ...ท่านตกลงใจอยู่ ใช่หรือไม่" บุรุษหนุ่ม ยืนอย่างมั่นคง กระบี่ดำชี้ลงพื้น เลือดของเหล่านักบู้ค่อยๆ หยดลงตรงปลายกระบี่ หน้ากากหนังสีดำยิ่งเพิ่มความลี้ลับให้กับบุรุษผุ้นี้
"ใช่" เฉินกวน ตวาดคำ และกระชับทวนศิลาตระเตรียมฆ่าฟัน
"ผู้ใดอยู่ ต้องตาย" บุรุษชุดดำ กล่าวเน้นทีละคำ
ทวนศิลามิต่อคำ หากแต่ชิงลงมืออย่างรวดเร็ว เพลงทวนของมันใช้ออกอย่างคล่องแคล่ว ท่วงท่าทวนสกัดคอหอยทั้งสิบแปดท่าทั้งเข้มแข็ง ยิ่งมายิ่งร้ายกาจ บุรุษหนุ่มมิอาจไม่ตวัดกระบี่เพื่อต่านรับได้ ผ่านไปร้อยกว่ากระบวนในชั่วพริบตา บุรุษหนุ่มยังมิได้ใช้กระบวนท่าจู่โจมเลยแม้สักระบวนท่าเดียว มันเพียงแค่ปิดป้องคมทวนเท่านั้นเอง ทั้งนี้เพราะมันอยากศึกษากระบวนท่าทวนของเฉินกวน ที่ด้านหลังของบุรุษหนุ่ม กระบี่มังกรเงินก็จี้เข้าใส่ที่ชายโครงด้านซ้าย ราวกับมีตางอกเงยที่ด้านหลัง บุรุษชุดดำเบี่ยงลำตัวเล็กน้อย หลบพ้นการจู่โจมจากเฉินเปาทางด้านหลังได้ ฉับพลันบุรุษหนุ่มใช้ออกด้วยท่าเท้า เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พลิ้วตัวตีลังกาสองตลบออกจากวงล้อมได้อย่างน่าตระหนก
แสงไฟจากตะเกียง ส่องด้านหลังของบุรุษชุดดำที่ยืนอยู่ เงาร่างของมันทอดยาวไปอีกด้านที่สองพี่น้องตระกูลเฉินยืนหยัดอยู่ ดูจากท่ายืนที่ปลอดโปร่งของบุรุษหนุ่มผู้นี้แล้ว มันคล้ายมีความมั่นใจในการทำศึกครานี้ไม่น้อย...
"เราจะลงมือแล้ว" บุรุษหนุ่มชุดดำ กล่าวคำเตือนก่อนโคจรพลัง ผลักผ่ามือใส่เคราดำ ขณะจี้ปลายกระบี่ดำใส่คมทวนของทวนศิลา ทั้งๆ ที่ตระเตรียมตัวไว้ก่อน เคราดำยังรู้สึกได้ถึงพลังอันมหาศาลที่พุ่งสู่หน้าอกมัน จนอึดอัดแทบทรงตัวไว้ไม่อยู่ พริบตานั้นมันเห็นมือซ้ายของบุรุษชุดดำจี้กระบี่ใส่ทวนศิลา โอ..ความสามารถในการแบ่งแยกสมาธินี้ ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว
ทวนศิลา สมแล้วที่ผาดโผนในยุทธจักรมานาน ทันใดที่กระบี่ดำจี้ใส่คมทวน มันพลันบิดข้อมือเบี่ยงปลายทวนแทงเข้าใส่คอหอยของคู่ต่อสู้ ใช้ออกด้วยกระบวนท่าที่ห้า และเจ็ดของเพลงทวนสกัดคอหอย อันเป็นท่าไม้ตายได้อย่างรวบรัด บุรุษหนุ่มพลิ้วร่างคล้ายภูตพราย พลันกลิ้งตัวเข้าหาคมทวน เฉินกวนผ่านการสู้ศึกมาหลายสิบปี เพิ่งเคยเห็นท่วงท่าอันประหลาดเช่นนี้ แต่ด้วยท่วงท่านี้บุรุษหนุ่มสามารถกลิ้งหลบพ้นกระบี่ของเฉินเปาที่ลอบแทงทางด้านหลัง ทั้งที่กลิ้งตัวอยู่ บุรุษหนุ่มยังสามารถดีดดัชนีแผ่พลังใส่ข้อมือของเฉินเปา จนกระบี่มังกรเงินหลุดลอยออกจากมือของมัน
เมื่อเห็นบุรุษหนุ่มกลิ้งตัวเข้าหาคมทวน เฉินกวนยิ้มย่องอยู่ในใจ ไม่น่าเชื่อว่าในโลกนี้จะมีคนที่โง่จนถึงขนาดพาตัวเข้าหาคมทวนเช่นนี้ มันพลันกดคมทวนลงต่ำ แทงออกสุดแรงพร้อมแผ่พลังลมปราณแผงลงในทวนนี้ หวังฆ่าบุรุษชุดดำนี้ในทวนเดียว แต่แล้วมันพบว่ามันคำนวณผิดพลาดไป และเป็นความผิดพลาดที่ตัดสินความเป็นหรือตายของมันในการต่อสู้ครั้งนี้... พริบตานั้นความเร็วในการกลิ้งตัวของชายหนุ่มกลับเร็วขึ้นเป็นสองเท่า ก่อนที่มันจะกดปลายทวนลง มันพลันพบว่าปลายกระบี่ดำที่แทงเฉียงขึ้นจากด้านล่าง พุ่งตัดขั้วหัวใจของมัน กระบี่นี้เร็วยิ่ง เร็วจนมันเองก็ไม่อยากเชื่อว่าในโลกนี้ ยังมีกระบี่ที่เร็วเยี่ยงนี้อยู่ เฉินกวนล้มลงแล้ว ทวนศิลายังอยู่ในมือมัน บุรุษหนุ่มตวัดกระบี่ออกจากร่างมัน ก่อนพลิ้วตัวออกไปหยุดยืนอยู่ที่ด้านข้างมัน บนอกมันปรากฏรูเรียวเล็กหนึ่งรูมีโลหิตซึมออกมาอย่างช้าๆ ก่อนที่เฉินกวนจะล้มลง ลมหายใจของมันก็ขาดห้วงไปแล้ว
"เงินพวงนี้เป็นของท่านหรือไม่" บุรุษหนุ่ม โยนเงินพวงที่ได้รับมาเป็นค่าจ้างลงบนพื้น
"..." เฉินเปา ไม่ตอบคำ แต่มีทีท่ายอมรับ มันฉวยโอกาสที่บุรุษหนุ่มก้มมองเงินพวงนั้นซัดเข็มเงินเล่มเล็กใส่บุรุษหนุ่มอย่างรวดเร็ว ด้วยหวังว่าการลอบทำร้ายครานี้จะประสบผล เสียดายที่มันยังช้ากว่าบุรุษหนุ่มอีกหนึ่งก้าว ทันทีที่มันขยับมือ มันก็รับรู้ถึงความเย็นเยียบของกระบี่ดำอีกครา แต่ครานี้กระบี่มิได้พาดที่ลำคอมัน หากแต่แทงลึกผ่านคอคอยมันจนทะลุลำคอด้านหลัง ... มันมิทันได้เห็นว่าบุรุษหนุ่มใช้กระบวนท่าอันใดแทงใส่มัน ทั้งนี้เพราะกระบวนท่านั้นเร็วเกินไป ทั้งๆ ที่ บุรุษหนุ่มตวัดกระบี่สกัดเข็มเงินที่มันซัดออกก่อนที่จะวกปลายกระบี่ด้วยท่าอันพิสดารแทงเข้าที่ลำคอมัน
"ท่านผิดแล้ว..." บุรุษชุดดำ กล่าวคำ ขณะดึงกระบี่ออก
"เราผิดในที่ใด" เฉินเปา ถามขณะลมหายใจรวยริน
"ท่านผิด... ขณะที่ท่านมีชีวิต ท่านมีชีวิตบนเลือดเนื้อผู้อื่น ขณะที่ท่านจะตาย ท่านยังคงลากผู้อื่นตายไปกับท่าน... ท่านผิดแล้วมิอาจแก้ไขได้" บุรุษชุดดำ กล่าวก่อนพลิ้วตัวจากไปดุจสายลมเบาบาง
เงินค่าจ้างพวงนั้นถูกวางอยู่ข้างศพเฉินเปา บุรุษหนุ่มจงใจทิ้งไว้ให้มัน หากแต่มันมิสามารถนำติดตัวไปใช้ในปรโลกได้...
ในโลกของนักฆ่า มีกฎเกณฑ์ที่ถูกกำหนดไว้แล้ว "หากมิใช่ท่านตาย เป็นเราสิ้น" นั่นเป็นสิ่งที่มันยึดเป็นกฎทุกครั้งที่มันลงมือ ... นักฆ่ากระบี่ดำ
.......
ไว้ต่อตอนหน้า มีความสุขมากมายครับ
vrt