"อุดมการณ์เป็นสิ่งสมมติ แต่ชีวิตมนุษย์เป็นของจริง" ... (ท่าน ว.วชิรเมธี)


ขอให้ใช้ความคิดตรึกตรองดูเถิด สิ่งที่ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวไว้ในบทความนี้ "เป็นจริงหรือไม่"

ท่านอานันทไมตรี พระมหาเถระผู้เป็นนักปราชญ์ของศรีลังการูปหนึ่งได้เขียนนิทาน "พุทธปรัชญา" เอาไว้ในชื่อว่า "หากพระพุทธเจ้าเสด็จกลับมาในวันนี้ จะเกิดอะไรขึ้น" สาระสำคัญมีอยู่ว่า

ณ ประเทศศรีลังกา วันหนึ่งมีสมณะรูปหนึ่งเดินไปตามท้องถนนด้วยบุคลิกภาพแสนธรรมดา ไม่มีท่วงทีกิริยาใดน่าสนใจเป็นพิเศษ เมื่อท่านเดินทางไปถึงวัดแห่งหนึ่ง ทายกทายิกาและพระภิกษุในวัดนั้นกำลังตั้งวงถกกันด้วยเรื่องการเมือง ทันทีที่พวกเขาเห็นสมณะรูปนั้นก็ถามกันอื้ออึงขึ้นมาว่า

"ท่านสังกัดพรรคการเมืองใด"

พระพุทธองค์ตรัสว่า "เรามิได้สังกัดพรรคการเมือง"

ทายกทายิกาและพระภิกษุกลุ่มนั้นมองดูพระองค์จากหัวจรดเท้าด้วยสายตาปนสังเวชที่สมณะรูปนั้น "ช่างเป็นคนไม่มีสังกัด" เอาเสียเลย แล้วพวกเขาก็เอ่ยขึ้นมา

"ถ้าเช่นนั้นก็เชิญไปพักที่วัดอื่นก็แล้วกัน ที่วัดนี้ไม่ต้อนรับคนที่ไม่มีสังกัดดอก"

 

พระพุทธองค์ทรงพระดำเนินต่อไป และต้องพบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อมาพระพุทธองค์ทรงพบกับ อุบาสกชาวบ้านธรรมดา ๆ คนหนึ่ง เขาสังเกตเห็นพระบุคลิกภาพอันสงบงามของพระองค์แล้วเกิดศรัทธา จึงเข้าไปชวนพูดคุย เมื่อทราบว่า พระพุทธองค์ไม่ได้รับการต้อนรับจากใครเลย เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า

"ผมสงสัยจังเลยว่า พระอย่างพระคุณท่านไม่น่าจะเป็นพระของยุคนี้ (ซึ่งต้องมีสังกัดและมีพรรคการเมืองที่ชมชอบ) ถ้าเช่นนั้นท่านคงจะเป็นพระในแบบโบราณ เอ่อ -- ขอโทษนะครับ ท่านอายุเท่าไหร่ครับ"

พระพุทธองค์ทรงตอบด้วยน้ำเสียงปกติว่า

"หากนับจากวันเกิดจนมาถึงวันนี้ เราก็คงมีอายประมาณ 2,500 ปีเศษแล้วละ"

พลันที่ได้ยินคำตอบ อุบาสกคนนั้นรู้ขึ้นมาทันทีว่า พระองค์ต้องเป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน เขาเอ่ยขึ้นว่า

"โอ้ - - ดูเอาเถิด แม้พระองค์จะทรงเป็นถึงพระพุทธเจ้า แต่เมื่อพระองค์เสด็จมาจริง ๆ แล้ว กลับไม่มีใครสนใจพระองค์เลย..."

 

นิทานพุทธปรัชญาของท่านอานันทไมตรีจบลงเพียงแค่นี้ พร้อมกับที่ท่านสรุปว่า

"นี่คือสภาพการณ์ของพระพุทธศาสนาศรีลังกาในปัจจุบัน"

 

ในทัศนะของผู้เขียน สภาพการณ์ของพระพุทธศาสนาศรีลังกาในยุคนั้น ซึ่งทั้งพระสงฆ์และคฤหัสถ์หมกหมุ่นเรื่องการเมืองกันมาก (จนทำให้พระสงฆ์ศรีลังกาลงเล่นการเมืองได้ เป็น ส.ส.ในสภาได้ และเคยพกอาวุธไปยิงนักการเมืองเสียชีวิตมาแล้ว) ทัศนคติเช่นนี้ ทำให้ประชาชนหลงลืมแก่นแท้แห่ง "ความเป็นมนุษย์" ไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาลืมสัจธรรมพื้นฐานไปว่า

 

"แท้จริงแล้ว เราทุกคนล้วนเป็น มนุษยชาติ เราคือคน ชาติเดียวกัน ทั้งหมด ที่ต่างรักตัวกลัวตาย เสียดายชีวิต เช่นเดียวกันทุกรูปทุกนาม แต่เพื่อ "พรรค" และ "นักการเมือง" ที่พวกเขาเพิ่งสร้างขึ้นมา ทำให้พวกเขาหลงลืมสัจธรรมพื้นฐานที่ว่า "อุดมการณ์เป็นสิ่งสมมติ แต่ชีวิตมนุษย์เป็นของจริง" กันไปเสียหมด และด้วยความยึดติดถือมั่นในอุดมการณ์ ซึ่งเป็นเพียงอุปาทานหมู่ จึงทำให้พวกเขาประเมินคุณค่าของมนุษย์จากสิ่งที่เราแต่ละคน "สังกัด" มากกว่าจะประเมินจากความเป็นมนุษย์จริง ๆ ด้วยการหลงเทิดทูนในสิ่งสมมติเช่นนี้เอง ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองในศรีลังกาอย่างยืดเยื้อยาวนาน คนในชาติเดียวกัน (ทมิฬและสิงหล) ต้องลุกขึ้นมาเข่นฆ่ากันเองไม่จบสิ้น ทั้ง ๆ ที่พวกเขาได้ผ่านยุคสงครามล่าอาณานิคมอันเจ็บปวดมาแล้ว แต่ทุกวันนี้ พวกเขากลับสร้างสงครามระหว่างคนศรีลังกาด้วยกันเองขึ้นมาใหม่ แล้วด้วยสงครามที่ต้องการ "ปกป้อง" อุดมการณ์ของแต่ละคนนั่นเอง ประชาชนผู้บริสุทธิ์ชาวศรีลังกาจึงต้องมาสังเวยชีวิตด้วยระเบิด ลูกปืน แทบทุกวัน"

จากศรีลังกา ย้อนกลับมามองสังคมไทย ทำให้ได้บทสรุปว่ามีสภาพไม่แตกต่างกันเลย คนไทยในเวลานี้ทั้งพระและทั้งโยมกำลังพากันเทิดทูนสิ่งสมมติซึ่งเพิ่งสร้างกันขึ้นมาไม่กี่ปีอย่าง "พรรค" และ "นักการเมือง" รวมทั้งสีเสื้อทั้งสี "แดง" และสี "เหลือง" ซึ่งเพิ่งอุปโลกน์กันขึ้นมาเมื่อวานนี้ด้วยซ้ำ

 

ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนไทยด้วยกันมาหลายร้อยปี เรามีความเป็นพี่น้องกันมาอย่างเหนียวแน่น เราเคยได้ชื่อว่าเป็นสยามเมืองยิ้ม เพราะมองไปทางไหน เราคนไทยต่างก็รู้สึกว่าเป็นญาติกันทั้งสิ้น ยิ่งในหลวงของเรานั้น เรายิ่งรักเทิดทูนพระองค์ท่าน เราเคารพรักพระองค์ดังหนึ่งพระองค์ท่านทรงเป็น "พ่อหลวง" ของคนทั้งแผ่นดิน เมื่อวันที่พ่อป่วย คนทั้งแผ่นดินดูเหมือนจะป่วยไปกับท่านเหมือนกันทั้งหมด แต่บัดนี้ เราคนไทยจำนวนมากกว่าครึ่งค่อนประเทศดูเหมือนว่ากำลังหลงลืมสัจธรรมพื้นฐานเหล่านี้เสียหมดแล้ว เราหลงลืมไปแล้วว่า

 

เราเป็นมนุษยชาติก่อนเป็นคนไทย

เราเป็นคนไทยก่อนเป็นคนที่สังกัดพรรคและนักการเมือง

เราสวมเสื้อได้สารพัดสี ก่อนที่เราจะจำกัดตัวเองลงมาอย่างคับแคบเหลือเพียงสีแดงกับสีเหลือง

เราเคยเป็นพี่น้องร่วมชาติเดียวกันทั้งประเทศ เพราะเรามีพ่อหลวงคนเดียวกัน

 

แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่บัดนี้สัจธรรมพื้นฐานเหล่านี้กำลังถูกหลงลืม ถูกมองข้าม ความเป็นคนไทยธรรมดา ๆ กำลังกลายเป็นเรื่องไม่มีความหมาย เราต่างเป็นคนไทยที่มี "สังกัด" กันทั้งสิ้น เมื่อลืมสัจธรรมพื้นฐานอันทำให้เราเคยอยู่ร่วมกันมาอย่างสันติสุข เรากลับมายกย่อง "สิ่งสมมติ" ที่เพิ่งสร้างใหม่เมื่อไม่นานอย่าง "พรรค" และ "นักการเมือง" รวมทั้ง "เสื้อเหลืองเสื้อแดง" ว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ถึงขนาดที่ต้องปกป้องกันด้วย "เลือดเนื้อและชีวิต"

ไม่น่าเชื่อว่า อุดมการณ์ซึ่งเป็นเพียงสิ่งสมมติจะมีค่ายิ่งกว่าชีวิตมนุษย์ซึ่งเป็นของจริง อุดมการณ์นั้นจับต้องไม่ได้ เป็นเพียงสภาพนามธรรมในจิตใจ แต่คนเป็น ๆ ที่ต้องมาตายเพื่อสังเวยอุดมการณ์นั้นเป็นคนจริง ๆ มีพ่อแม่พี่น้องจริง ๆ มีเลือดเนื้อและจิตวิญญาณจริง ๆ

"ในเวลานี้ ในเมืองไทยของเราเคยมีใครตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตคนจริง ๆ ซึ่งถูกระเบิดตายเป็นรายวันเพื่อสังเวยสิ่งสมมติที่ชื่ออุดมการณ์กันบ้าง"

 

....................................................................................................................................

จากสงครามกลางเมือง "ศรีลังกา" สู่สงครามกลางเมือง "ไทย"

ขอให้ใช้ความคิดตรึกตรองดูเถิด สิ่งที่ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวไว้ในบทความนี้ "เป็นจริงหรือไม่"

อยากให้มีสงครามกลางเมืองกันหรือครับ ... ถึงได้สร้าง "ความเกลียดชัง" ให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา

ขอต่อต้านการแตกความสามัคดีของคนหลง "สิ่งสมมติ"

ขอต่อต้านการใช้ความรุนแรงมาตัดสินปัญหาของคนหลง "สิ่งสมมติ"

"ใช้ความคิดที่บริสุทธิ์ใจ" มากกว่า "การใช้อารมณ์รุนแรง" เถอะครับ

เริ่มต้นทุกอย่างที่ "ตัวเอง" ก่อน ... ครับ

....................................................................................................................................

 


แหล่งอ้างอิง

ว.วชิรเมธี.  "อุดมการณ์เป็นสิ่งสมมติ แต่ชีวิตมนุษย์เป็นของจริง" , ซีเคร็ท. 1, 11 (10 ธันวาคม 2551) : 92 - 93. 

 

หมายเลขบันทึก: 230060เขียนเมื่อ 17 ธันวาคม 2008 03:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:01 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (15)

ทันสมัย แต่ไม่พัฒนาครับ

     บริโภคก้าวหน้า แต่ปัญญาตามไม่ทัน

         จึงต้องพึ่งพา "พวก"  ทั้งพวกแดง และ พวกเหลือง

                 เพื่อความมั่นคงทางจิตใจ

สังคมไทยจะดำรงคงอยู่ได้
เพราะคนไทยคอยปกปักเฝ้ารักษา
บำรุงชาติศาสน์กษัตริ์พัฒนา
รวมอาสาพัฒนาจิตใจไทยทั้งปวง
ปัญหาความยากจนคนยากไร้
ปัญหาความยากจนคนยากไร้
ปัญหาความเจ็บไข้ภัยใหญ่หลวง
ปัญหาศีลธรรมด้อยคอยหลอกลวง
น่าเป็นห่วงอนาคตหรือหมดทาง

สวัสดียามเช้าครับ

ขอบคุณ ท่าน รองฯ small man ครับ ...

"... ทันสมัย แต่ไม่พัฒนา

บริโภคก้าวหน้า แต่ปัญญาตามไม่ทัน ..."

:)

Good Morning ครับ คุณ คนพลัดถิ่น :) ...

หวังว่า ประเทศไทยจะดำรงและคงอยู่ตลอดไป ครับ 

สวัสดีค่ะอาจารญ์.. Wasawat Deemarn

  • ชอบจังเลยค่ะ
  • "อุดมการณ์เป็นสิ่งสมมติ แต่ชีวิตมนุษย์เป็นของจริง"
  • แต่เราก็ต้องมีใช่ไหมคะ แม้ว่าจะเป็นเพียงสิ่งสมมุติ เพื่อให้ชีวิตมนุษย์มีคุณค่า ตามอุดมการณ์

หลังอ่าน

  • สิ่งที่นักการเมืองหรือพรรคกล่าวอ้างว่าเป็นอุดมการณ์ หาใช่อุดมการณ์ไม่ แต่คือความเห็นแก่ตัวต่างหาก
  • ตัวกู ของกู พรรคกู (ขอโทษค่ะที่ใช้คำไม่สุภาพ ) แต่อยากจะเชื่อมโยงถึงคำสอนของพระพุทธองค์ให้ละเว้นตัวกู ของกู
  • หากสังคม เป็นเหมือนที่ท่านsmall man  กล่าว

    "... ทันสมัย แต่ไม่พัฒนา

    บริโภคก้าวหน้า แต่ปัญญาตามไม่ทัน ..."

  • เราจะทำอน่างไรคะ ..นอกจากทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด

  • ขอบคุณค่ะ

 

ขออภัยบางตัวอักษรที่พิมพ์ผิดค่ะ เพราะหน้าจอคอม ตัวหนังสือเล็กมาก มองไม่ชัด คงต้องพิจารณาตัวเองแล้วค่ะว่าเป็น สว. ...อิ อิ

ขอบคุณครับ คุณพยาบาล สีตะวัน ... ที่ได้ให้ความคิดเห็นดี ๆ เอาไว้ครับ ยามตัดสินใจนำบทความของท่าน ว.วชิรเมธี มาลงไว้ พร้อมกรอบความคิดเห็นของตัวเอง ก็อยากให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และรับรู้กันทุกคนไปครับ

เพียงแค่หวังว่า สังคมอาจจะสงบมากขึ้น ครับ

ต่อไปอาจจะต้องนำเรื่อง "สงครามกลางเมือง" ที่คนหลง "สมมติ" อยากให้มีมาเล่าถึงความน่ากลัวและโหดร้ายต่อไปครับ อยู่ระหว่างการค้นคว้าครับ

มีเพลง Big Yellow Taxi ของโจนี มิทเชล เนื้อร้องก็สะท้อนถึงแก่นแท้เดียวกัน คือคนตัดป่าสูงไม้งามจนเหี้ยน สร้างที่จอดรถ สร้างพิพิธภัณฑ์ต้นไม้เก็บค่าเข้าชมต้นไม้แพง ๆ เห็นแล้วสะท้อนใจว่า คนเรานี่ก็แปลก ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย ไม่เคยรู้คุณค่าของสิ่งที่ตนเองมี ต้องรอจนกว่าเสียมันไปเรียบร้อยแล้ว ถึงค่อยมาคิดเสียดาย

 

"They pave paradise, put up a parking lot
With a pink hotel, a boutique, and a swinging hot spot
Don't it always seem to go
That you don't know what you've got till it's gone
They pave paradise, put up a parking lot"

จาก http://lyricwiki.org/Joni_Mitchell:Big_Yellow_Taxi

ผมเคยเขียนเล่าไว้ในอนุทิน ถึงความรู้สึกของคนที่เคยครอบครอง paradise ที่ถูกโค่นเสียเหี้ยนสร้างลานจอดรถ ขอคัดมาลงไว้ตรงนี้

จำได้ว่า สมัยย่างเข้าวัยรุ่น มีเวียดนามอพยพคนหนึ่ง นั่งกอดเข่าซึมเซาคอตกทั้งวัน เสื้อผ้ามอมแมม ตาเหม่อลอย นั่งอยู่ริมถนน ไม่ไกลจากบ้านในตลาด 

คนในละแวกนั้น ก็นำอาหารใส่จานไปตั้งไว้ให้กิน พร้อมส้มสูกลูกไม้ เด็ก ๆ ก็ไปมุงดู เขาก็กินไป ไม่ใส่ใจใคร กินเสร็จก็นั่งเหม่อลอย นั่งซุกหน้ากอดเข่าเงียบ ๆ

จำได้ว่า บางครั้ง เขาก็นั่งกุมท้อง เพราะคงปวดท้องจากการกินไม่เป็นเวลา หลังจากกินผลไม้โดยไม่ได้กินข้าว

พอเปิดเทอม ผมไปเรียนที่อื่น หลายเดือนผ่านไป เมื่อกลับมา เขาก็หายไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่า ไปไหน แต่มีคนเล่าให้ฟังว่า เคยเจอเขาเดินข้ามไปอีกอำเภอหนึ่ง ห่างไปราวสิบกิโลเมตร

โตขึ้น ผมเคยสงสัยว่า ทำไมหนอ เขาจึงกลายเป็นต้นไม้ที่ถูกทึ้งถอนราก ล้มระเนนตามแรงลมเช่นนี้ คนในชาติเขาทำกรรมอะไรร่วมกันหนอ คนในชาติจึงมีชะตาเยี่ยงนี้ ? แววตาที่ชวนหดหู่นั้น ที่แท้ เขาปวดร้าวรันทดอันใด ?

นึกย้อนกลับไป ตอนนี้ ผมคิดว่า ผมเข้าใจแล้ว ว่าเขารู้สึกอย่างไร

ตามมาอ่านจากอนุทินค่ะ

ขอสั้นๆว่า ขอบคุณค่ะ  : )

ตามมาอ่านหนังสือดีๆ บทความดีๆ

ค่ะ ขอบคุณอีกเช่นกันค่ะ *_*

ขอบพระคุณเรื่องเล่าประสบการณ์ตรงของอาจารย์ wwibul ครับ ... หากคนหลง "สมมติ" ทำสิ่งใดด้วยอารมณ์ ต่อไปภายภาคหน้า จักไม่มีบ้านเมืองให้อยู่อย่างสุขใจอีกต่อไป :)

ขอบคุณ คุณหมอ มัทนา ครับ ... ยินดีที่คุณหมอเดินทางกลับเมืองไทยได้อย่างปลอดภัยนะครับ :)

ยินดีครับ คุณครู เทียนน้อย ... ช่วยกันครับ :)

ทุกวันนี้ไม่มีสีสรร..ณ วันนี้มีท่านอาจารย์ที่มีอุดมการณ์กับงานเพื่อผลิตนักศึกษาออกมาเป็นครูที่มีอุดมการณ์แบบครูซัน..แต้ก่อเจ้า

เป็นแค่ครูเล็ก ๆ อุดมการณ์น้อย ๆ เท่านั้นเองครับ คุณครู rinda ;)

ขอบคุณมากครับ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท