ในชุมชนมีโรงเรียนระดับประถมศึกษาอยู่แห่งหนึ่งคือโรงเรียนวันครู(๒๕๐๔) เป็นโรงเรียนที่สร้างขึ้นโดยงบประมาณจากการระดมทุนเนื่องในวันครูของเหล่าคุณครูประชาบาลทั่วประเทศที่มุ่งพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับเด็กไทย โดยตั้งเป้าหมายว่าจะสร้างโรงเรียนวันครูให้ทั่วประเทศจังหวัดละ ๑ แห่ง ในวันครูแต่ปีก็จะพิจารณาสร้างโรงเรียน ๒-๓ แห่ง
ที่อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ ได้รับในวันครูปี ๒๕๐๔ ซึ่งเป็นช่วงที่นายอำเภออรุณ วิไลรัตน์ เป็นนายอำเภอของอำเภอหนองบัว กลุ่มคนรุ่นเก่าแก่ที่มีบทบาทนำเอาโรงเรียนมาตั้งอยู่ในที่ปัจจุบันของยุคนั้นก็คือ พ่อใหญ่เรือง พินสีดา ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นครูและมีหัวก้าวหน้า เป็นตัวตั้งตัวตีที่สำคัญ ครูเสริญบ้านป่ารัง | พ่อฟื้น คำศรีจันทร์ | พ่อใหญ่คำ พินสีดา มัคนายก | ผู้ใหญ่แถว แสงอาภา | รวมทั้งพ่อใหญ่เถา แสงอาภา พ่อผู้ใหญ่แถว ซึ่งขายที่ดินให้ในราคาถูก ๑๒ ไร่ๆละ ๑ พันบาท เพื่อเป็นเครื่องแสดงความพร้อมในการตั้งโรงเรียน
ก่อนหน้านั้น เด็กจะเรียนหนังสือตามศาลาวัดกระจายอยู่หลายแห่ง แม่เองนั้น ก็เรียนหนังสือวัดที่ศาลาวัดบ้านใต้ เพื่อนร่วมรุ่นของแม่ก็เช่นแม่สุดใจ สุขนาม | แม่สงกา เสียงสวัสดิ์ | แม่เม็ง แสงอาภาเมียผู้ใหญ่แถว บางคนก็เรียนศาลาวัดกลาง บ้างก็เรียนที่โรงเรียนบ้านป่ารัง
การก่อตั้งโรงเรียนวันครู(๒๕๐๔) ขึ้นจึงเหมือนกับเป็นการพัฒนาความเป็นชุมชนไปในตัว เนื่องจากทำให้เกิดการระดมทรัพยากรและกำลังคนซึ่งมีอยู่อย่างจำกัด มาร่วมกันจัดการศึกษาให้เด็กๆได้ดีขึ้น สร้างคนให้กับชุมชนออกไปเป็นคนดีรู้ทำมาหากิน และลูกหลานชาวบ้านในท้องถิ่นเป็นจำนวนไม่น้อยที่ได้รับการศึกษา ก็ได้เติบโตไปศึกษาต่อและทำการงานให้กับสังคมได้หลายรุ่น อีก ๒ ปีในปี ๒๕๕๔ โรงเรียนวันครู(๒๕๐๔) ก็จะครบรอบการก่อตั้งได้กึ่งศตวรรษหรือ ๕๐ ปี
อายุของโรงเรียนขนาดนี้ ทำให้แทบจะเรียกได้ว่า ผู้คนตั้งแต่รุ่นพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย กระทั่งถึงรุ่นลูก หลาน เหลนในปัจจุบันนี้ มากกว่าครึ่งหนึ่งของบ้านกลาง บ้านใต้ ป่ารัง บ้านรังย้อย และบ้านตาลิน ล้วนเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนวันครู(๒๕๐๔)
ในยุคแรกๆของการก่อตั้งนั้น โรงเรียนวันครูมีแต่ความขาดแคลน การเรียนการสอนจัดในอาคารที่ตั้งเสาไม้บนพื้นดินแล้วก็มุงสังกะสีเพียงคุ้มแดดฝนได้เท่านั้น ไม่มีผนังและฝากั้นห้องเลย เด็กๆ ป.๑- ป.๔ อยู่ปนๆกันและวิ่งเล่นเพ่นพ่านไปได้ทั่ว เด็กๆยังใช้กระดานชนวนมาจนถึงรุ่นผมเมื่อประมาณปี ๒๕๐๙
ส้วมที่ระดมแรงช่วยกันสร้างของชาวบ้านร่วมกับโรงเรียน เป็นส้วมที่ทันสมัยและดีที่สุดในยุคที่ยังใช้ไม้แก้งก้น
ต่อมาก็ได้อาคารไม้ ซึ่งทั้งการก่อสร้างและการทาน้ำมันยางกันมอดกินไม้ ส่วนหนึ่งก็ระดมแรงงานของชาวบ้านให้ไปช่วยกันทำ จากนั้นก็สร้างส้วมซึ่งเป็นส้วมที่ดีที่สุดของชุมชนในยุคนั้น ขุดสระน้ำเล็กๆอยู่อยู่ด้านตะวันตกของที่โรงเรียนและอยู่ด้านหน้าส้วม
ต่อมา บทเรียนของการเกิดภาวะการแล้งอย่างรุนแรงจนถึงกับขาดน้ำและนาล่มในบางปี คนเฒ่าคนแก่ ชาวบ้าน วัด และโรงเรียน จึงได้เริ่มช่วยกันคิดหาทางแก้ปัญหาเรื่องน้ำอุปโภคบริโภค แรกเลยก็หาคนมาขุดเจาะน้ำบาดาล ซึ่งทำอยู่หลายปี แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ที่สุดก็เลือกที่จะขุดสระน้ำของโรงเรียนให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม โดยเลือกพื้นที่ด้านหลังของโรงเรียน มีขนาดใหญ่กว่าสระน้ำลูกเก่าเป็น ๑๐-๒๐ เท่า
สระน้ำของโรงเรียนดังกล่าว ส่วนหนึ่งก็ได้งบประมาณจากราชการและส่วนหนึ่งก็เกิดจากความร่วมแรงร่วมใจกันของชาวบ้าน รถแทรคเตอร์ที่มาขุดสระครั้งนั้นเป็นรถแทรคเตอร์ของผู้ใหญ่แถว แสงอาภาและทิดสวอง แสงอาภา ลูกพ่อใหญ่เถา-แม่ใหญ่นาย แสงอาภา ตระกูลเก่าแก่ของชุมชนบ้านตาลิน
ชุมชนและโรงเรียนสามารถขุดสระได้ขนาดใหญ่เกินกว่าจะทำได้ด้วยงบประมาณของราชการแต่โดยลำพัง เพราะส่วนหนึ่งผู้ใหญ่แถวและทิดสวอง แสงอาภา ก็ไถและขุดสระอย่างไม่คิดค่าใช้จ่ายเพราะถือเป็นการทำให้ชุมชนของตนเองไปด้วย ชาวบ้านก็รวบรวมเงินให้เป็นค่าเติมน้ำมันรถแทรคเตอร์ แม่ก็ทำอาหารไปคอยเลี้ยงดูคนซึ่งอยู่ช่วยกันดูแลการขุดสระทั้งวันทั้งคืนอยู่หลายวัน สมทบและหมุนเวียนไปกับบ้านอื่นๆในชุมชน
การมีงานชุมชน วัด และโรงเรียน รวมไปจนถึงงานของครอบครัวญาติพี่น้องและคนในชุมชน แม่และกลุ่มผู้หญิงมักช่วยกันระดมคนมาทำอาหาร ขนม การเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ การจัดข้าวตอกดอกไม้ ขูดมะพร้าว และตักน้ำท่า งานวัด งานชุมชน และงานประเพณีของชาวบ้านจะเต็มไปด้วยความร่วมแรงร่วมใจ จนแม้กระทั่งบัดนี้ แม้หลายอย่างที่ผู้คนเริ่มจะนิยมจ้างให้คนอื่นทำแล้ว แม่ก็ยังคงไปวัดเพื่อไปทำอาหารให้พระฉันท์ คิดทำอาหาร ขนม และสิ่งต่างๆแจกจ่ายผู้คนและญาติพี่น้อง
มีอยู่ปีหนึ่งแม่ไปต่างจังหวัดและผมกับพี่ๆน้องๆก็อยากดูแลให้แม่ได้มีโอกาสพักผ่อน ทำบุญ และมีเวลาที่จะอยู่กับการภาวนาเพื่อตนเอง แต่แม่ก็พูดเปรยๆในวันหนึ่งว่า อยากกลับบ้านและเป็นห่วงพระในวัดที่บ้านว่าจะไม่มีข้าวฉันท์
พวกผมได้ยินแล้วก็ตัดสินใจพาแม่กลับบ้านอย่างไม่ต้องคิด เพราะสำนึกอย่างนี้ของชาวบ้าน เป็นสิ่งที่ผสมกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับวิถีชีวิต เสมือนดังลมหายใจเข้าออก.
นึกแปลกใจครับ ว่าอาจารย์คิดถึงเรื่องราวในอดีตได้เเม่นยำ อาจารย์นั่งทบทวนหรือมีบันทึกที่เป้นจดหมายเหตุเรื่องเหล่านี้ไว้ครับ...
ผมลองนั่งทบทวนเรื่องราวเก่าๆที่พอจำความได้ ไม่เเน่ใจว่าจะมาเขียนเป็นเรื่องเป็นราวแบบอาจารย์ได้หรือไม่นะครับ
เรื่องของเรื่องก็คือ เรื่องของปายในอดีต ที่ผมอยากลองนั่งเขียนดู อยากจะย้อนไปในช่วงที่ปายยังดิบๆอยู่ครับ บรรยากาศตอนนั้นยังแจ่มชัดอยู่ครับ เสียดายว่าไม่มีรูปถ่ายเก่าๆของปาย หากมีโอกาสคงได้ไปสืบหาภาพเหล่านี้มาสแกนเก็บไว้ เอาไว้ให้ลูกหลานได้อ่านได้เรียนรู้กันครับ
นั่นซิคะ..ถ้านึกออกปายในอดีตคงงดงามกว่าที่เป็นอยู่..เพี้ยงช่วยนึกให้ออกทีเถอะ..
ต้องได้ กาแฟ สมุนไพร ของ ครูอ้อยเล็ก ผมคิดว่าน่าจะฟื้นความทรงจำได้ดีนะครับ :)
เอามาเป็นกล่องๆเลยเหรอครับ กินเเล้วจะอารมณ์ดีเหมือน ครูอ้อยเล็ก หรือกินเเล้วอารมณ์ศิลป์ลุ่มลึกเหมือน ครูม่อย ไหมครับ??
ขอบคุณมากๆครับ :)
มาเชียร์ครูอ้อยเล็กเขียนบันทึกเรียบเรียงเรื่องราวถิ่นเกิดเหมือนครูม่อยดีไหมครับ เอาไว้ผมจะเขียนเรื่อง "ปายในวันก่อน" มาเล่าสู่กันฟังครับ
อาจารย์สร้างแรงบันดาลใจผมหลายเรื่องเลยครับ
อยากไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิซะแล้วซีครับ
ผมคิดว่าผมเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์ตอบแล้วครับ
เรื่องราวบางทีอยู่ในจิตสำนึก
แต่รอเงื่อนไขบางอย่าง เรื่องราวเหล่านั้นจึงจะหลั่งไหลออกมา
เงื่อนไขบางอย่าง อาจประกอบด้วย ประสบการณ์ชีวิตจากหลากหลายเรื่องราว พื้นที่ เวลา กระทั่งแนวคิดทฤษฎี
ไม่รู้ผมเข้าใจถูกไหมครับ
ประชาสัมพันธ์ให้เพื่อนค่ะอิๆ
<p>ขออนุญาตร่วมเรียนรู้ด้วยอีกสักคนนะครับ เคยได้รับความอนุเคราะห์จาก อ.ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์ ในการปลูกฝังจิตวิญญาณ (รัก) ชุมชน ตอนไปเป็นผู้แบ่งปันความรู้ให้เด็กและเยาวชนบ้านศาลาดิน ใน "โครงการสานฝันปันความสู่ศาลาดิน" ของผู้ใหญ่อาภรณ์ ช้อยประเสริฐ หมู่ 3 บ้านศาลาดิน ต.มหาสวัสดิ์ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เมื่อปี 2548 ท่าน ดร.วิรัตน์ ได้วาดการ์ตูนสะท้อนการเรียนรู้และปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม ระหว่างสถาบันอุดมศึกษา คือ คณะและสถาบันต่างๆ ของมหาวิทยาลัยมหิดล กับหน่วยงาน โรงเรียน และชุมชน (ประชาสังคม) ในอำเภอพุทธมณฑล ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ตกผลึกมาจาก "โครงการวิจัยและพัฒนาประชาคมพุทธมณฑล" มอบให้ผมและคุณไพฑูรย์ กลั่นไพฑูรย์ ที่ลงไปแบ่งปันความรู้ด้านศิลปะแก่เด็กและเยาวชนในโครงการสานฝันฯ ดังกล่าว ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงที่ได้เห็นเด็กและเยาวชน ที่ได้ดูภาพการ์ตูนความรู้ของอาจารย์วิรันต์ ซึ่งนำไปเพื่อสร้างแรงจูงใจแล้ว เกิดความคิดสร้างสรรค์พุ่งกระฉูดและมีพลังในการสร้างสรรค์งานศิลปะของตนเองเกี่ยวกับชุมชนมหาศาลเลยทีเดียว จึงขอนำภาพการ์ตูน 4 ภาพ มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ดังนี้ครับ (แต่ถ้าภาพไม่ชัดเจนเท่าไหร่ก็ต้องขออภัยด้วย เนื่องจากความรู้ทางด้าน IT ไม่ค่อยแข็งแรง ครับผม)
ขออภัยใส่ภาพการ์ตูนไม่ได้ครับ
สวัสดีครับพี่สนัน ไชยเสน : เมื่อตอนหัวค่ำว่าจะตอบกลับเพื่อต้อนรับด้วยความยินดีสักหน่อยนะครับ แต่พอจะเริ่มคุยก็กลายเป็นว่าพี่สนั่นเองมารับไปประชุมกลุ่มของชมรมชีวเกษม เลยก็หมดความตื่นเต้นเสียแล้ว
กระนั้นก็ตาม ยินดีมากนะครับ ยิ่งเข้ามาคุยในหัวข้อนี้ด้วย งั้นผมขออนุญาตแนะนำแก่ผู้อ่านสักหน่อยนะครับ เผื่อจะมีชุมชนแถวบ้านผมเข้ามาอ่านและอาจจะเป็นลูกหลานของชาวบ้านที่เคยร่วมกินกรรมที่ได้เคยเชิญพี่และครอบครัวไปปาฐกถาพิเศษบนศาลาวัดที่บ้านผมให้ชาวบ้านฟัง
อาจารย์สนั่น ไชยเสน เป็นนักวิชาการศึกษาอยู่ที่สถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นลูกหลานชนบท จากจังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันกำลังทำปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยอัชสัมชัญหรือ ABAC และผ่านภาคทฤษฎีเป็น Ph.D.Candidate แล้ว
มีลูกๆ ๓ คนที่นอกจากจะเรียนดีมากแล้ว ก็เป็นเด็กที่อัธยาศัยดี ทักษะและความสามารถพิเศษดีเยี่ยม โดยเฉพาะทางดนตรีและนาฏศิลป์ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาผมเลยเชิญอาจารย์สั่นไปคุยให้เด็กๆและชาวบ้านแถวบ้านผมฟัง ร่วมกับนักวิจัยอีกคนหนึ่งของผมคือคุณเริงวิชญ์ นิลโคตร ซึ่งก็เป็นลูกหลานชนบทเหมือนกัน
ปรากฏว่าทั้งสองท่านนี้คุยกับชาวบ้านชนิดที่เรียกว่าชาวบ้านไม่อยากให้หยุดคุย และบอกไว้ว่าหากมีโอกาสก็ให้ไปคุยให้ฟังอีก เป็นเครื่องสะท้อนให้ทราบได้เป็นอย่างดีว่ามีวิถีวิชาการที่ชาวบ้านเข้าถึงได้ เลยต้องขอต้อนรับครับ
พี่ต้องสมัครเป็นสมาชิกและเมื่อ Login เข้าระบบแล้ว จึงจะสามารถเอารูปขึ้นได้ครับ