ด้วยกลวิธีทางระบบบัญชีและนโยบายของธนาคารก็มีการ “ปิดบัญชีหนี้สินด้วยการเป็นหนี้สิน” คือมาเสนอเงื่อนไขใหม่ให้ลุงมากู้อีกหนึ่งแสนบาท เอาแปดหมื่นใช้คืนหนี้เก่าแล้วเหลือเงินสองหมื่นเอาไปทำอะไรก็เอาไป ธนาคารก็ปิดบัญชีเรื่องมะม่วงหิมพานต์ได้แต่เปิดบัญชีหนี้สินใหม่ให้ "ลุงมา" เป็นหนึ่งแสนบาท..
รัฐมักจะมีนโยบายต่างๆลงมาช่วยเหลือเกษตรกรอยู่ประจำ บางเรื่องเป็นนโยบายของหน่วยงานที่รับผิดชอบ บางนโยบายเป็นเรื่องของรัฐบาลโดยตรงที่ผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการกับชาวบ้าน
อาจจะเรียกว่าความหวังดี เพราะคิดว่าหากเกษตรกรทำแล้วจะเกิดผลดีอย่างนั้นอย่างนี้ ในอดีตกิจกรรมเหล่านี้จะเป็นลักษณะ บนลงล่างหรือที่เรียกกันว่า Top down
หลายสิบปีก่อนรัฐมีนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรในอีสานปลูกมะม่วงหิมพานต์ เพื่อเก็บเมล็ดไปแปรรูปขาย เพราะมีราคาสูงน่าสนใจ เจ้าพนักงานราชการที่เกี่ยวข้อง ต้องทำงานอย่างหนักในการขายแนวคิดและหารายชื่อเกษตรกรที่สนใจเพื่อเข้าโครงการ
ในที่สุดมีเกษตรกรจำนวนมากที่สนใจที่จะสละพื้นที่ส่วนหนึ่งปลูกมะม่วงหิมพานต์ ตามการประชาสัมพันธ์ของราชการแต่ต้องลงทุนเตรียมที่ดิน ซื้อกล้าพันธุ์ การบำรุงดูแล เมื่อเกษตรกรผู้ใดสนใจและไม่มีทุนก็สามารถไปกู้เงินทุนมาจากธนาคารแห่งหนึ่งได้ ซึ่งเป็นธนาคารที่สร้างขึ้นมาเพื่อเกษตรกร
เวลาผ่านไป ผลพบว่ามะม่วงหิมพานต์ไม่ให้ผลผลิตตามที่คาดหวังไว้ ซึ่งคงมีเหตุผลทางวิชาการ เช่น มะม่วงหิมพานต์ไม่ใช่พืชท้องถิ่นของอีสาน แต่เป็นพืชท้องถิ่นของภาคใต้ ลักษณะสภาวะแวดล้อมที่ต่างกันทำให้มะม่วงไม่ติดผล อาจจะเรียกว่านี่คือความผิดพลาดของระบบราชการอีกครั้งหนึ่ง แล้วภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นจากการกู้ยืมเงินทุนมาจากธนาคารแห่งหนึ่ง ที่บอกว่าเพื่อเกษตรกรนั้นเล่า เกษตรกรก็ต้องแบกรับต่อไป
มันเป็นเวรเป็นกรรมของเกษตรกรไทยจริงๆหนาที่ต้องมาแบกรับภาระหนี้สินอันเกิดจากการส่งเสริมของรัฐ แล้วชาวบ้านจะมีปัญญาไปใช้คืนได้อย่างไรกัน เพราะยอดเงินจำนวนไม่น้อยเลย และเกษตรกรมีรายได้เป็นรายฤดูกาลและรายปี ดอกเบี้ยก็ยิ้มรับอรุณของวันใหม่ทุกวันโดยไม่สนใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผู้กู้
“ลุงมา” เป็นเกษตรกรหัวไวใจกล้าอีกคนหนึ่งที่อ้าแขนรับโครงการปลูกมะม่วงหิมพานต์ของราชการนี้เมื่อ 20 ปีที่แล้วเพราะเชื่อถือเจ้าพนักงานราชการ และต้องเป็นหนี้สินมากถึงแปดหมื่นบาทจนวันนี้ก็ยังไม่มีปัญญาใช้คืนเพราะมะม่วงหิมพานต์ที่ปลูกลงไป 3 ไร่นั้นไม่ได้เงินคืนสักบาทเดียว ธนาคารเจ้าหนี้ก็ไม่ได้ละทิ้งเกาะติดลูกหนี้เป็นตังเมย์ เจ้าพนักงานราชการที่เข้าไปส่งเสริมโยกย้ายหายตัวไปนานแล้ว ไม่เคยแวะเยี่ยมเยือนให้เห็นหน้าอีกเลย ไม่มีใครตามมาให้คำแนะนำแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากนโยบายของรัฐอีกเลย มีแต่เจ้าหนี้ คือธนาคารเท่านั้นที่ตามมาติดๆตลอดเวลาที่ผ่านมา เพื่อจะมาทวงเงินคืน ดอกเบี้ยน่ะเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่นานแล้ว
ด้วยกลวิธีทางระบบบัญชีและนโยบายของธนาคารก็มีการ “ปิดบัญชีหนี้สินด้วยการเป็นหนี้สิน” คือมาเสนอเงื่อนไขใหม่ให้ลุงมากู้อีกหนึ่งแสน เอาแปดหมื่นใช้คืนหนี้เก่าแล้วเหลือเงินสองหมื่นเอาไปทำอะไรก็เอาไป ธนาคารก็ปิดบัญชีเรื่องมะม่วงหิมพานต์ได้แต่เปิดบัญชีหนี้สินใหม่ให้ "ลุงมา" หนึ่งแสนบาท..
มันไม่ได้แก้ปัญหา
แต่สร้างปัญหาใหม่ให้แก่เกษตรกร
รัฐสมควรรับผิดชอบนโยบายการส่งเสริมการเกษตรที่ล้มเหลว
มิควรปล่อยให้เป็นภาระของเกษตรกร
แม้ว่าการตัดสินใจเป็นของเกษตรกรก็ตาม
จะมีอีกกี่โครงการที่เข้าแถวมาอย่างนี้อีกในอนาคต
(ผู้บันทึกต้องขออภัยเพื่อน G2K ที่ช่วงนี้เอาแต่ปัญหาชาวบ้านมาบ่นให้ฟังครับ ทุกข์ของชาวบ้านคือทุกข์ของแผ่นดิน โลกร้อนขึ้นทุกวัน ปัญหาชนบทก็ยิ่งร้อนขึ้นทุกนาทีเช่นกัน)