...
อย่างเนี่ย...
จู่ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากน้าอึ่งอ๊อบ ผู้เป็นเจ้าของบล็อก สรรหามาเล่า บอกเล่าว่าท่านครูบามาเชียงใหม่ ว่างก็มากินข้าวด้วยกันมื้อกลางวัน....แล้วจะพลาดได้อย่างไรคะ....คราวก่อนท่านมา ก็ พาเราเที่ยว พาไปให้หูตาสว่าง ได้ไปพบเห็นสิ่งที่ดีงาม ที่ดิฉันเคยตาบอดตาใสมองข้ามด้วยความไม่รู้เรื่องรู้ราว เมื่อท่านมาคราวนี้...คิดแค่ว่าต้องดีแน่ๆ ..
กินข้าวซอย และทับทิมแสนอร่อย ....แล้วก็ขับรถกลับ...พอมองเห็นวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร อะไรดลใจไม่รู้ ถามครูบาว่า แวะวัดนี้หน่อยไหมคะ...จะพาไปชมส้วม....แหะๆ....
วัดพระสิงห์ฯวันอาทิตย์ นักท่องเที่ยวเยอะแยะไปหมด...แต่วัดก็ยังสงบงาม
เดินจนทั่ว....ถ่ายรูปจนจุใจ....ในบรรยากาศร่มรื่น สบายตา สบายใจ....
ใต้ร่มไม้มีเก้าอี้ให้คนมานั่งอ่านหนังสือ ทำสมาธิ อย่างสงบเย็น
"ความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมของที่ไหนต้องดูที่วัด...เพราะวัดจะอยู่ได้ต้องอาศัยคนที่อยู่ช่วยกันดูแล...วัดนี้สวยงามและแสดงถึงความเจริญของวัฒนธรรมของคนเชียงใหม่ที่มีมาช้านาน....ถ้าจะให้ดีไม่ควรจะให้มีมาขายของกับจอดรถข้างๆวิหารนี้......" ครูบาเปรยขึ้นภายหลังเดินดูจนทั่ววัด
"ดูซินักท่องเที่ยวใส่รองเท้าขึ้นข้างบนวิหาร น่าจะถอดไว้ข้างล่าง...ใส่กางเกงขาสั้นด้วย...." เสียงบ่นเบาๆ ของน้าอึ่งอ๊อบ เมื่อสายตาไปปะทะนักท่องเที่ยวสตรีไทยกลุ่มหนึ่งที่แต่งกายไม่สุภาพเข้าชมวัด
วัดพระสิงห์แม้จะอยู่ในช่วงบูรณะแต่ก็ไม่ได้ละเลยศิลปะโบราณและไม่ได้สร้างถาวรวัตถุทันสมัยเกินจำเป็น...แต่สิ่งที่ยังต้องดำเนินการต่อคือการจัดระเบียบรถที่เข้ามาชม และการห้ามการขายของในบริเวณโดยรอบพระวิหารหลวง
เดินกันเพลินจนเกือบลืมวัตถุประสงค์ของการไปวัดคราวนี้....(ก็ดูส้วมน่ะค่ะ)......ครูบาบอกว่าเกือบได้นั่งเครื่องบินกลับมาดูซะแล้ว....อิอิ
จากวัดพระสิงห์เหลือเวลาไม่มากพอที่จะไปวัดนอกเมือง....งั้นไปวัดสวนดอกนะอาจารย์สร้อย....ไปไหว้พระเจ้าเก้าตื้อนะคะ.....น้าอึ่งอ๊อบบอก...
วัดสวนดอกวันอาทิตย์ มีผู้คนแวะเวียนและแว่วเสียงดนตรีซอล้อซอซึง.....
ทุกบ่ายวันอาทิตย์ พ่อครูดนตรีและการฝีมือทั้งหลายมารวมตัวกันเปิดสอนการเล่นดนตรีพื้นเมือง การทำโคมยี่เป็งให้กับเด็กๆ และผู้สนใจ....สอนกันบนวิหารใหญ่ นั่งเสื่อด้านข้าง สั่งสอนและลงมือปฏิบัติ....วัฒนธรรมที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น..บนวิถีที่เรียบง่าย ร่มรื่น...สงบ
"มาเห็นวัดสวนดอกนี้ รู้สึกได้เลยว่าเชียงใหม่มีความเป็นเอกราชยิ่งใหญ่มาก" วาทะสั้นๆ ของครูบา....ที่ชวนให้ลูกหลานชาวเชียงใหม่ต้องหวนมาคิดและมอง..ปัจจุบันเราได้ทำอะไรหรือยังที่จะดำรงความเป็นเอกราชสืบทอดวัฒนธรรมอันดีงามที่บรรพบุรุษแห่งล้านนาเคยสร้างไว้ให้ และเราจะสืบต่อไปถึงลูกหลานได้อย่างไร....
กราบขอบพระคุณครูบาสุทธินันท์ ที่มาแวะเยือนเชียงใหม่ 16 ธันวาคม 2550 และกราบขอบพระคุณในความเอื้ออาทร ให้ความรู้ความคิด ต่อการทำนุบำรุงและรักษาไว้ซึ่งศิลปะวัฒนธรรม อันเป็นมรดกของชาติที่ชาวเชียงใหม่และชาวไทยควรหวงแหน
ท้ายบันทึก....
ความเจริญทางวัตถุที่มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ผลักดันให้ผู้คนกระโจนเข้าสู่ความแข่งขัน ความรีบเร่งและต่อสู้ดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด.....คนเชียงใหม่จะทำอย่างไรถึงจะเก็บถนอมความเจริญทางจิตใจ ความสงบเย็นด้วยแรงธรรม และความละเอียดอ่อนของศิลปะล้านนาอันงดงามไว้ได้...พร้อมๆกับนำทางให้กับนักท่องเที่ยวที่ยังไม่ทราบขนบธรรมเนียมปฏิบัติ...ให้เข้าใจและคิดถนอมความดีงามนี้ไปพร้อมๆกัน...
ตามมาไหว้พระด้วยคนค่ะ ^_^
เมื่อความทันสมัยและความเจริญล้ำไหลบ่าเข้าสู่เชียงใหม่ ..ความสงบเย็น ร่มรื่น ตลอดจนวิถีชีวิตเรียบง่ายบางอย่างก็พลันลบเลือนหายไป
เมื่อไรที่มองภาพของวัด พระพุทธรูป ความสงบก่อเกิดในจิตใจอย่างเป็นสุขจริง ๆ นะค่ะ
ต่อความรู้สึกนี้ ..
... สาธุ สาธุ สาธุ ขอให้ขยายผลไปทั่วทั้งประเทศด้วยเถิด
สวัสดีค่ะ อาจารย์
สวัสดีค่ะ คุณ Naree suwan
สวัสดีค่ะ น้องต้อม เนปาลี
พูดเรื่องแก่เลยลืมเลยว่า จะยังไม่กดบันทึกจนกว่าคุยกับทุกๆท่านที่มาฝากรอยประทับไว้....อิอิ
สวัสดีค่ะ คุณเพื่อน dd_L และป้าแดง
สวัสดีค่ะ คุณ Moo
สวัสดีค่ะ อาจารย์น้องขจิตศิษย์ครูบา..
สวัสดีครับพี่สร้อย
ครั้งนี้เลยไม่มีโอกาสได้ต้อนรับคุณพ่อเลยครับ
ที่ปายก็ไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเท่าไหร่...หลังช่วงไฮ ผมจะขอหลบไปที่ไหนก็ได้ไกลๆสักแห่ง
วัดสวนดอก เป็นวัดที่ผมไปบ่อยๆครับ ที่สำคัญก็คือไปนมัสการพระเจ้าเก้าตื้อ มีเรื่องมหัสจรรย์เกิดขึ้นกับผมด้วย มีโอกาสจะเล่าให้ฟังครับ
ขอบคุณที่ช่วยดูแล คุณพ่อครับ
สวัสดีค่ะ น้องเอก...
อยากฟังเรื่องมหัด สะ จอ รอหัน การันต์ ยอ ของน้องเอกเจ้า
คราวนี้ไปวัดระดับ วรมหาวิหาร 2 วัดในครึ่งวัน ถ้ามีโอกาสคงได้ไปอีกแถมหลายวัดเจ้า
สวัสดีค่ะ
พ่อแอบหนีลูกหลานใต้ ไปแอ่วเหนือนี่เอง
อิอิ
สวัสดีครับอาจารย์ครับ
ได้อ่านแล้วนึกภาพออกชัดแจ้งอยู่ครับ
สมัยเป็นนักเรียน SPN เช่าบ้านอยู่หลังวัดพระสิงห์
พอเรียนจนมาเช่าห้องอยู่ข้างวัดสวนดอกครับ
ไปแอบท่องหนังสือในวัดทั้งสองแห่งบ่อยๆครับ
เป็นห่วงเชียงใหม่เหมือนกันครับ อยากให้คงไว้เหมือนหลวงพระบางท่าจะดี แต่คงยาก เพียงแค่รักษาวัดในเขตคูเมืองไว้ไม่ให้อะไรมาบดบังก็ดีมากแล้วครับ
สวัสดีค่ะ คุณรัตติยา
สวัสดีค่ะ คุณpaleeyon
สวัสดีค่ะ คุณเพื่อน dd_L
ตอนเป็นเด็กนั้น..(( น่าจะราว 20 กว่าปีที่แล้ว เหมือนยังเพิ่งผ่านมาไม่กี่วันนี้เอง อิอิ )) ต้อมนับว่าเป็นเด็กวัดอยู่ ด้วยแวะเวียนไปวัดกับแม่บ่อยๆ ในวันพระ หรือไปร่วมกิจกรรมในเทศกาลใดๆ หรือไม่ก็ติดสอยห้อยตามพ่อที่นับว่าเป็นช่างภาพ (( ประจำหมู่บ้าน )) บางทีก็ปั่นจักรยานไปบ้านยายที่อยู่หมู่บ้านติดๆ กัน ซึ่งส่วนมากก็จะไปตามหายายเจอได้ที่วัดประจำหมู่บ้านนั้น ต้อมชอบมากกับการได้ไปวัด เพราะวัดในสายตาต้อมช่างดูเงียบนิ่ง..สงบเย็น..แถมยังมีเสียงระฆังแว่วดังเป็นครั้งคราว ตลอดจนต้นไม้ใบหญ้าที่ร่มรื่น เรื่องเล่าเกี่ยวพุทธประวัติ เสียงสวดมนต์ แม้กระทั่งสีเหลืองของจีวร ทำให้รู้สึกว่าวัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน
แต่พอโตขึ้น..(( 20 ปีหลังจากนั้นที่ยังเป็นเด็ก อิอิ )) วัดก็ยังคงเป็นวัด เพียงแต่ต้อมไม่มีโอกาสได้เข้าวัดเลย ทำให้เป็นคนไกลวัดไปโดยปริยาย และวัดจากที่ต้อมมองเห็นด้วยสายตาก็เริ่มเปลี่ยนไปจากเดิมมากจนต้อม"รู้สึก"
วัดสวนดอก .. มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ต้อมไปเรียนภาษาอังกฤษช่วงค่ำที่นั่น จึงนับว่าไปบ่อยค่ะ อาทติย์ละ 2 - 3 ครั้ง แต่ในเวลาค่ำ มันมืดเสียจนต้อมมองอะไรไม่เห็น เลยไม่ได้ยลวัด
วัดพระสิงห์ .. ก็ไปไม่ค่อยบ่อยค่ะ นานๆ ไปครั้ง
แต่โดยส่วนตัวแล้วต้อมก็ยังชอบ "วัด" อยู่ดี แน่ะ..ดูจากหน้าตาแล้วไม่อยากเชื่อใช่ไหมล่ะคะ อิอิ
สวัสดีค่ะน้องต้อม ....
อิอิ...ชอบๆๆ อยากฟังเรื่องเล่าวัยเด็กๆ กับคุณยายอีก....
ยายของพี่ ตัวห้อมหอม ทั้งๆที่ไม่ใช้น้ำหอมเลย สบู่ก็แสนจะธรรมดา ตรานกแก้ว ผมก็ใช้น้ำมันมะพร้าวลูบเล็กน้อย แล้วเกล้ามวยเสียบ "หย่อง" คือปิ่นสองขาทำด้วยเหล็กสีดำ ตอนเช้ากับเย็นยายจะไหว้พระสวดมนต์ ยายให้คาถากันผีกับพี่ด้วย...แหะ ๆ
ยายอาบน้ำวันละครั้งเดียวตอนกลางวัน เพราะเชียงใหม่เมื่อก่อนหนาวมากๆ ต้องเอาปีบใส่น้ำวางกลางแดดจัด พอบ่ายคล้อยก็หิ้วไปให้ยายอาบ หน้าหนาวอย่างนี้เช้าๆ จะตั้งเก้าอี้กลางแดดให้ยายนั่ง "ผิงแดด" สมัยนั้นเขาเล่าว่า (เขาเล่าว่าแปลว่าไม่รู้จริงไหม) ว่า แถวฝาง จะมีอาชีพในฤดูหนาวคือ "อุ้มคนแก่ผิงแดด" ...อิอิ
ยายของพี่นอนวัดวันพระด้วยนะ...เดี๋ยวนี้ก็ยังพอมีคนไปนอนวัดวันพระเพราะเขาจะทำวัตร ปฏิบัติธรรมกันค่ะ
ต้อมก็ตั้งใจจะเขียนบันทึกเล่าเรื่องยายค่ะ แต่ยังไม่มีโอกาส ยายของต้อมก็เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีกลิ่นตัวห๊อมมม - หอม ไปด้วยกลิ่นน้ำมันมะพร้าว หอมอย่างที่สมัยนี้ไปหาดมเอากับใครไม่ได้เสียแล้วนะ อิอิ ต้อมชอบนอนกลางวันใกล้ๆ ยาย จับมือยายมาคลึงเล่น ก็เนื้อตัวเหี่ยวย่นนั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นได้อย่างไรก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ประหลาดดีแท้ ยิ่งยายเล่าเรื่องราวเก่าๆ นั้น ต้อมจะมีความสุขมาก
พอถึงหน้าหนาว ยายก็จะมานอนค้างบ้านต้อมน่ะค่ะ คงเพราะบ้านต้อมอุ่นล่ะมั้ง
คิดถึงยายค่ะ ....
เขียนเลยค่ะ น้องต้อม...
น้องต้อมรู้ตัวไหมว่า น้องต้อมเป็นคนเขียนเรื่องเล่าได้น่าอ่านมากๆ ...เล่าเรื่องราวของชีวิตก็น่าอ่าน เล่า อารมณ์ความรู้สึกก็ละเมียดน่าอ่าน เล่าเรื่องราวของหนังสือก็น่าอ่าน...
ดังนั้น(แหม..เขียนคำๆนี้รู้สึกเป็นงานเป็นการเน๊อะ) เขียนนะคะ...นะคะ...ป้าขอร้อง...อิอิ
ขอบคุณค่ะสำหรับคำชมและลูกยุ ก็อยากจะเขียนค่ะ แต่ต้อมขี้ลืมเสียด้วย
เรื่องยายน่ะก็พอจำได้ลางๆ เลือนๆ มันเหมือนภาพสลัวๆ จำได้ว่าวันพระก็จะตามหายายเจอที่ในวัดเพราะยายไปนอนวัด ต้อมก็จะรอหิ้วของยายเดินกลับบ้านยายด้วยกัน หรือเวลานอนค้างที่บ้านยายต้อมก็มักจะนั่งรอยายสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนที่ห้องพระ((นานมากกกกกกก)) เอ..หรือเพราะเป็นแบบนี้นะ เลยชอบฟังเสียงสวดมนต์และไหว้พระได้เองโดยแทบจะไม่รู้ตัว
ต้อมชอบฟังคนมีอายุเล่าเรื่องราวที่คนวัยอย่างต้อมไม่มีโอกาสได้รู้ - ได้เห็น น่ะค่ะ ยายต้อมเคยเล่าเรื่องเงือก เรื่องโน้น - เรื่องนี้ เยอะแยะ แต่นั่นล่ะค่ะ ต้อมจำไม่ได้ เสียดายเหลือเกิน แต่ความรู้สึกอุ่นๆ มันอยู่ตรงที่ "รู้สึก"
คงเพราะคุยกันเรื่องวัด ซึ่งทำให้นึกถึงยายเนอะคะ
สวัสดีค่ะ น้องต้อม....
เรื่องคุณยาย คุณตา และวิธีสอนของท่านๆ นั้น เป็นเรื่องน่าศึกษานะพี่คิดว่า....เราจะไปว่าโบราณหรือ ก็คนยุคนั้นกลับใช้วิธีเล่าเรื่อง เล่านิทาน แล้วแถมท้ายด้วยคติสอนใจ ...ส่วนมากก็มาจากนิทานอิสปและเรื่องราวในพระไตรปิฎก...
พี่จำได้ว่า เคยฟังนิทานดาวลูกไก่ในวงรอบกองไฟหน้าหนาวที่เราก่อไว้ผิงและย่างข้าวหลามกินกันกลางคืน...ยังจำบรรยากาศที่หนาว หน้าและตัวที่หันเข้าหากองไฟอบอุ่น และเด็กๆ ก็พยายามมองหาดาวลูกไก่บนฟ้า....ที่เป็นดาวของความรักระหว่างแม่และลูก....
เป็นวิธีเรียนจริยธรรมกลางธรรมชาติเลยค่ะ...^^
แวะมาสวัสดีปีใหม่ค่ะ
ขอให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงนะคะ
เชิญรับPostcard: กระดาษแผ่นเล็กๆที่บอกเล่าเรื่องราวจากหัวใจ ได้เลยนะคะ
ขอบคุณค่ะ....คุณ Naree
ขอให้พรอันประเสริฐเป็นของคุณ Naree เช่นกันค่ะ
พี่สร้อยขา
หนิงทำหน้าที่ กินเผื่อแล้วนะคะ อิอิ แต่หนิงสู้สะเดาหวาน ไม่ไหวค่ะ เลยกินสลัดผักฝีมือน้องราณีเผื่อเยอะมากๆเลยค่ะ
และขอส่งความสุขตลอดทั้งเทศกาลส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ 2551 นะคะ