เมื่ออะไรๆ เริ่มดีขึ้น จากการศึกษาหาความรู้และการปฏิบัติจริงด้วยตนเอง การปฏิบัติการกับลูกและสหาย จึงได้เวลาบอกเล่าสิ่งดีๆ
ช่วงที่ผ่านมาฉันศึกษาเกี่ยวกับอาการภูมิแพ้ค่อนข้างมากเนื่องจากมีข้อสงสัยหลายอย่างประกอบกับได้องค์ความรู้เรื่องการแพ้อาหารแบบสะสม ซึ่งฉันแพ้ไป 10 กว่าตัว จากการตรวจ 150 ชนิด ร่วมด้วยสารปรุงแต่งและสารสังเคราะห์ อีก 20 ชนิดเป็น 170 ชนิด ส่วนน้องอินแพ้ไป 30 กว่าตัว (ซึ่งเป็นเหตุให้ฉันต้องการที่จะรักษา และให้เขาดูแลตัวเอง ป้องกันความก้าวหน้าของโรคที่จะเป็นภูมิไวเกิน, SLE, ซีสต์ หรือมะเร็ง ในอนาคต ถ้าไม่ดูแลตัวเองให้ดี) สุดท้ายฉันต้องไปศึกษาเรื่องการล้างพิษ และเหตุแห่งพิษ อันสอดคล้องกับปัญหาด้านสุขภาพที่ปัจจุบัน เราเริ่มรู้กันว่า ผู้คนเป็นภูมิแพ้กันมากขึ้น (แต่ไม่คิดว่าเป็นปัญหาเพราะรู้สึกว่าโรคนี้มันเล็กน้อย) เราเริ่มเห็นสถิติโรคมะเร็งมากขึ้นอย่างน่าใจหาย จนกระทรวงสาธารณสุข ต้องวางนโยบายเรื่องการคัดกรองเพื่อให้คนตรวจกันตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ก็จะพบว่า คนใกล้ตัวเรา ในชุมชนของเรา เป็นมะเร็งกันเป็นว่าเล่น ด้วยอายุที่ยังน้อย เกิดอะไรขึ้นหรือ หลายๆคนคงไม่คิดหรอก ว่าคนที่แพ้ง่าย จะเป็นซีสต์หรือเป็นมะเร็งง่าย มันจะเกี่ยวข้องกันหรือไม่อย่างไร และบางทีก็เป็นเหตุให้เกิดเป็นเบาหวานต่อไปได้ง่าย ความจำเสื่อมง่าย หรือโรคอื่นๆ อีก 108 เพราะมันเกี่ยวข้องกับระบบใหญ่ของร่างกายเช่นระบบทางเดินอาหาร สู่ระบบไหลเวียนโลหิต อันจะมีผลต่อสมอง และอวัยวะสำคัญๆ แล้วเรื่องพิษและการล้างพิษมาเกี่ยวข้องอะไรด้วย (เกี่ยวซิ เพราะนี่แหละตัวดี ก่อให้เกิดอาการแพ้ และแพ้มากขึ้นๆ) ซึ่งอันนี้คงต้องศึกษากันอย่างละเอียด และฉันคงบอกอะไรได้ไม่มาก เพียงแค่ บันทึกน้อยๆ ณ ที่แห่งนี้
ผู้ใหญ่หลายคนมักพูดว่า “สมัยก่อนไม่เห็นเป็นกันแบบนี้ ภูมิแพ้ โรคกระดูก มะเร็ง ทั้งๆที่อายุยังน้อยกันอยู่ บางคนเสียชีวิตก่อนพ่อแม่เสียอีก” ฉันก็สงสัยเหมือนกัน จริงๆแล้วฉันก็ยังไม่แก่ ก่อนหน้านี้บางทีก็ปวดเข่ามากๆ หรือปวดข้อเท้ามาก แล้วก็หายไปเอง โดยที่ไม่รู้สาเหตุ แต่วันนี้ฉันรู้มากขึ้นแล้ว ดีใจจัง
สิ่งดีๆ หรือ “เมื่ออะไรๆ เริ่มดีขึ้น” ของฉัน หลังจากที่รู้ว่าตัวเองแพ้อะไร รู้ว่าชีวิตปัจจุบันฉันได้รับพิษไปเยอะมากๆ และปฏิบัติการล้างพิษด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดแบบองค์รวมด้วยตัวเองในชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งที่อยากบอกเล่าเพราะแม้แต่เพื่อนๆ ก็เจอปัญหา และขอปรึกษาอยากดูแลตัวเอง ในขณะที่หลายๆ คนไม่รู้ ลองมาดูสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับฉันในทางที่ดี ในระยะ 2 เดือนมานี้ ดูสิ
• ฉันไม่ต้องกินยาแก้แพ้ก่อนนอนวันละ 2 เม็ดแล้ว
• เดี๋ยวนี้ฉันไม่เมารถที่เคยเป็นอย่างมากมาย ฉันนั่งรถบัสไปอบรมที่สระบุรีกับเจ้าหน้าที่อย่างมีความสุขโดยไม่ต้องรับประทานยา
• ฉันไม่มีอาการท้องอืด คลื่นไส้ ปวดเสียดท้องอีกแล้ว
• ฉันไม่เป็นสิวก่อนมีประจำเดือน
• ฉันไม่ปวดศีรษะ มีบางวันที่มึนศีรษะเล็กน้อยก่อนเป็นประจำเดือน
• ฉันไม่มีอาการปวดท้อง และไม่หงุดหงิดหรืออารมณ์แปรปรวนจิตตกก่อนมีประจำเดือนแล้ว
• ฉันน้ำหนักลดลง ใส่เสื้อผ้าสมัยยังสาว ( 15 ปีที่แล้ว)ได้เลย โดยที่แข็งแรง ออกกำลังกายเช่นเต้นแอโรบิคก็ไม่มีอาการหน้ามืด (ซึ่งเคยเป็นเวลาจะเป็นประจำเดือน)
• นอนหลับสบายดี
• ขับถ่ายประจำวันดีมากๆ
ทั้งนี้ในส่วนของอาการปวดมึนศีรษะ ง่วง เพลีย รวมทั้งการมึนและปวดศีรษะเมื่อเมารถ มาจากการที่ฉันมีการแพ้อาหารหลายๆอย่างแบบสะสมซึ่งเท่ากับว่าฉันได้รับพิษเข้าสู่ร่างกายเป็นประจำโดยไม่รู้ตัวนั้น ส่งผลกับระบบย่อยอาหารและระบบเลือดในร่างกาย จนมีผลทำให้เม็ดเลือดแดงของฉันซ้อนตัวกันเป็นลูกโซ่และเป็นกลุ่มก้อน (จากการตรวจ Live Blood Analysis) ซึ่งทำให้การเดินทางนำอ๊อกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆที่จำเป็นเป็นไปได้ยากยิ่งซึ่งรวมทั้งเซลล์สมองและเซลล์ประสาทด้วย) ลองคิดดู ถ้าฉันยังไม่รู้ แก่ตัวไปฉันคงเป็นอัลไซเมอร์ก่อนใครเลย (ถ้ายังไม่เป็นมะเร็งไปเสียก่อน)
ฉันขอสรุปหลักของเรื่องนี้พอสังเขป ที่ฉันสรุปมาได้และคิดว่าทุกๆคนควรรู้
1. ร่างกายของคนเราจะมีกลไกในการล้างพิษ (detoxification: การขับสารพิษออกจากร่างกาย) ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ตั้งแต่มีมนุษย์อยู่บนโลกใบนี้ซึ่งมีอวัยวะหรือ เซลล์ ทำหน้าที่ของมันอยู่หลายกระบวนการและหลายระดับ เพราะชีวิตตั้งแต่ระดับ เซลล์จนถึงขึ้นเป็นคนขึ้นมา 1 ชีวิต ต้องมีการหายใจ การกินอาหารและการขับถ่ายของเสียออกมา
2. โลกปัจจุบัน สร้างพิษให้กับร่างกายของเราชนิดที่ร่างกายของเราไม่สามารถกำจัดได้ตามปกติ เพราะ น้ำมือของเราเอง และอยู่ในชีวิตประจำวันของเราซะจนเราไม่รู้อีกว่านั่นเรากำลังรับพิษไปให้ร่างกายของเราเต็มๆ บางครั้งเรายังเห็นผิดเป็นชอบคิดว่านั่นคือการมอบสิ่งดีๆให้กับร่างกายด้วยซ้ำ แต่จริงๆ แล้วกลับตรงกันข้าม แล้วจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ เมื่อเราเติมพิษให้กับร่างกายทุกวัน จนอวัยวะกำจัดสารพิษตามปกติทำงานไม่ไหว หรือไม่สำเร็จ
3. อาการที่เกิดจากสารพิษคั่งค้างในร่างกาย หรือร่างกายไม่สามารถขับพิษออกได้ตามปกติเนื่องจากมันมากเกินไปหรือสิ่งที่จะเป็นตัวช่วยขับออกมีปัญหา (มักไม่เหมือนกันแล้วแต่ว่ารับได้รับสารประเภทไหนมาก หรือมีจุดอ่อนของชีวิตตรงไหน และเรามีความไวกับสารต่างๆ ที่ต่างกัน บางคนเป็นน้อยเพราะความรู้สึกไม่ไวพอ) ส่วนอาการก็มีต่างๆ กันเช่น
• ปวดเมื่อยเนื้อตัวโดยไม่มีสาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาตื่นนอนตอนเช้า (ข้อนี้น้องเภสัชกร กัลยาณมิตรของฉันเป็นประจำก่อนหน้านี้โดยไม่รู้สาเหตุ)
• อ่อนเพลียง่าย กล้ามเนื้อไม่มีแรง ง่วงเหงาหาวนอน ไม่มีความกระตือรือร้น
• ปวดตามข้อต่างๆ ของร่างกาย อาจเป็นเพียงข้อเดียวหรือหลายข้อก็ได้ (ข้อนี้น้องเภสัชก็เป็นอีกเช่นกัน ตอนเช้าๆ นี่แหละ)
• คันตามร่างกาย บางครั้งมีผื่นขึ้น หรือบางครั้งเป็นลมพิษ ทั้งๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน (ข้อนี้ทั้งฉัน น้องเภสัช และน้องอิน ก็เป็นกันง่าย แต่ยังไม่ถึงขั้นลมพิษ)
• มีสิวตามใบหน้า แผ่นหลัง และต้นแขน ทั้งๆที่อายุมากแล้ว หรือเป็นสิวโดยไม่เกี่ยวข้องกับประจำเดือน (ข้อนี้น้องอินดูจะเป็นมาก ส่วนฉันและน้องเภสัชเป็นเล็กน้อยเฉพาะจะมีประจำเดือน) ช่วงหลังของน้องอินพบว่ามีขึ้นที่เท้า หัวเข่า มือและข้อศอก
• มีกลิ่นตัวแรงกว่าเดิม (ข้อนี้ที่สังเกตคือเมื่อใดที่เครียดจัด หรืออารมณ์เสียมาก เราจะรู้สึกว่าเรามีกลิ่นตัวเล็กน้อย คนอื่นอาจจะไม่รู้สึกจากการสอบถาม แต่เราจะรู้ของเราเอง ส่วนน้องอินดูจะเป็นปัญหาในวัยประถมค่อนข้างมาก)
• มึนศีรษะ ปวดศีรษะ ไม่สดชื่นแจ่มใส (ฉันและน้องอินเป็นบ่อย ๆ รวมทั้งเวลานั่งรถ ซึ่งก็คืออาการเมารถอย่างหนัก ส่วนน้องเภสัชปวดหัวแบบไมเกรนเป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่อเจอแสงไฟสีเหลืองในห้องประชุม และบางครั้งไม่รู้สาเหตุ)
• นอนไม่หลับ โดยไม่เคยเป็นมาก่อน (อันนี้ฉันก็เป็นบ่อย บางทีก็ตื่น ตี 2 ตี 3 )
• ลมในท้องมาก ท้องอืดเฟ้อ ถ่ายไม่สะดวก
• ลมหายใจมีกลิ่นแรง มีกลิ่นปาก โดยที่ไม่ได้เป็นโรคทางเดินหายใจหรือ หรือโรคเหงือก
• เป็นหวัด คัดจมูกง่าย (นี่แหละที่ฉันเป็นแต่เด็ก)
• อ้วนขึ้น พยายามจำกัดอาหารแล้วน้ำหนักไม่ยอมลด
• ตรวจพบไขมันในเลือดสูง ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยได้กินอะไรมันๆ (ข้อนี้ฉันพึ่งเป็นจากการตรวจสุขภาพในปีที่ผ่านมา เป็นเหตุให้สงสัยอย่างมากเพราะดูแลตัวเองดีมาตลอดรู้ว่าอะไรควรกิน กินแค่ไหน และออกกำลังกายอย่างดี เป็นเหตุให้ต้องศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงๆจัง และกระจ่างมากเมื่อรู้เรื่องการแพ้อาหารของตัวเองคือไข่แดง และย้อนกับไปวิเคราะห์ช่วงก่อนตรวจเลือดสัปดาห์นั้นฉันได้ไข่ต่อกัน 3 วันโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้)
ฉันรับรองได้ว่าทุกคนที่อยู่ในโลกปัจจุบันได้รับพิษกันถ้วนทั่ว แต่จะมีมากน้อยก็แล้วแต่ และขึ้นกับระดับความรู้สึกที่ไวพอ และจุดอ่อนในร่างกายมีมากน้อยแค่ไหน แถมร่างกายยังมีกลไกในการห่อหุ้มพิษด้วยเซลล์ไขมันไว้อีก เลยยังไม่รู้กัน จะรู้อีกทีก็เมื่อปัญหาแก่ตัวเต็มที่แล้ว คือเป็นมะเร็ง ให้เห็นไปแล้วนั่นเอง (ซึ่งปัญหานี้ส่วนใหญ่เกิดจากพิษที่เรียกว่าสารอนุมูลอิสระ ที่หลายๆคน ก็ยังไม่รู้ในรายละเอียดว่ามันมีที่มาและเป็นไปอย่างไรในร่างกายเรา รวมทั้งฉันในช่วงก่อนหน้านี้ด้วยเช่นกัน)
บันทึกหน้าฉันจะมาเล่าใน 3 หัวข้อต่อไปนี้ให้ละเอียดขึ้นเพื่อจะได้พอเข้าใจและไปหาความรู้เพิ่มเติมต่อถ้าสนใจจริงๆ
4. สารพิษมาจากไหน (เราต้องรู้ และหลีกเลี่ยง หรือกำจัดออกจากชีวิตให้มากที่สุด ในส่วนที่หลีกไม่ได้ก็ต้องช่วยให้ร่างกายขับออก) ที่แน่ๆ ทุกวันนี้มีสารพิษที่เราได้รับและไม่รู้ว่าเป็นพิษต่อร่างกายอยู่เยอะมาก ทั้งในที่ทำงาน ห้องนอน ห้องครัวและแม้กระทั่งห้องอาบน้ำซึ่งเป็นห้องล้างพิษทางกายแท้ๆ สำหรับบางคนที่ชีวิตที่ผ่านมามีปัญหาขั้นแพ้อาหารแบบสะสมไปบ้างแล้วเช่นฉันก็ต้องหลีกเลี่ยงประมาณ 3 เดือน จากนั้นค่อยๆปรับมารับมารับประทานกันใหม่ ทีละน้อยๆ
5. ร่างกายล้างพิษทางใดบ้าง อันนี้สำคัญมาก เพราะเมื่อเรารู้ เราจะไปช่วยหรือเร่งอวัยเหล่านี้ในการขับพิษออกให้หมด ไม่ให้คั่งค้าง แล้วเราจะสบายขึ้น เจ็บป่วยจากอาการต่างๆ ที่กล่าวมาน้อยลงจนไม่มีเลย และภูมิคุ้มกันและภูมิชีวิตเราจะดีขึ้น ฉันรวมไว้แล้วก็ 6 หนทางด้วยกัน
5.1 ทางลมหายใจ
5.2 ทางไต
5.3 ทางระบบขับถ่ายอุจจาระ (ลำไส้)
5.4 ทางผิวหนัง (ต่อมเหงื่อ ต่อมน้ำมัน)
5.5 ทางระบบไหลเวียนของน้ำเหลือง
5.6 ทางตับ
6. เราจะช่วยร่างกายขจัดพิษที่คั่งค้างในร่างกายให้ออกไปก็ด้วยการเร่ง 6 กระบวนการนี้และเพิ่มเติมการล้างพิษที่จิตใจและจิตวิญญาณ เพื่อการสร้างภูมิชีวิตที่เข้มแข็ง รวมเป็น 8 หนทางล้างพิษ ที่เราทุกคนที่อยู่ในโลกยุคปัจจุบันควรรู้และควรทำเพื่อการดูแลกายและใจอันเป็นโครงสร้างสำคัญของชีวิตในการดำรงอยู่และเจริญพัฒนาต่อไปได้
การสรุปมาครั้งนี้ และที่จะสรุปต่อในบันทึกหน้า หลายส่วนได้มาจากตำรา ได้แก่ หนังสือหลายเล่ม อาทิ
• คู่มือการล้างพิษ ( Detox Handbook) DR.JENNIFER HARPER ผู้เขียน นายแพทย์พงศ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ ผู้แปล
• ล้างพิษ 10 วัน โดย พญ.ลลิตา ธีระสิริ
• และคู่มือล้างพิษอีกหลายเล่มของนายแพทย์บรรจบ ชุนหสวัสดิกุล
• รวมถึงการตรวจเลือด การได้รับคำปรึกษาจากนายแพทย์บัญชา แดงเนียมจาก Holistic Medical Centre
• และจากความเข้าใจในการศึกษาปัญหาของตนเองและลูกด้วย การทดลองทำด้วยตัวเอง
สวัสดีค่ะคุณแหวว
หายไปนานเลยค่ะ ไปล้างพิษมานี่เอง...สวยเชียวค่ะ ชอบใจจัง ^ ^
น่าสนใจนะคะ เบิร์ดติดตามมาตั้งแต่บันทึกว่าด้วยภูมิแพ้สะสมของคุณแหววแล้ว พอมาบันทึกนี้ยิ่งสนใจมากขึ้น คงต้องหาเวลาไปซื้อหนังสือเล่มที่คุณแหววแนะนำแล้ว..ในการล้างพิษทำอย่างไรบ้างคะ ใช้เวลาเท่าไหร่ ฯลฯ
ขอบคุณสำหรับการกลับมาและข้อมูลที่น่าสนใจนะคะ และยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ ^ ^
|
สวัสดีค่ะคุณเบิร์ด
คิดถึงป้าแว๋วมาก ๆ เลยคะ
ป้าแว๋วก็ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะคะ
รักเคารพและมาพร้อมกับคำว่าห่วงใยอยู่ตลอดเวลาคะ
( สำหรับกุหลาบนี้ แทนความห่วงใยจากเด็กน้อยนะคะ )
ถ้าป้าแว๋วว่าง ๆ ก็แวะเวียนไปเที่ยวบล็อกแพรบ้างนะคะ
( เพื่อแพรจะได้สะดวกในการเข้ามาชมบล็อกป้าแว๋วคะ
คิดถึงเหมือนกันค่ะ...แต่ก็ต้องอดใจไว้...ด้วยหน้าที่เฉพาะหน้า ขอบคุณนะคะที่นำเรื่องราวดีๆ มาฝากด้วย...
ไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนที่ blog ตั้งนาน ก้าวหน้าไปมากๆ ต้องชื่นชมจริงๆนะเนี่ย และก็ขอบคุณสำหรับช่อดอกไม้ด้วย...ถูกใจค่ะ...
สวัสดีค่ะน้องแจ๋วแหวว หายไปนานจริงๆนะคะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ ใจคิดถึงกันอยู่เสมอๆ ยิ่งทราบว่าหายไปเรื่องดูแลสุขภาพทั้งของตัวเองและลูก แล้วยังได้นำมาเล่าแบ่งปันความรู้อย่างนี้ ต้องขอบคุณมากเลยค่ะ
ตั้งใจล้างพิษอย่างเอาจริงเอาจังถึงได้สวยปิ๊งอย่างในรูป ใช่หรือเปล่าคะ จะได้มีกำลังใจทำตามบ้าง^_^
สวัสดีค่ะ พี่นุช คุณนายดอกเตอร์
สวัสดีค่ะ น้องรักษ์ RAK-NA
สวัสดีค่ะ ป้าเจี๊ยบ ป้าเจี๊ยบ
ขอบคุณค่ะกับการมาเยี่ยมเยือนและทักทาย...ขอบคุณกับคำชมด้วยค่ะ...(จะว่าไปก็เขินนะคะเนี่ย...)
มาอวยพรค่ะ โชคดีๆๆค่ะ
สวัสดีค่ะคุณน้อง-อาจารย์ขจิต ขจิต ฝอยทอง
สวัสดีค่ะคุณพี่ Sasinanda
ขอบคุณค่ะน้องรักษ์ RAK-NA และน้องแพร รพีพรรณ ที่นำดอกไม้และความรู้สึกดีๆ มามอบให้ ขอให้มีความสุขมากๆเช่นกันนะคะ และขออภัยที่มิได้ไปเยี่ยมเยียนกันบ่อยๆด้วยค่ะ..