Side Effect หรือ Side Reaction ของคนแซ่เฮ: เวลาชาวบ้านคุยเรื่องกินยาสมุนไพร คุณหมอและนักโภชนาการมักเตือนว่าจะมีผลข้างเคียงนะ ทางที่ดีให้เอาไปตรวจสอบคุณค่าและทำกระบวนการ purify ก่อน อะไรทำนองนั้น แม้แต่ยาที่คุณหมอสั่งให้คนไข้ ก็มักจะสอบถามคนไข้ก่อนว่าแพ้ยาอะไรบ้าง ฯ เรื่องอื่นๆก็เช่นกัน เช่นหน่วยงานหนึ่งทำถนนอย่างดีตัดผ่านทุ่งนา ชาวประชาชื่นชม คราวนี้ได้เส้นทางเข้าออกหมู่บ้านสะดวกมากขึ้น แต่พอฝนตกหน่อยเดียวน้ำท่วมซะแล้ว เพราะถนนที่ชื่นชอบใจนั้นไปขวางทางไหลของน้ำตามธรรมชาติ ฯลฯ
ทั้งๆที่คุณหมอไม่มีเจตนาจะทำให้คนไข้ต้องเผชิญปัญหาแพ้ยา ทั้งที่หน่วยงานก่อสร้างถนนไม่มีเจตนาจะไปทำสิ่งก่อสร้างขวางทางน้ำ ล้วนเจตนาดีทั้งสิ้น แต่มันก็มีสิ่งที่เรียกว่า “ผลที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิด”
ผมกำลังสะท้อนมุมมองที่อาศัยประสบการณ์การทำงาน ว่าการกระทำเรานั้นมีผลสองด้าน หรือมากกว่าเสมอ โดยไม่ได้เจตนา การสะท้อนในบันทึกนี่ก็เสี่ยงพอควร แต่อาศัยเจตนาดีนะครับ..
ครั้งหนึ่ง..เมื่อหลายสิบปีก่อนผมกำลังคลั่งหลักการเครดิตยูเนี่ยนที่สร้างคนให้มีสำนึกแห่งการอยู่ร่วมกัน มีจิตตารมณ์แก่กันและทำกิจกรรมร่วมกันโดยการออมเงินคนละเล็กละน้อยตามกำลังทรัพย์ที่แต่ละคนจะพอออมได้ ผมตระเวนขายความคิด ปลุกระดมสำนึกและสร้างความหวังที่ดีกว่าให้แก่คนชนบทในอำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่เพื่อร่วมกันจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ เราทำงานทั้งกลางวัน กลางคืนแล้วแต่ชาวบ้านจะว่าง
ในที่สุดก็มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งก็ร่วมกันจัดตั้งกลุ่มเครดิตยูเนี่ยนขึ้น ในระดับหมู่บ้าน และดำเนินกิจกรรมกลุ่มมาจนทุกวันนี้ แต่เส้นทางเดินของกลุ่มนั้นล้มลุกคลุกคลาน สารพัดจะมีปัญหามาให้แก้ ช่วงเวลา 5 ปีที่ผมคลุกคลีอยู่นั้นเราเองก็มือใหม่ มีแต่อุดมการณ์ทำงานชนบท เพื่อนๆเข้าป่ากันหมด การเรียนรู้เรื่องกระบวนการพัฒนาองค์กรชุมชนยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก มีแต่เจตนาดี ปรารถนาดี และเข้าถึงชาวบ้านจนเรียกกันเป็นลูกเป็นแม่ เป็นพ่อ เป็นอ้าย จะไปนอนบ้านไหน กินบ้านไหนก็ได้ ทั้ง 4 ตำบลของอำเภอสะเมิง
แต่แล้ววันหนึ่ง ขณะที่ผมนั่งเขียนรายงานอยู่ที่สำนักงานโทรมๆหน้าอำเภอ ชาวบ้านก็เดินเข้ามาหา บอกว่าจะมาปรึกษาเรื่อง การทำมาหากิน เรื่องการเกษตร .... เราคุยกันพักหนึ่ง ผมก็ถามว่า
....พ่อเป็นสมาชิกกลุ่มเครดิตยูเนี่ยนหรือเปล่า...
โอย..พ่อไม่ได้เป็นหรอก “พวกกลุ่มน่ะหรือ..ฯลฯ...” ชาวบ้านท่านนั้นตอบ
ผมอึ้งไปเลย เมื่อพ่อคนนี้ได้แสดงทัศนคติที่มีต่อกลุ่มเครดิตยูเยี่ยนที่ผมปั้นมากับมือ....
ภาพมันออกมาอย่างนี้ครับ เราเองก็บ้าแต่กลุ่ม อะไรก็กลุ่ม กลุ่ม ให้น้ำหนักการทำงานที่กลุ่ม คนนอกกลุ่มจะจางลงมา กิจกรรมส่วนใหญ่ก็ลงไปที่กลุ่ม ไปเยี่ยมไปหาก็ไปที่กลุ่ม ทั้งๆที่คนนอกกลุ่มก็อยากให้เราไปคุย ไปหา ไปแวะ เยี่ยมเยือนบ้าง อ้าว...ก็หลักการทำงานนั้นให้ค้นหากลุ่มสนใจ แยกแยะประชากร กลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าหน่วยงานไหนก็หากลุ่มทั้งนั้นแหละ กลุ่มสนใจ กลุ่มผู้ผลิต กลุ่มทอผ้า กลุ่ม OTOP กลุ่มเครือข่าย ร้อยแปด พันเก้า กลุ่ม ฯลฯ
หรือว่างานพัฒนานั้นแหลมคมมากๆ ดั่งมีดที่เข้ามาผ่าตัดชุมชนออกเป็นก้อนๆ แล้วเลือกทำงานกับเฉพาะกลุ่ม เฉพาะก้อน นอกกลุ่มนอกก้อน ไม่สนใจ ไม่แตะ ไม่สัมผัส ไม่ใกล้กราย มันก็มีผลออกมาเป็นว่า “คนของกลุ่ม กับคนนอกกลุ่ม”
ชุมชนดั้งเดิมไทยเรานั้น มีระบบเจ้าโคตร เรามีกลุ่มผู้เฒ่า ที่ชุมชน เคารพไหว้สา เมื่อถึงงานบุญประเพณี กลุ่มผู้เฒ่าจะมานั่งเป็นประธานให้ลูกหลานในชุมชนได้รดน้ำ กราบไหว้ขอพร ไม่ได้แบ่งเชื้อชาติ ตระกูล เผ่าพันธุ์ ผู้เฒ่าของเราประคับประคองชุมชน สังคมมาอย่างนี้ แต่การพัฒนาสมัยใหม่เข้ามาแบ่งคนออกเป็นกลุ่ม เป็นองค์กร เป็นส่วนๆ โดยมีเจตนาดีทั้งสิ้น มิได้ต้องการจะแบ่งแยกแต่อย่างใด แม้แต่น้อยนิด
แต่
เรารู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเปล่า…
หลักการทำงานพัฒนาสังคมของเรา หลุดออกมาจากโครงสร้างสังคมพี่น้องดั้งเดิมหรือเปล่า แล้วโฆษณาว่านี่คือหลักการใหม่ ที่ก้าวหน้าที่สุด แต่ต่อไม่ติดกับฐานเดิมหรือเปล่า…
หลักการเหล่านี้เป็น “การนำเข้า” มิได้ปรับเข้ากับชุมชน หรือเปล่า…
การออกแบบงานต่างๆที่เกี่ยวกับชุมชนนั้น เราจะเอาเสียงนกเสียงกาอย่างนี้มาคิดบ้างหรือเปล่า…
ท้ายที่สุด
กลุ่มคนแซ่เฮ และกระบวนการเฮฮาศาสตร์ กระบวนการกอดของเรา ที่ผมปิติข้ามวันข้ามคืนอยู่นี่ จะเอาเสียงสะท้อนเหล่านี้มาพิจารณาได้อย่างไรบ้าง..
เป็นโจทย์สำหรับเพื่อน g2k ช่วยกันแลกเปลี่ยนครับ
หรือว่างง อิอิ..
เก็บเอามาสานต่อ พี่เองก็หลุดมามาก เมื่อมานั่งทบทวน แลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ก็มองเห็นอะไร อะไร ที่ช่วงทำงานมองไม่เห็น หรือไม่ชัด หรือมีกรอบการทำงานขวางกั้นอยู่ ไม่อิสระที่จะปรับเปลี่ยนไปตามที่เหมาะที่ควรกว่า
ใครมองเห็น หยิบเอาไปใช้ ก็ได้ประโยชน์ไปครับ