ชยสาโรภิกขุ : วิถีพุทธ วิถีแห่งสากล (๑)
อาจไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าชาวตะวันตกสักคนหนึ่งจะเข้าถึงแก่นแท้แห่งพุทธศาสนา
อาจไม่ใช่เรื่องยากเกินเป็นไปได้ ในเมื่อพุทธศาสนานั้นมิใช่ศาสนาแห่งความเชื่อ หากแต่เป็นศาสนาแห่งการแสวงหา
พระฝรั่งวัดป่ารูปหนึ่งประกาศกล่าวอย่างหนักแน่นไว้ในเบื้องแรกว่า การได้พบวิถีพุทธ คือความเป็นที่สุดแห่งชีวิตของท่าน เป็นความพอ และความพอดี
เวลาผ่านมานานร่วมสามสิบปี หลังจากเดินทางออกจากประเทศอังกฤษแผ่นดินเกิด มายังประเทศไทยเพื่อบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ปวารณาตนเป็นศิษย์หลวงพ่อชา ปัจจุบันจำพรรษาเพียงลำพังในที่พักสงฆ์ ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
วิถีแห่งพุทธยังคงเป็นที่สุดแห่งชีวิต หากแต่มีรายละเอียดและความหมายใหม่ๆ ในการเข้าถึงสารัตถะ
ด้วยการไตร่ตรอง เพ่งพินิจ ท่านประจักษ์แจ้งว่า พุทธศาสนาเป็นระบบการศึกษา เป็นระบบการศึกษาที่สมบูรณ์ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ เป็นระบบการศึกษาที่พาดิ่งลึกเข้าไปในตัวตนอันกว้างใหญ่แห่งทุกข์ เป็นการศึกษาเพื่อมุ่งพัฒนาชีวิตในทุกๆ ด้าน
เมื่อพุทธศาสนาเป็นระบบการศึกษา ฉะนั้นเป็นไปไม่ได้หรือที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับการศึกษาสมัยใหม่
ชยสาโรภิกขุ ได้แสดงทัศนะเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน พุ่งตรงเข้าสู่หัวใจ
มองย้อนกลับไปยังหนทางความรุนแรงของมนุษย์ในประวัติศาสตร์ จุดเริ่มต้นมาจากความเชื่อ มิได้มาจากการไตร่ตรอง การแบ่งแยกจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากจะมีหนทางใดที่พามนุษย์พ้นไปเสียจากความแตกต่างนั้น
แนวทางนั้นย่อมมีความเป็นสากลอย่างที่สุด
ในความเป็นสากลแห่งพุทธศาสนา สำคัญต่อระบบการศึกษา จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ เกื้อหนุนการพัฒนาชีวิต นำไปสู่สัมมาทิฐิ ลดความรุนแรงยุ่งเหยิงบนโลก
แต่เหตุใดกันเล่า ผู้คนที่ถือกำเนิดในแผ่นดินที่ความจริงสากลสำคัญนี้หยั่งราก จึงเคยคิดกังวลแต่เพียงว่า
สิ่งนี้ยังไม่ได้ถูกบัญญัติเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญ!!
คัดลอกจากบทสัมภาษณ์ ชยสาโรภิกขุ
วารสาร ฅ.คน
ปีที่ 3 ฉบับที่ 7 (31) พฤษภาคม พ.ศ. 2551
สวัสดีครับ
สวัสดีครับพี่บ่าวที่เคารพ
ผมได้แวะเข้าไปอ่านบันทึกที่พี่บ่าวแนะนำแล้วครับ ขอบอกว่าชอบมากครับ
ชีวิตนี้ ผมได้แต่ศึกษางานจากท่านเหล่านั้น แต่ลึกๆ ก็อยากไปกราบท่าน แต่ทำไม่ได้เสียแล้ว เพราะท่านไม่อยู่ให้ทำแล้ว
ล่าสุดที่เราได้สูญเสียท่านอาจารย์ปัญญาฯ ไปนั้น รู้สึกว้าเหว่ครับ พระดีๆ ที่กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าท่านคือเพชรแท้ๆ นั้น ได้จากเราไปจนเกือบหมดแล้วครับ
ถีงจะมีพระหลายรูปที่พอจะเชื่อได้ว่าท่านคงเป็นกัลยาณมิตรได้นั้น ก็เป็นอันว่าแน่ใจได้ยาก เพราะหลายท่านเมื่อกาลเวลาผ่านไป ลายก็ออก
ช่างว้าเหว่จริงๆ หรือใกล้ถึงเวลา ตัวใครตัวมัน กันแล้วครับ?
ธรรมะสวัสดีครับ
สวัสดีค่ะ
^ ^ ดีใจที่ได้เห็นบันทึกค่ะ สบายดีนะคะ
เห็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัิติชอบ สืบทอดพระพุทธศาสนาก็เกิดปิดิตามไปด้วย
ขอบคุณนะคะ
แต่เหตุใดกันเล่า ผู้คนที่ถือกำเนิดในแผ่นดินที่ความจริงสากลสำคัญนี้หยั่งราก จึงเคยคิดกังวลแต่เพียงว่า สิ่งนี้ยังไม่ได้ถูกบัญญัติเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญ!!
นั่นซิ...!
จะติดตามตอนต่อไปขอรับ
สวัสดีครับอาจารย์
ธรรมะสวัสดีครับ
ประเด็นนี้ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ
ศาสนากับการเมืองควรแยกออกจากกัน
เขียนเมื่อไหร่เกิดวิวาทะเมื่อนั้น
------------------------------
ขอบคุณครับ
ธรรมะสวัสดีครับ
สวัสดีครับ ไม่ได้คุยกันนานเลยนะครับ สบายดีนะครับ
ประเด็นเรื่องนี้ละเอียดอ่อนจริงๆ ขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ
ผมคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวเนื่องกัน เราจะแยกศาสนาและการเมืองออกคงยาก มิหนำซ้ำการเมืองควรใช้ศาสนาเป็นฐานด้วยซ้ำ หรือจะใช้เป็นเครื่องมือก็ได้
เพราะถ้าเอาศาสนามาใช้อย่างถูกต้องแล้วปัญหาคงไม่เกิดอย่างปัจจุบันหรอกครับ
จะบรรจุหรือไม่บรรจุก็เป็นประเด็นหนึ่งที่ต้องจับเข่าคุยกัน อาจดีหรือไม่ดีก็ได้ ขึ้นกับสถานการณ์
ปัญหาอยู่ที่คนนี่แหละครับว่าเอามาใช้อย่างไร
มีดหนึ่งด้าม ถ้าอยู่ตามประสามันก็ไม่เป็นไร ไม่มีผลได้ผลเสียอะไร แต่เมื่อใดที่พ่อครัวหยิบมาใช้ในงานของตนก็เป็นประโยชน์ แต่ถ้าผู้ร้ายหยิบขึ้นมาใช้ในงานของตนเมื่อไร ปัญหาหนักก็ตามมา
ปัญหาก็อยู่ที่คนนี่แหละครับ จะพระ จะฆราวาส ก็คนทั้งนั้น
ประสาอะไร แค่รัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน มาตราเดียวกัน ยังตีความกันคนละทางสองทาง
ฉีกแล้วเขียน ๆๆๆ มันก็เปล่าประโยชน์
ไม่มีมันเสียเลยไม่ดีกว่าหรือครับ? อิอิ ถามเล่นๆ น่ะครับ
ธรรมะสวัสดีครับ