วันสิ่งแวดล้อมโลก : 5 มิถุนายน ของทุกปี
วิถีอิสระปัจเจกชน วิถีการพึ่งพิงป่า ยังคงฝังลึกในหมู่พี่น้องชาวโซ่ดงหลวง
ประโยคที่ขึ้นต้นไว้ข้างบนเป็นข้อสรุปของผู้บันทึก ในวาระที่สองวันนี้มีโอกาสได้กลับไปทำงานในดงหลวง แม้ว่าจะมีเวลาเพียงน้อยนิด และได้พบปะเฉพาะพี่น้องชาวโซ่บ้านพังแดง หรือในพื้นที่โครงการสูบน้ำห้วยบางทราย แต่อย่างไรก็ยังคงได้มุมมองได้แง่คิดสะท้อนวิถีทางสังคมบางบริบทมาแลกเปลี่ยนอยู่ไม่มากก็น้อย
แน่นอนว่าบรรยากาศความเป็นกันเองใสซื่อ แบบชาวโซ่ของพี่น้องยังคงคุ้นเคยอยู่เหมือนเดิม พี่น้องชาวโซ่พูดตรงๆ แต่จริงใจ ภาษาที่พี่น้องคุยกันในหมู่พวกผมยังคง(พอ)เข้าใจ ไม่ถึงกับ “ตะดัง = ไม่รู้” พี่น้องที่ผมเคยหยิบยื่น ปุ๋ยหรืออุปกรณ์การเกษตรให้ยังคงจำได้และมาบอกอย่างซื่อๆว่า “หัวหน้ามาก็ดีแล้วเดี๋ยวแม่บ้านกลับจากไปหาของป่าแล้วจะเอาเงินมาผ่อนคืน” ความซื่อสัตย์มีอยู่ในหมู่ชาวโซ่เสมอผมได้แต่บอกว่า “ไม่ต้องๆให้ถือว่าผมลงทุนร่วมกับลุงก็แล้วกัน ในเมื่อขาดทุนก็แล้วกันไป หากจะเอามาใช้คืนให้ตามกันมาครบทุกรายก่อน หากใช้คืนบางคนเดี๋ยวจะหาว่าผมลำเอียง” อันนี้ผมจำมาจากเมื่อครั้งที่ไปเดินเยี่ยมแปลงเมื่อปีก่อน พี่น้องรายที่ผมเดินผ่านไม่ได้แวะไปคุยด้วยจะโวยวายทุกครั้งว่า “ทำไมอาจารย์ไม่แวะดูแปลงผม” ความตั้งใจที่จะแวะเยี่ยมเฉพาะแปลงมีปัญหาให้แก้ไขก็เป็นอันพับไป คราวนั้นก็ต้องแวะเยี่ยมทุกๆแปลง การเยี่ยมเยียนให้กำลังใจจำเป็นสำหรับนักส่งเสริมผมว่านะ
ในที่ประชุมกลุ่มเมื่อวาน ชาวญี่ปุ่นค่อนข้างแปลกใจ และกังวลต่อจำนวนเกษตรกรผู้ปลูกพืชฤดูแล้ง ที่ลดจำนวนลงมาก แต่สำหรับผมนั้นเข้าใจดีกับเหตุผลซื่อๆของพี่น้อง เช่น “ไม่คุ้มค่าเหนื่อย” คำๆนี้มีความหมายมากมาย เพราะเมื่อถามลึกลงไปอีกก็พบว่า
· ปลูกยาสูบ มะเขือเทศ ต้องอยู่ในไร่นาทุกวัน ไม่ได้เข้าป่าหายิงนกยิงบ่าง
· ปลูกพืชขายเขาชอบกำหนดวันซื้อวันขายไม่เป็นอิสระเหมือนไปหาของป่า
· ปลูกมันสำปะหลังดีกว่า ปีก่อนราคาดี แถมยังไม่ต้องดูแลมาก มีเวลาพักผ่อนไปหาของกินจากป่า
· ไปหาของป่า เช่น ขี้ซี (wood resin; ผู้เขียน) ได้รายได้มากกว่าปีก่อนแม่บ้านผมไปคนเดียวขายได้สามพันหก เพื่อนบ้านที่มีลิงบางคนหาได้หมื่นกว่าบาท
สรุปก็คือพืชที่ส่งเสริมต้องไม่ใช่ประเภทเกษตรประณีตที่ต้องใช้เวลามาก และต้องมีรายได้สูงกว่ามันสำปะหลัง หรือสูงกว่าการหาของป่า
“มันสำปะหลังก็มันฯ” ผมพึมพำกับตัวเอง ความจริงมันฯก็ไม่ขี้เหร่หากเรามีวิธีการจัดการ การปลูกแบบอนุรักษ์ดิน และการเพิ่มผลผลิต
เมื่อเช้าก็เลยจัดประชุมปรึกษาหารือกัน มีผู้สนใจมาฟังหลายสิบคน (บางคนมาเพราะเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ “หัวหน้าเป ลี่ ยน”
· พี่น้องทุกคนปลูกมันฯกันอยู่แล้ว
· หลายรายทดลองใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพในมันสำปะหลังทั้งแบบน้ำ และแบบแห้ง
· บางรายกำลังทดลองใช้ปุ๋ยน้ำที่บริษัทเอกชนเอามาโฆษณาว่าจะได้ผลผลิตสามสิบสี่สิบตันต่อไร่
· ผมได้เล่าถึงงานทดลองที่มีรายงานว่าหากไถดินลึก ด้วยไถสิ่วแล้วจะได้ผลผลิตสูงขึ้น พร้อมทั้งย้ำให้พี่น้องทดลองใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ผลิตเอง หรือปุ๋ยพืชสด เพื่อลดการลงทุน รวมถึงการทดลองปลูกมันฯหลังการทำนา
· บริษัทโรงงานผลิตแป้งมันของชาวญี่ปุ่น มาเสนอรับซื้อผลผลิต มาแนะนำเทคนิคชั้นสูงในการปลูกมันซึ่งต้องใช้ปุ๋ยเฉพาะของเขา ลงทุนไร่ละสามสี่พันบาท โดยเขาพร้อมจะลงทุนค่าปุ๋ยค่าเตรียมพื้นที่ให้ แต่จะขอแบ่งผลผลิตจากเกษตรกร
· ผมได้ต่อรอง และเสนออีกเงื่อนไขหนึ่งคือ ขอให้มาไถที่ให้เกษตรกร และให้เงินยืมซื้อปุ๋ย เงินค่าจ้างแรงงานขุดมันฯ แต่เกษตรกรต้องขายผลผลิตให้โรงงานในราคาตลาด
· หลังจากได้รับฟังข้อเสนอ พี่น้องหันหน้าเข้าคุยกันด้วยเสียง “ในฟิล์ม” จนผมแปลไม่ทัน
· ได้ข้อสรุปว่า ไม่อยากกู้เงินบริษัท อยากไถที่เอง ขอใช้วิธีปลูกของตนเอง เพียงแต่ให้บริษัทมารับซื้อในราคาเป็นธรรมก็พอแล้ว
· แต่หาก “หัวหน้าเป ลี่ ยน” จะมาพาทดลองปลูกวิธีใหม่ ก็มาได้เลย ยินดี อยากจะดูเหมือนกัน
ดูสิครับว่า พี่น้องชาวโซ่ของผมจ๊าบเพียงใด ไม่อยากเป็นหนี้ ขอเรียนรู้เอง แต่ก็ยอมรับในตัวบุคคล
บันทึกนี้ได้พยายามจะถอดรหัส แนวคิด และวิถีชาวโซ่ หรือไทบรู ได้เป็นรายกรณีตามข้างบนไว้แล้ว แม้นไม่อาจเขียนบทสรุปรวบยอดได้ แต่ผมคิดว่าบันทึกเรื่องเล่านี้ คงสามารถให้แง่คิดต่อนักส่งเสริมการเกษตร นักพัฒนา ได้บ้าง...สะกิดท่านได้สักนิดก็ยังดี
เพราะพี่เปลี่ยนมีแต่ความจริงใจ ชาวบ้านจึงยอมรับนับถือ
อ่านบันทึกแล้วรู้สึกอบอุ่นครับ คิดถึงครับ
ดีใจๆๆพี่เปลี่ยนได้พบญาติแล้ว อิอิๆๆๆ
อ้ายเปลี่ยน
ราวสัปดาห์ที่แล้วไปเยี่ยมบ้านเพื่อนที่ ครบุรี เมืองโคราชมา
เขาปลูกมันสัมปะหลังกันสุดลูกหูลูกตา ประมาณว่าอำเภอแห่งการปลูกมันฯ
และที่แน่ ๆที่จะตามมาคือ เมืองแห่งสารเคมีและยาฆ่าหญ้า
น่ากลัวจริง ๆ
ตอนนี้แถวบ้าน ...ไร่มันสำปะลัง แทบหายเกลี้ยงแล้วนะครับ
เมื่อหลายสิบปี ต้นยูคามาแทนที่ - ถัดจากนั้นก็เป็น ยางพารา ..
ทุกวันนี้ ไร่อ้อยคืบขยายเข้ามาอีกครั้ง
บางเวลา ผมกลับบ้านก็ไม่ลืมที่จะแวะไปดูต้นยางพาราพลัดถิ่น(จากใต้มาอีสาน) เพราะมันเหมือนกับคนอีสานอีกหลายคนที่คิดถึงบ้านแต่ต้องเผชิญชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่
มาสะดุด คำว่า "ขี้ซี" น่าจะเป็น ขี้ตั๋งนี หรือเปล่าผมไม่แน่ใจ อ่านบันทึกอ้ายเปลี่ยนได้เฮียนฮู้ดีแต้ๆครับ
เรื่องราวของชาวโซ่ หากได้เรียงร้อยผ่านคนพื้นที่ คนทำงานแบบอ้าย คงน่าอ่านมากๆ อย่าลืมมีเวลาเขียนหนังสือไว้ให้น้องๆได้อ่านได้ผ่อพ่องเน้อครับ
กึ้ดเติงหาครับอ้าย
สวัสดีค่ะคุณเปลี่ยน ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นานค่ะ หนูยึดถือเป็นชีวิตค่ะ