เราสามารถเข้าใจและข้ามพ้นความตายนี้ได้อย่างไร?
เราจะทำความเข้าใจเรื่องราวเล่านี้ได้อย่างไร? สังคมบางส่วนอาจจะเลือกเข้าใจว่า เพราะพวกเขาเหล่านั้นลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ดังนั้นถ้าเข้าเมืองถูกกฎหมายเหตุการณ์ดังกล่าวก็จะไม่เกิดขึ้น ซึ่งเราก็จะต้องหาคำตอบมาตอบสถานการณ์ที่กล่าวมาแล้วว่า อำนาจรัฐ “พม่า” ก็ไม่ได้ใยดีต่อพวกเขามากนัก นอกจากจะไม่ปกป้องแล้วหลายครั้งเองยังเป็นผู้หยิบยื่นความตายและชีวิตที่ยากลำบากให้ ในขณะที่อำนาจอธิปไตยแห่งรัฐไทยก็ไม่อาจจะทำให้ “อำนาจอธิปไตยแห่งรัฐ” หรือ “ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย” ในนิยามแบบรัฐไทย ถูกกลุ่มคนที่ด้อยอำนาจทางการเมืองเหล่านี้มาล่วงละเมิดได้
แล้วอะไรเหล่าจะทำให้เขาสามารถเดินทางเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย เฉกเช่นผู้เดินทางข้ามแดนคนอื่น ๆ ได้ เพราะดูราวกับว่าช่องทางเหล่านั้นได้ถูกปิดไปแล้ว ด้วยอำนาจแห่งรัฐทั้งสองฝากฝั่ง
ใช่หรือไม่ว่าคนทั้งสองกลุ่มนี้อาจจะต่างกันเพียงแค่คนกลุ่มหนึ่งถือกระดาษที่มีตราสารแห่งอำนาจรัฐประทับไว้เท่านั้น
ในอีกด้านหนึ่งของสังคมก็อาจจะมองประเด็นจากแง่มุมแห่งความเป็นมนุษย์ มองเห็นความทุกข์ยาก มองเห็นความเป็นไปในชีวิตของมนุษย์ ก็ไม่อาจจะทะลุผ่านกรอบอำนาจของแนวคิดแรกได้ สิ่งที่พอทำได้ก็คือให้พวกเขาเหล่านั้นได้รับสิ่งที่ควรจะได้รับเมื่อประสบเหตุการณ์ เท่าที่ความปราณีของอำนาจที่ตั้งตระหง่านจะเอื้ออาทรมาให้เท่านั้นเอง
ในภาวะความอึดอัดที่สังคมไทยต้องเผชิญกับสองสิ่งพร้อมกัน นั่นคือกระแสแห่งโลกาภิวัฒน์ที่สิ่งต่าง ๆ ไหล่ผ่าน ข้ามรัฐ ลอดรัฐอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเงินตรา การสื่อสาร เทคโนโลยี อุดมการณ์ และการเคลื่อนย้ายของคน ในขณะที่การเคลื่อนย้ายของผู้คนที่เราประสบอยู่กลับเป็นผู้คนที่อำนาจอันตระหง่านอยู่ทั้งสองฟากฝังต่างมิพึงปราถนา แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธอยู่ในที
พวกเขาเหล่านั้นจึงเป็นผู้คนที่ “อยู่ระหว่าง” (In -between) พรมแดนสองฝั่งที่ผลัดกันผลักไปผลักมาราวกับเป็นตุ๊กตาล้มลุก มากที่สุดก็คงมายืนอยู่ได้เพียงชายขอบของระหว่างกลาง ที่พร้อมจะถูกผลักกลับไปเป็นตุ๊กตาล้มลุกเช่นเดิม
สิ่งที่จะช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์ดังกล่าวมากขึ้น อาจจะเป็นความเข้าใจในภาวะการ “อยู่ระหว่าง” ของพวกเขาเหล่านั้น เข้าใจว่าการจากมาของพวกเขาไม่ได้ราบรื่นเรียบง่าย เหมือนเวลาที่พวกเราจะจากบ้านไป และเข้าใจว่าเพราะความไม่ราบรื่นและไม่ปรกติของการจากลาก็ทำให้เขาเดินทางเข้ามาอยู่ร่วมกับพวกเราอย่างไม่ราบรื่น และ”ไม่ปรกติ” ตามข้อกำหนดของกฎหมายแห่งรัฐได้ และอาจจะทำให้เข้าใจว่าทำไมวงจรนี้จึงวนเวียนเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นอกจากนั้นแล้วหากเรามองในเชิงตั้งคำถามต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า มันเป็นวิกฤติและข้อจำกัดของอะไร
คำตอบนั้นอาจจะได้ว่า มันเป็นวิกฤติและข้อจำกัดของอำนาจการจัดการแห่งรัฐ ที่ไม่สามารถทำความเข้าใจและตอบปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ภายใต้กรอบคิดที่จำกัดแค่เส้นแดนสมมติของพวกเราและเขาเท่านั้น ทำให้เรามองไม่เห็นภาวะความเป็นสีเทาๆของความเป็นตัวเขา (ระหว่างความเป็นผู้ลี้ภัย ความเป็นแรงงานข้ามชาติ หรือความเป็นผู้ลี้ภัยที่มองไม่เห็น) ไม่เข้าใจภาวะของการ “อยู่ระหว่างกลาง” ของพวกเขาเหล่านั้น
หรือแม้จะเข้าใจเราก็ไม่อาจจะเปิดรับให้เขาขยับข้ามกรอบแห่งความเป็น “ระหว่างกลาง” ออกมาได้ นั่นก็อาจจะทำให้เราไม่สามารถที่จะมีจินตนาการต่อการแสวงหานโยบายหรือแนวทางที่เหมาะสมต่อการจัดการกับสถานการณ์เหล่านี้ได้ในช่วงที่ผ่านมา
ท้ายที่สุดความเข้าใจของพวกเราอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการยุติความตายที่อาจจะเกิดขึ้นใหม่เมื่อใดก็ได้ หรืออาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการมีจินตนาการชุดใหม่ต่อภาวะการณ์ข้ามพรมแดนแห่งรัฐ และพรมแดนแห่งความเข้าใจของพวกเรา
แม้เราไม่อาจจะก้าวข้ามพ้นความตายที่เกิดขึ้นในขณะนี้ แต่มันก็ทำให้เราตระหนักถึงความตายเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
ไม่มีความเห็น