หนังสือ The Top Secret ซึ่งเขียนโดย ทันตแพทย์สม สุจีรา เล่มนี้น่าสนใจมากๆ จนอยากให้อ่านกันหลายๆ คน แต่อ่านอย่างมีสติ เพื่อให้ปัญญาได้ฉายฉาน ไม่ด่วนตัดสินว่าดีมาก หรือไม่ดีโดยไม่มีเหตุและผลเป็นที่ตั้ง ซึ่งสำหรับฉันแล้ว จะขอกล่าวถึงเฉพาะที่ประสบกับตัวเอง และคิดว่าเป็นส่วนดีที่ได้อ่านและปฏิบัติ อันเป็นมุมมองบางมุม ที่แสดงประโยชน์จากการได้อ่านหนังสือเล่มนี้มาเท่านั้น เชื่อแน่ว่า มนุษย์ทุกคนมีความต่างกันโดยสิ้นเชิง ผู้ที่อ่านหนังสือเล่มนี้เหมือนกันก็ย่อมได้ข้อคิดเห็นที่ต่างกัน ส่วนผู้อ่านถ้าจะให้ได้ความสุขจากการอ่าน ก็เสนอแนะว่า ควรใช้หลักสุนทรียสนทนากับผู้เขียน ถือเป็นวงสนทนาเพื่อการสร้างปัญญาแห่งตนแบบสุนทรีย์ ด้วยผู้เขียนก็เขียนเรื่องและประสบการณ์ของตนเอง ผู้อ่านก็อ่านด้วยความตั้งใจ มีความสุขอันเป็นสมาธิขณะอ่าน ร่วมด้วยการไม่ตัดสินถูกผิด เพราะมันเป็นเรื่องจากมุมมองและประสบการณ์ของผู้เขียนไม่ใช่เรื่องและประสบการณ์ของผู้อ่าน ซึ่งเชื่อแน่ว่าถ้าผู้อ่านทำได้เช่นนั้น ก็จะมีความสุข หรือเฉยๆ ถ้าจิตเป็นกลาง อีกทั้งปัญญาก็จะรู้แจ้งด้วยความรู้ที่ตกผลึกกันเอง
เดอะท็อป ซีเคร็ต อธิบายกระบวนการทำงานของ กฎการดึงดูดของความคิด ในหนังสือ The Secret (หนังสือขายดีของอเมริกา) ให้กระจ่างชัด ด้วยหลักธรรมะ และหลักจิตวิทยาที่ละเอียดและซับซ้อน ซึ่งฉันเชื่อแน่ว่าคนที่อ่านย่อมตีความได้ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับความรู้และประสบการณ์ ฐานคิด ที่แตกต่าง ซึ่งรวมถึงความเข้าใจในเรื่องของธรรมะและจิตวิทยาด้วย ทั้งนี้กฎแห่งการดึงดูด อธิบายถึงสิ่งที่เกิดกับเราจากการที่เราคิดและดึงดูดสิ่งเหล่านั้นเข้ามาเอง (มี 2 ด้านที่เป็นหลักใหญ่ๆ คือ เราชอบหรือรู้สึกดีมากๆ กับ ไม่ชอบหรือเกลียดมากๆ)
ฉันรู้สึกขอบคุณอย่างมากมายกับคุณหมอผู้ทรงคุณวุฒิท่านหนึ่งในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดที่ได้กรุณาแนะนำให้อ่านหนังสือเล่มนี้โดยการโทรศัพท์มาบอก ในช่วงเดือนพฤษภาคม ด้วยความเป็นคนชอบอ่านหนังสือ พอรู้ว่าเป็นแนวไหน ก็รีบซื้อมาอ่าน เริ่มจากคำนำและทุกอักษรอย่างละเอียด แล้วก็มีอาการวางไม่ลง จนบางครั้งเมื่อถึงเรื่องใดที่เคยประสบ พบ หรือสงสัยกับเหตุการณ์ชนิดที่เคยพูด เคยบ่นกับมิตร สหายเป็นประจำว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แล้วเจอคำตอบในหนังสือเล่มนี้ พิจารณาด้วยหลักเหตุและผลประกอบกับความรู้ และสติปัญญาที่เคยเป็นมา ก็โทรศัพท์ไปเล่าให้ผู้ที่เคยพูดคุยในประเด็นที่เคยสงสัยให้ฟัง อันเป็นเรื่องที่น่าสนใจ อยู่อย่างมาก ซึ่งสำหรับฉันแล้วเพียงอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างเข้าใจ ไม่เกิดกิเลสในทางโลกมากนัก เพียงหวังที่จะมีความสุข ซึ่งก็เป็นกิเลสขั้นพื้นฐานของคนที่ยังต้องวนเวียนดำรงชีวิตแบบโลกๆ ก็เพียงพอแล้ว รู้สึกว่า หนังสือเล่มนี้มีคุณนานับประการ ด้วยเป็นหลักคิดที่ทำให้คนคิดบวก ซึ่งเป็นเหตุแห่งความสุข เกือบทุกขณะปัจจุบันที่ระลึกได้ แค่นี้ในการทำงานทุกวี่วัน หรือการดำรงอยู่ในสังคมอันเริ่มที่ครอบครัว ที่ทำงาน หรือชุมชน ก็น่าอยู่ขึ้นมากมายก่ายกอง
ยกตัวอย่างเรื่องที่ค้างคาใจในตนเองและสงสัย ซึ่งคงไม่อธิบายในรายละเอียดตามหนังสือ รวมถึง ผลจากการทดลองทำทั้งของตนเองและมิตรสหาย
• ตั้งแต่เด็กๆ แม่เคยบอกบ่อยๆ เมื่อฉันบ่นว่าไม่ชอบอะไร บ่อยๆ ด้วยความรู้สึกที่แรง ว่า “อย่าพูดว่าไม่ชอบ คนที่ไม่ชอบอะไรมักจะได้สิ่งนั้น” โธ่! ฉันไม่เชื่อหรอก ฉันมันพวกมีเหตุมีผล จนเป็นเด็กชอบเถียงในสายตาของแม่มาแต่เด็กๆ แต่เมื่อฉันโตขึ้นอายุ 18 ปี และ 25 ปี ฉันได้รับสิ่งที่ฉันไม่ชอบมากๆ เข้ามาในชีวิต อันเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต ทั้งๆที่ไม่น่าเป็นไปได้ ด้วยการยอมรับ ตัดสินใจ แบบไม่อยากทำ แต่ก็ต้องทำ ชีวิตที่เหลือฉันต้องใช้หลักธรรม และหลักคิดนานับประการเพื่อจัดการกับชีวิตให้มีสุข ปรับตัวปรับความคิดใหม่หมด เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ฉันเข้าใจอย่างแจ่มชัด เป็นแรงจูงใจให้คิดบวกมากกว่าคิดลบ
• สำหรับเรื่องทั่วๆไป ที่ฉันแปลกใจบ่อย ๆ และเคยพูดกับมิตรสหายบ่อย ก็มีอยู่หลายเรื่องอาทิเช่น อยากได้อะไร และคิดว่าจะต้องมีทั้งที่เหตุการณ์ลักษณะแบบนี้ไม่เคยมีมาก่อน แต่ฉันเชื่อว่ามันจะมีในอนาคต ฉันก็ได้รับ ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ๆ บางครั้งอาจประมาณ 2-3ปี แต่ถ้าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ นี้ เพียง 5 นาที หรือ ครึ่งชั่วโมงก็เห็นผล ยกตัวอย่างเช่น
o เรื่องที่จอดรถ ซึ่งเป็นเรื่องหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ เรื่องนี้น้องพยาบาลของฉันคนหนึ่งประสบกับตัวเขาเองเป็นประจำ เธอจะได้ที่จอดรถดีๆ ทั้งที่คนอื่นไม่มีที่จอดกันเสมอ ส่วนฉัน เมื่อใดคิดก่อนก็มี ถ้ายุ่งๆ ไม่ได้สนใจ ก็อาจไม่มี ส่วนไม่นานมานี้ ลูกสาวฉันอยู่ที่เชียงใหม่ อยากได้สบู่มะขาม ที่ฉันซื้อให้หลายก้อนเพราะรู้สึกใช้ดี และเพื่อนอยากใช้ด้วย ฉันก็รู้สึกเป็นปัญหาเพราะไม่ได้หาซื้อได้ทั่วไป ตอนซื้อครั้งนั้นก็ไปอบรมแล้วเขามาตั้งร้านขาย แล้วคราวนี้จะไปเอาจากที่ไหน ลูกสาวก็บอกว่าให้ดูที่เบอร์โทรจากบรรจุภัณฑ์ ฉันก็กะว่าจะทำเช่นนั้นอยู่ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มี ข้อความเข้ามือถือ ขึ้นต้นเป็นชื่อผลิตภัณฑ์ยี่ห้อนี้จะมาออกบู๊ธ ที่...วันที่....(โอ!! ฉันงงมาก เพราะไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนที่ผลิตภัณฑ์นี้ส่งข้อความมา) ใกล้วันหมดช่วงมาออกร้าน ฉันก็ได้ถูกส่งเข้าไปประชุมที่จังหวัดพอดี แต่คนละที่กัน โทรให้มาส่งได้สบายๆ )
o เมื่อฉันมีความคิดที่จะทำสิ่งดีๆ บางอย่าง อันเกิดจากสติปัญญาแจ่มใสตอนเช้ามืดที่ตื่นนอนบอกว่าควรจะทำอะไรในการพัฒนางานในช่วงนี้ที่เป็นปัญหาให้ลุล่วง ซึ่งบางครั้งรวมถึงการจัดกิจกรรมหรือจัดอบรมแบบ.....ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าจะมีใครที่ไหนที่เหมาะสม แต่เพียงในใจเป็นสุขรู้ว่าต้องมีอยู่แล้ว เพียงไม่นาน บางครั้งภายใน 2-3 วันก็มีอันให้ฉันได้พบกับบุคคลแบบนั้นโดยบังเอิญ ได้เข้าร่วม ได้จัดกิจกรรมหรือหลักสูตรดีๆ ที่คิดถึงว่าจะมี ซึ่งลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ และเป็นประจำ ซึ่งทำให้บางครั้งรู้สึกว่าตัวเองมีบุญอยู่บ้างที่อยากได้อะไรก็ได้ (แต่เป็นเรื่องดีๆ นะ มิได้เป็นกิเลสตัณหาเพื่อตัวเองแต่อย่างใด ส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อช่วยเหลือองค์กร และเพื่อพัฒนาตนเองซึ่งมีผลต่อองค์กร ครอบครัวและสังคม)
o เรามักได้พบและสัมผัสกับบุคคลที่มีจริต คล้ายกัน เข้ามาในชีวิตเรื่อยๆ ซึ่งเราอธิบายอะไรไม่ได้ ก็เพียงรู้สึกว่าบังเอิญ (บ่อยๆ) แต่ The Top Secret อธิบายเรื่องนี้ได้ละเอียดและสอดคล้องกับเรื่องของธรรมะและจิตวิทยาได้อย่างดี และหลายๆครั้งที่มีปัญหาค้างคาใจที่ต้องการคำตอบ คำอธิบายด้วยหลักการและเหตุผลเชิงความรู้ ก็จะบังเอิญให้ได้เจอหนังสือที่อธิบายและให้คำตอบได้อย่างชัดเจนโดยบังเอิญ แบบมิได้ตั้งใจ เช่น กรณีความสงสัยอาการปิ๊งแว๊บ ความคิดดีๆ ที่ผุดบังเกิดช่วง ตี 2-4 ที่อยากให้มีบ่อยๆ แต่บังคับไม่ได้ สุดท้ายก็ไปเจอหนังสือ "ปัญญาญาณ" พลิกอ่านแบบรีบๆ ก็เจอคำตอบ ให้ได้ซื้อมาอ่านและได้ประโยชน์อย่างมหาศาล รวมทั้งหนังสือธรรมะ หรืออื่นๆ ที่ได้มาโดยมิได้ตั้งใจ รวมถึง The Top Secret
o บางเหตุการณ์ที่เราอยู่ร่วมในการจับรางวัล หรือการได้รับรางวัล ถ้ากลับไปทบทวนดูในชีวิตพบว่า ตั้งแต่เด็ก ตำราเกี่ยวกับการทำนายชีวิตมักบอกว่าฉันเป็นคนไม่มีโชคลาภ ทำให้ฉันไม่เคยสนใจด้านนี้ เพราะคิดว่าตัวเองไม่มีโชค เรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นแน่นอน แต่ เมื่อมีการเข้าร่วมบางกิจกรรมที่มีการจับรางวัล ซึ่งฉันไม่ได้คิดอยากจะได้ แต่รู้สึกเหมือนมีความสุขว่าเรามีของเหล่านั้น (อย่างไรก็บอกไม่ถูก) ปรากฏว่า ฉันได้รางวัล ซึ่งเพิ่งจะผ่านมาไม่นานนี่เอง 2 ครั้งแล้ว (ครั้งแรกก่อนอ่านหนังสือไม่นาน ครั้งที่สองเป็นการพิสูจน์ทฤษฏีหลังอ่านหนังสือ ในการประชุมอบรมเขาแจกเสื้อและกระเป๋า ฉันรู้สึกว่าเสื้อตัวนั้น(ตัวแรก) มันเป็นของฉันจริงๆ ฉันรู้สึกว่ามันเป็นเบอร์ S โดยที่ฉันก็ไม่เห็น ฉันไม่ได้อยากได้นะ ต้องเข้าใจด้วย เพียงฉันรู้สึกว่ามันเป็นของฉัน แล้วเขาก็ประกาศชื่อฉัน พอไปรับมา รีบดูที่เบอร์ ก็งง !! มันเป็นเบอร์ S ที่คนอื่นได้ไปก็คงใส่กันไม่ได้ ตัวหลังๆ ที่แจกก็เป็นเบอร์ใหญ่ มีที่ฉันได้เป็นเบอร์S เท่านั้น) เรื่องนี้มีตลก ที่น้องกัลยาณมิตร ทดลองทำด้วยแต่เธอมีความอยากเป็นที่ตั้ง และไม่ชัดเจน เธอไม่ได้ดั่งต้องการ แต่วันสุดท้ายมีเหตุผลบางอย่างเกี่ยวกับเธอและวิชาชีพ ทำให้เธอไม่อยากได้รับรางวัลเลย เพราะไม่อยากออกไปหน้าเวที ปรากฏว่า วันนั้นเธอได้รับรางวัล ซึ่งทำให้เธอ เดินก้มหน้างุดๆ ออกไปรับรางวัล!!!) เธอบอกว่าสำหรับเธอแล้ว สังเกตได้ว่าความคิดเชิงลบจะมีกำลังแรงในการดึงดูดมากกว่าความคิดเชิงบวก นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เธอปรับเปลี่ยนหรือฝึกกับการคิดบวกซึ่งบางเรื่องมันยากจริงๆ
o ฉันย้อนกลับไปในเหตุการณ์ของการนำเสนอผลงานนวัตกรรมระดับจังหวัดซึ่งเกิดก่อนการอ่านหนังสือเล่มนี้เล็กน้อย ซึ่งครั้งนั้นทีมของฉันได้รับรางวัลที่ 5 โดยมีสิ่งที่ฉันมิได้บอกใครก็คือ ในวันนั้นฉันมีความสุข ฉันได้เตรียมงานโดยการสรุปหลักๆ ซึ่งพิจารณามาดีแล้วกับเกณฑ์การให้คะแนนของคณะกรรมการ เมื่อไปร่วมงาน น้องๆ 2 คนเป็นคนนำเสนอ ฉันเป็นคนเปิดตัวด้วยความสุข บอกน้องให้มีความสุข ยิ้มเยอะ ๆจนได้รับคำชมเรื่องการยิ้ม การนำเสนอที่มีความสุข ตลอดระยะเวลาส่วนใหญ่ ฉันฟังเรื่องของคนอื่นๆ ด้วยความสุข พินิจพิเคราะห์ดู ก็รู้สึกว่าได้รางวัลอยู่แล้วอย่างไรเสียก็ต้องได้ลำดับที่ 5 แต่มิได้บอกใครๆ เพียงอยู่ในใจ น้องๆ ค่อนข้างเครียด เพราะเรื่องคล้ายกับที่อื่นบ้างและของที่อื่นละเอียดมากเป็นแนววิจัย แต่ฉันสบายใจไปแล้วว่าอย่างไรเสีย อย่างน้อยที่สุดก็ได้ที่ 5 ผลปรากฏออกมา เขาประกาศรางวัลแรกคือรางวัลที่ 5 และก็คือทีมของบ้านแพรก น้องๆ ดีใจกันมาก เพราะรู้สึกว่าเราเป็นรุ่นน้องๆ เรื่องก็ดูไม่ได้ซับซ้อนมาก ที่ทำเป็นวิจัยกลับไม่ได้ ซึ่งเป็นเพราะน้องอาจยังไม่เข้าใจเกณฑ์การตัดสินซึ่งเป็นเรื่องของการจัดการความรู้ดีพอ..แต่สำหรับ รางวัลที่ 5 นี่สิ..ฉันยังสงสัย... มันตรงใจ...แต่มิได้บอกใครแม้แต่น้องๆ
o กับเรื่องลบๆ ก็มีมากมาย สาธยายไม่หมดไม่อยากเจอสิ่งใดมาก ก็จะได้เจอ เกลียดกิ้งกือ ก็เจอแต่กิ้งกือ น้องที่อยู่บ้านพักด้วยกัน เกลียดกลัวแมลงสาบเป็นที่สุด เธอก็เจอแต่แมลงสาบ โดยที่ฉันไม่ค่อยเจอ ในที่ทำงานเธอมักจะเข้าห้องน้ำแล้วพบปัญหาให้ต้องล้างห้องน้ำเพราะมีสิ่งอันไม่น่าจะดูหลงเหลืออยู่ จากปัญหาของห้องน้ำ ซึ่งฉันอยู่แถวๆนั้น กลับไม่ค่อยได้เจอ อธิบายจากการเสวนาแล้วพบว่า เธอเจอไปแล้ว วันต่อไปเธอมักจะคิดโดยไม่รู้ตัวว่าจะเจอสิ่งไม่ดีในห้องน้ำ แล้วเธอก็พบเจอให้ต้องวุ่นวายกับเรื่องนี้ จนฉันที่อยู่ใกล้เคียงก็งงกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย ...แล้วเธอจะฝึกการคิดบวกทดแทนแก้กับเรื่องนี้อย่างไร...เป็นสิ่งที่น่าท้าทายและตามพิสูจน์
o กัลยาณมิตรที่เป็นแพทย์ระดับผู้บริหารสูงสุดของ รพ.ท่านหนึ่ง อ่านธรรมะตรงๆ แล้วไม่ค่อย Get แต่พออ่านเล่มนี้ บอกว่าตอนนี้มีความสุขในการทำงานมากๆ รักษาผู้ป่วยอย่างมีความสุข อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความสุขใจ อย่างมากมาย ยิ่งทดลองขอบคุณสิ่งรอบข้างก็ยิ่งมีความสุข ทำงานได้มากขึ้นแต่ใช้พลังงานลดลง ที่สำคัญ ทำให้เข้าใจธรรมะขึ้นอย่างมาก เกิดความอยากอ่านหนังสือธรรมะ ที่ก่อนหน้านี้ไม่อยากอ่าน (มีการอธิบายรายละเอียดมากมาย ซึ่งทำให้ฉันดีใจที่เป็นเช่นนั้น เพราะเหตุที่เขาก่อนั้นได้เกิดผลนานับประการต่อผู้อื่นจากการที่เขาเป็นผู้บริหาร รพ.) ทั้งนี้ฉันตั้งข้อสังเกตว่า ในผู้ที่ไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือธรรมะตรงๆ ด้วยไม่ถูกจริตกับภาษานั้น ควรอ่าน The Secret ก่อนเพื่อจูงใจ แล้วค่อยอ่าน The Top Secret เพื่อขยายความที่มาที่ไปด้วยหลักธรรมและหลักจิตวิทยา
เรื่องที่ดีและมีผลกับความสุขในชีวิตประจำวันสำหรับคนทั่วไปจากการได้ทดลอง คือ เรื่อง“สำนึกแห่งการรู้คุณ” ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ทดลองทำด้วยการขอบคุณสิ่งต่างๆ รอบๆตัวที่อำนวยความสุขสบาย ทุกๆอย่างรวมถึง บุคคล ผู้เอื้อให้เกิดความรู้ และปัญญา ซึ่งรวมถึงผู้ที่ก่อปัญหาให้กับเราด้วย เพราะเป็นครูให้เกิดการพัฒนา พบว่าทุกครั้งที่คิดขอบคุณแม้แต่สิ่งเล็กๆน้อยๆ เช่นเมื่ออาบน้ำ ก็รู้สึกขอบคุณผู้ที่คิดระบบน้ำประปา สบู่ ฯลฯ ทำให้เราได้มีร่างกายอันสะอาด พร้อมกับการพิจารณากายไปด้วย คือขอบคุณได้ทุกเรื่องที่คิดขึ้นมาได้ หรือสรรพสิ่งนั้นเอง พบว่าเมื่อคิดขอบคุณเมื่อใด ตัวเองจะเหมือนยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ก่อเกิดเมตตาแก่สรรพสัตว์ และให้อภัยกับผู้คน รวมทั้งเป็นผู้ให้ด้วยความรู้สึกถึงคุณค่าภายในจริงๆ แค่นี้ก็ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก ที่ทำให้เรามีความสุขตั้งแต่ตื่นนอน และกับทุกๆ กิจกรรม จนกระทั่งหลับ ยิ้มได้เกือบทั้งวัน ความเครียดกับการงานที่จริงจังมากไปบ้างก็จะลดลง คนรอบข้างก็มีความสุขไปด้วย มีผลเชื่อมต่อในทางบวกอีกมากมาย ความสุข สงบ ร่มเย็นใจ จะมีมากขึ้นอย่างชัดเจน
สรุปสุดท้ายก็คือ หนังสือเล่มนี้ทำให้ฉันและคนที่รู้จักที่ได้อ่านหรือสัมผัสกับเรื่องราวนี้อยากคิดบวก และมีความสุข จากการคิดบวก การให้ และการรู้คุณด้วย สำหรับคนที่อยากพัฒนาจิตให้เป็นกลาง ก็ต้องระวังหลุมพรางคือการยึดความสุข แต่ก็เป็นบทเรียนที่ดี ที่จะได้ฝึกการละวางความสุข ส่วนฉันเอง สิ่งที่เคยเป็นปัญหาว่าการนำธรรมะเข้าไปเผยแพร่ในงานหรือมิตรสหายค่อนข้างยากเพราะส่วนใหญ่ ยังไม่เข้าใจภาษาธรรมะ เริ่มพบทางออกแล้วว่า สำหรับมนุษย์ที่ยังต้องดิ้นรนในทางโลกด้วยหน้าที่การงานนั้น แนวทางของหนังสือเล่มนี้น่าจะเหมาะกว่า ชวนให้คนกลุ่มนี้สนใจมากกว่า แบบว่าเริ่มแบบทางโลกๆ แต่สุดท้ายก็ไปสุดที่หลักธรรมะ เพราะต้องอาศัย การมีสมาธิและการเจริญสติตามรู้ความรู้สึกนึกคิดปัจจุบันขณะนั่นเอง ซึ่งรวมถึงเด็กๆ ที่กำลังอยู่ในวัยศึกษา ให้มีความสุขกับการเรียน และฝึกการคิดบวก ตั้งแต่วัยเยาว์ ด้วย “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว”
สุดท้ายจริงๆ ต้องขอขอบคุณเจ้าของเรื่อง The Secret และบุคคลที่เอื้อให้เกิดหนังสือ The Top Secret โดยเฉพาะ ทันตแพทย์สม สุจีรา ที่เขียนเรื่องนี้ออกมาด้วยแนวธรรมะผสมหลักจิตวิทยาได้อย่างลึกซึ้ง สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน ทำให้อ่านแล้วเข้าใจ สามารถนำมาทำในชีวิตประจำวันได้ รวมทั้งขยายผลให้กับคนข้างเคียงที่ยังไม่อยากปฏิบัติธรรม แต่อยากมีความสุขในโลกประจำวันทั้งด้านการงานและครอบครัวจนได้ผล กลับมาเล่าให้ฟังถึงสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตหลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ รวมทั้งเข้าใจธรรมะมากขึ้นโดยเฉพาะเรื่องสมาธิและการเจริญสติปัจจุบันขณะในชีวิตประจำวันอันก่อให้เกิดสุขกับตนและคนรอบกาย
สวัสดีค่ะ มีโอกาสได้อ่าน the secret ค่ะ เห็นด้วยนะคะ กับที่กล่าวมาค่ะ บางเรื่อง บางเหตุการณ์ เหมือนเราเคยเจอมาก่อน เคยเกิดกับตัวเองด้วยเหมือนกันค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณ paula wara
สวัสดีค่ะน้องจิ โก๊ะจิจัง แซ่เฮ ^๐^!
สวัสดีค่ะ ครูโย่ง
สวัสดีค่ะน้องแจ๋วแหวว ห่างหายไม่พบกันเสียนานนะคะ
เห็นรูปน้องสดใสสบายดี และได้อ่านเรื่องราวดีๆที่น้องประสบมากับตัวเองแล้วยินดีด้วยค่ะ
สวัสดีค่ะ น้องแหวว
สวัสดีค่ะพี่นุช คุณนายดอกเตอร์
สวัสดีค่ะ ป้าแดง pa_daeng [มณีแดง คนสวย แซ่เฮ]
สวัสดีค่ะอาจารย์ นายประจักษ์
ขอบคุณนะคะที่นำสิ่งดีๆ ในช่วงเวลาดีๆ มามอบให้พร้อมกับคำทักทายตามแบบกัลยาณมิตรเสมอๆ ...คุณธรรมรักษา ก่อเกิดสุขภาวะด้วยเช่นกันค่ะ
สวัสดีครับคุณแหวว
ขอให้เจริญในธรรมครับ
ธรรมสวัสดีครับ
สวัสดีค่ะคุณ ธรรมาวุธ
สวัสดีค่ะน้องรักษ์ RAK-NA
หนูแพร ....
สวัสดีจ้าน้อง-อาจารย์ ขจิต ฝอยทอง
สบายดีอยู่ ขอบคุณมากๆ ที่คิดถึงและมาทักทาย...ขอให้สุขภาพแข็งแรง...เป็นแรงใจแรงพลังปัญญาให้กับเหล่าศิษย์นอกระบบไปเรื่อยๆนะคะ...คนดี
พี่อ๊อด naree suwan
ไม่ได้มาทักทายนาน มากโขเลยทีเดียว..
ภาระกิจแห่งชีวิตเป็นยังไงบ้างครับ.
....
ผมเองก็ถูกพร่ำสอนมาในทำนองว่า ...โกรธเกลียดสิ่งใด ย่อมได้รับสิ่งนั้นตอบแทน.
จริง หรือเท็จเราเองไม่แน่ใจนัก แต่ที่สัมผัสได้แล้วก็คือ ประหนึ่งกุศโลบายของการตระหนักเตือนตัวเองดี ๆ นั่นเอง
....
มีความสุขกับชีวิตและการงาน นะครับ.
เมื่อวาน ท่าน อ.หมอวิจารณ์ ก็แนะนำหนังสือเรื่องนี้ ผมต้องหามาอ่านแล้ว เห็นหลายท่านแนะนำครับ
สวัสดีค่ะคุณ แผ่นดิน
โถ !! คนใจน้อย (ไปได้)
ขอบคุณค่ะคุณ จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
ที่แวะมาทักทาย ....อ่านดูเถอะค่ะ... เป็นหนังสือที่ดีมากๆค่ะ
สวัสดีและขอบคุณมากๆ ค่ะพี่อ๊อด naree suwan
สวัสดีค่ะ
สบายดีนะค่ะ...แวะมา ท็อป ซีเคร็ด ด้วยคนค่ะ...อ่านแล้วได้แง่คิดดี ๆ เยอะค่ะ
สวัสดีค่ะคุณอ้อยควั้น (sirintip)
อ่านไป สลับรูป คนเขียน ก็เพลินดีครับ
สวัสดีค่ะคุณ คนโรงงาน
ซาหวัดดีจ้า หนูแพร รพีพรรณ
สวัสดีค่ะ คุณน้อง-อาจารย์ ขจิต ฝอยทอง
สวัสดีครับ
ขอบคุณค่ะคุณ วัชรา ทองหยอด
สวัสดีค่ะน้องแหว๋ว พี่อยากอ่านหนังสือเล่มนี้จัง พี่เชื่อในสิ่งที่ดี ถ้าเราคิดอยากได้อะไร เราจะได้สิ่งนั้น เพราะเป็นพลังจิตของเรา เหมือนพี่เวลาอธิษฐานขออะไร จะได้สิ่งนั้นเสมอค่ะ
สวัสดีค่ะ พี่ แก้ว..อุบล จ๋วงพานิช
รู้จักหนังสือเล่มนี้ก็จากพี่แหว๋ว แหละค่ะ
แถมยังยืมไปดองอีกระยะหนึ่ง ถ้าเป็นไข่ก็คงเค็มปี๋จนกิน ม่ะ ด่ะ แล้
โชคดีจังที่ได้อ่าน อย่างน้อยก็เพื่อความสุขใจ และเห็นธรรมดาของโลกขึ้น
ฮิฮิ..ที่สำคัญลดความอยากไปได้เยอะเลย
(ตอนนี้ไปสอยจากบูธนายอินทร์มาครอบครองเรียบร้อยแล้วค่ะ)
.........คิดถึงจัง
ma-eaw+ ค่ะ
สวัสดีค่ะคุณ อ้อยควั้น
สวัสดีค่ะ
พี่แหววไปเรียนเพิ่มเติมเฉพาะทาง (เวชปฏิบัติทั่วไป หลักสูตร 4 เดือนค่ะ) เพื่อฟื้นฟูความรู้ในวิชาชีพพยาบาล ที่เริ่มหดหายไปมากกับการมาทำงานด้านคุณภาพ การประสานงาน และอื่นๆ อีกมากมายเกือบ 10 ปี และก็เพื่อเพิ่มเติมความรู้ให้ลึกซึ้งมากขึ้น ช่วงนี้กลับมาทำงานต่อ 2 เดือน แล้วก็จะไปฝึกภาคปฏิบัติที่พื้นที่อื่นๆ อีก 2 เดือนก็เป็นอันจบค่ะ....