จากการศึกษาดูงานที่ผ่านมา
ผมมีความรู้สึกว่าภาคเอกชนไทยใน สปป.ลาว ยังไม่มีความมั่นคงเพียงพอ
อีกทั้งเสียงสะท้อนจากภาคเอกชนก็บอกว่าไม่ได้รับความสนับสนุนจากภาครัฐเท่าที่ควร
ทุกสิ่งทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับกำลังความสามารถของแต่ละบุคคล
แม้ภาครัฐของ สปป.ลาว จะมีคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างชาติ
แต่นโยบายด้านอื่นๆก็มิได้เดินไปในทิศทางเดียวกัน
ตัวอย่างเช่นปัญหาการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินท้องถิ่นกับสกุลเงินสากลและสกุลเงินของประเทศเพื่อนบ้าน
หรือปัญหาการคิดคำนวณภาษี
ทั้งการคำนวณภาษีขายจากผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร
หรือการไม่มีมาตรการแก้ไขปัญหาภาษีซ้อนจากการนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน
ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่กลุ่มผู้ลงทุนต้องประสบและต้องหาทางออกตามวิถีทางของตนเอง
การรวมกลุ่มของเอกชนไทยใน สปป.ลาว ยังไม่มีความเข็มแข็งพอที่จะเสนอข้อเรียกร้องจากภาครัฐ (สปป.ลาว)
นอกจากนี้ระบบการศึกษาของ สปป.ลาว ก็ผลิต นศ. มาเพื่อป้อนคนเข้าสู่ภาครัฐ
และประชาชนเองก็มีแนวโน้มส่งเสริมให้ลูกหลานของตนได้เข้าทำงานในภาคราชการเพื่อรับสวัสดิการต่างๆของรัฐเช่นกัน
นอกจากนี้แล้วนักวิชาการของ สปป.ลาว ก็ยังไม่มีบทบาทหรืออิทธิพลต่อภาครัฐหรือภาคประชาชนเท่าที่ควร
เหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ สปป.ลาว ควรนำมาคิดคำนึงว่าจะก่อให้เกิดปัญหาต่อไปในอนาคตหรือไม่
สปป.ลาว ควรส่งเสริมให้กลุ่มทุนต่างประเทศได้มีโอกาสรวมตัวกันจัดตั้งเป็นสมาคม
เช่นส่งเสริมให้มีการจัดตั้งหอการค้า หรือสภาผู้ประกอบการ
ทั้งนี้ก็เพื่อเปิดโอกาสให้มีการนำเสนอปัญหาจากภาคเอกชนสู่ภาครัฐได้โดยตรง
จากประสบการณ์การทำงานเป็นนิติกรที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะเจรจาข้อตกลงและการประเมินการพัฒนากฎหมายของส่วนราชการ คณะที่ ๒ (กระทรวงการคลัง ยกเว้นกรมบัญชีกลาง) เห็นว่า
หากภาครัฐส่งเสริมให้ภาคเอกชนได้รวมกลุ่มกันและสามารถมีที่นั่งร่วมการประชุมเพื่อเสนอแนะแนวทางการพัฒนากฎหมาย
และยอมรับฟังความเห็นทางวิชาการจากนักวิชาการไปพร้อมๆกับการกำหนดนโยบายด้วยแล้ว
จะช่วยให้กฎหมายที่จะนำมาบังคับใช้นั้นสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงและไม่สร้างภาระต่อผู้ปฏิบัติมากจนเกินไป
ต่อไปนี้คือข้อเสนอแนะ
-ปรับปรุงกฎหมายเพื่อเพิ่มโอกาสให้กับคนจน
-ปรับปรุงกฎหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
-กระจายอำนาจในการใช้บังคับกฎหมาย
-เอาประชาชนเป็นศูนย์กลางเลิกกฎหมายที่สร้างภาระโดยไม่จำเป็นให้ประชาชน
-ให้ประชาชนเข้าถึงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมได้อย่างทั่วถึงเท่าเทียมและทันการณ์
-ปรับกฎหมายให้ทันโลกทันเทคโนโลยีใหม่ ๆ
-ลดการควบคุมที่ไม่จำเป็น ปรับวิธีควบคุมให้หลากหลายขึ้น
-เพิ่มส่วนร่วมของประชาชนในการออกและใช้กฎหมาย
ข้อเสนอแนะนี้อยู่บนพื้นฐานการพัฒนากฎหมายของราชอาณาจักรไทยซึ่ง สปป.ลาว ก็น่าจะสามารถนำไปประยุกต์/ปรับใช้ให้สอดคล้องกับการบริหารประเทศได้เช่นกัน
ขอแสดงความนับถือ
นรุตม์ เจียมสมบูรณ์
นิติกร 4
กองนิติการ สำนักกฎหมาย
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
โปรดระบุ "ลาวศึกษา" ไว้ที่คำสำคัญของคุณด้วย
???
ทำไมพี่ต้อยตอบเร็วอย่างนี้คร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
นอต
เออ...พี่ต้อยครับ
การเรียกหน่วยงานมาประชุมหรือว่ามานั่งคุยกัน
เราอยู่ในภาคราชการก็น่าจะนึกภาพออกนะครับว่ามันยุ่งยากมากมายขนาดไหน
แล้วอีกอย่าง...
กิจกรรมอะไรที่ทำแล้วไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ด้านบวก หรือเกิดยาก
ก็ไม่เป็นที่นิยมในวงราชการ
สำหรับผมแล้ว
ผมคิดว่าต้องเริ่มที่การรวมกลุ่มของภาคเอกชนให้ได้ก่อน
จนกระทั่งมีความสามารถในการต่อรองมากขึ้น
เหมือนคนคนเดียวตะโกน เสียงมันก็เบาฟังไม่รู้เรื่อง
หลายคนแย่งกันตะโกน เสียงดังก็จริงแต่ยิ่งฟังไม่รู้เรื่อง
มันต้องมาจับมือแล้วตะโกนออกไปพร้อมๆกันครับพี่
เสียงดังฟังชัด คนฟังก็จะรู้ได้ว่าใครต้องการอะไร
อย่างประเทศไทย
ตอนที่มีการเจรจาข้อตกลงการพัฒนากฎหมายฯ
เรามีเจ้าหน้าที่บริหารจากทั้งหอการค้าไทยและสภาอุตสาหกรรมมาร่วมนั่งประชุม
คนเหล่านี้คือตัวแทนของภาคเอกชนที่จะส่งเสียงมาถึงภาครัฐครับพี่
นี่แหล่ะสิ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเกิดขึ้นที่ สปป.ลาว เช่นกัน
นอต
การรวมกลุ่มของภาคเอกชน
เปรียบไปก็เหมือนกับบริษัทเอกชนที่ต้องมีสหภาพแรงงานมาเป็นปากเป็นเสียงให้พนักงานนั่นแหล่ะ
เพราะไม่อย่างนั้นก็จะเป็นว่ามือใครยาวสาวได้สาวเอา
KN
งั้นเรามาตะโกนด้วยกันซิคะ แบบในรูปนี้ หลายๆ เสียง ก็ดังเองค่ะ
ไปเยี่ยมท่านทูตลาวกันค่ะ ดีไหม ?
ผมหล่ะกลัวจะเหมือน ออท.
lost in translation
นอต
เสนอว่าควร
1.ทำ report จากการไปศึกษาดูงานครั้งนี้ไปให้ท่านได้อ่านก่อน
ท่านจะได้พอทราบว่าเราไปที่ไหนมาบ้างเจออะไรมาบ้าง
2.รวบรวมคำถามให้เป็นหมวดหมู่
KN
ต้องส่งอาจารย์บุญมีไปทาบทามก่อนค่ะ
มีผู้ใหญ่ของคณะฯ ที่ทำงานมาสักระยะแล้วค่ะ คงต้องเตรียมตัว และความคิดมากค่ะ