(๑)...........................................
เมื่อคืนกว่าจะเข้านอนได้ เวลาก็ล่วงไปจนตีสามเศษ ๆ
มาตื่นอีกทีก็ในราวเกือบ ๆ จะหกโมงเช้า ซึ่งอากาศในรุ่งเช้าของวันใหม่ ก็ดูแช่มชื่นเป็นยิ่งนัก
ผมมาถึงที่ทำงานเป็นอันดับต้น ๆ
ห้องทำงานที่กว้างใหญ่ในยามที่ไร้ผู้คน ยิ่งดูโอ่โถงและกว้างใหญ่ขึ้นเท่าตัว
ทันทีที่จัดการกับกรอบกติกาเรื่องของการลงเวลาแล้วเสร็จลง
ผมก็ไม่เสียเวลานั่งโต๊ะทำงาน หากแต่หันเหพาตัวเองขึ้นรถยนต์คู่ชีพ บ่ายหน้าออกสู่หมู่บ้านรายรอบมหาวิทยาลัย
เพื่อไปดูให้เห็นกับตาว่า สภาพการณ์ของน้ำท่วมนั้น บัดนี้ได้บานปลายไปถึงขั้นไหนแล้ว
อันที่จริง ผมตั้งใจย่างแน่วแน่ว่าจะลงพื้นที่ในวันเสาร์และอาทิตย์
แต่เพราะสังขารและอาการเจ็บไข้ที่รุมเร้าตัวเองอย่างหนักหน่วง พลอยทำให้ผมต้องเว้นวรรคภารกิจทางใจนั้นไว้ก่อน
แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่ลืมที่จะปลอบประโลมตัวเองอย่างจริงจังว่า “วันจันทร์ก็ยังไม่สาย”
ผมตัดสินใจไปยังหมู่บ้านโดยไม่ได้เอ่ยชวนใคร และไม่ได้ขอความอนุเคราะห์ให้หน่วยงานดูแลในเรื่องสวัสดิการด้านการเดินทาง เพียงแต่บอกกล่าวเชิงขออนุญาตในทำนองว่า “เมื่อยังไม่มีใครทำ ..เรื่องนี้ผมขออาสาลุยเองก็แล้วกัน”
อย่างไรก็ตาม -
กรณีเรื่องดังกล่าว
ผมเคยได้เปรยที่จะทำงาน หรือเตรียมรองรับการช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบอุทกภัยมาแล้วระยะหนึ่ง
แต่เห็นว่าองค์กรที่รับผิดชอบโดยตรงแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าจะทำเอง จึงได้แต่ถอยตัวออกมาอย่างสุภาพ ..
และกระทั่งวันนี้ -
ผมเองก็ถามชัดต่อผู้ที่เกี่ยวข้องแล้วว่า มีแผนการดำเนินการช่วยเหลือชาวบ้านในละแวกมหาวิทยาลัยอย่างไรบ้าง
เมื่อคำตอบยังคงว่างเปล่า และไร้รูปรอยที่จะเป็นไปได้ ผมจึงจำเป็นต้องกระโจนลงไปหักดิบด้วยตนเอง โดยไม่ลืมที่จะเกริ่นกล่าวและขออนุญาต หรือแม้แต่เชิญชวนภาคส่วนที่เกี่ยวข้องไว้อย่างบริสุทธิ์ใจ ซึ่งเน้นย้ำว่า .. “เบื้องต้น ผมจะเป็นคนไปดูพื้นที่เอง ที่เหลือจะเอายังไงค่อยว่ากัน”
เหตุที่ตัดสินใจลุยเอง
ไม่ใช่เพราะต้องการสร้างภาพของตนเองให้แตกต่างไปจากคนอื่น ๆ
แต่ทันทีที่รู้ว่า หลายคน หรือหลายภาคส่วนในองค์กรของตนเองยังไม่ขยับตัวในเรื่องเหล่านี้
ครั้นจะรอให้ใครอื่นลุกมาขับเคลื่อนก็คงต้องใช้เวลาอีกมากโข
และหากยังใจเย็นให้ทุกอย่างไหลเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ เช่นนี้
ในที่สุดชาวบ้านคงต้องสำลักความทุกข์จมหายไปกับสายน้ำเป็นแน่ !
(๒) ...............................................................
ถึงแม้ว่าวันนี้ ผมและทีมงานจะแยกส่วนออกมาจากวิถีกิจกรรมแล้ว
แต่นั่นก็คงไม่ได้หมายความว่า ผมและทีมงาน จะแยกส่วนออกมาจากความเป็น “สำนึกสาธารณะ” ในวิถีกิจกรรมอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชะตากรรมของชาวบ้านที่อยู่รายรอบมหาวิทยาลัยนั้น ผมยิ่งรู้สึกทุกข์ร้อน และเจ็บร้าว ราวกับผมเป็นผู้ต้องชะตากรรมนั้นด้วยตัวของผมเอง
และที่สำคัญ -
หากผมยังนิ่งเฉย ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน
แล้วผมยังจะกล้าพร่ำสอนนิสิตได้อย่างไรว่า .
..เกิดเป็นปัญญาชนต้องมีจิตสำนึกสาธารณะ และต้องไม่ลืมที่จะช่วยเหลือชาวบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย เพราะพวกเขาทั้งหลายเป็นผู้มีพระคุณต่อมหาวิทยาลัย .. ให้โอกาสแก่มหาวิทยาลัยได้เติบโตในชุมชนของพวกเขา ถ้ายังนิ่งเฉยจะต่างอะไรกับคนเนรคุณ –
(นั่นคือความคิดที่ฝังอยู่ในหัวของผม และกลายออกมาเป็นแรงพลังให้ผมกล้าพอที่จะลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ตนเองเชื่อ พร้อม ๆ กับการเชื่ออย่างลึกเร้นว่า ในวิถีที่เลือกนี้ ... ผมไม่มีทางดุ่มเดินอยู่อย่างเดียวดายอย่างแน่นอน - อย่างน้อยก็ต้องมี เจ้ายะ เจ้านุ้ย เจ้านุ เจ้าก้อง เจ้เจี๊ยบ และกลุ่มไหล ลงเรือลำเดียวกับผมอย่างไม่ลังเล เป็นแน่ !)
(๓) .............................................
เช้าวันนี้ ท้องฟ้าเปิดโล่ง ไม่มีเค้าว่าฝนจะตก
ชาวบ้านหลายคนต้อนวัวดุ่มเดินไปตามสายถนนที่ทอดตัวเชื่อมโยงระหว่างหมู่บ้านกับหมู่บ้าน และระหว่างหมู่บ้านกับท้องทุ่ง
ถนนบางสายยังคงโผล่พ้นเหนือผิวน้ำ
หากแต่บางสายเริ่มจมหายไปกับสายน้ำอย่างเห็นได้ชัด
เสมือนการยืนยันให้ผู้สัญจรได้รับรู้ว่า
ณ ห้วงเวลานี้ เส้นทางสายเก่าอันคุ้นเคยนี้ ได้ถูกตัดขาดจากวิถีเดิม ๆ ไปบ้างแล้ว
ผมค่อย ๆ ขับรถอย่างไม่รีบเร่ง ใช้เวลาอย่างละเอียดกับการเบิ่งมองสภาพของท้องทุ่งนาที่ถูกกลบด้วยสายน้ำราวกับท้องทะเล
ตลอดเส้นทางที่ผ่านพบนั้น
ทุ่งนาเกือบทุกที่ แทบไม่ปรากฏเห็นต้นข้าวหยัดใบล้อลมเล่นเหมือนเมื่อครั้งต้นฤดูฝน
และถึงแม้จะมีพอให้พบเห็นบ้าง
ก็เห็นได้ชัดว่า เพียงไม่กี่วันนี้จากนี้ไป ต้นข้าวเหล่านั้น
ก็คงถูกสายน้ำกลืนกินอย่างไม่อาจทัดทานได้
จนผมเองก็ไม่กล้าพอที่จะคิดล่วงหน้าไปว่า
หลังน้ำลด จะมีข้าวเหลือพอให้เก็บเกี่ยวเข้ายุ้งฉางกันสักกี่แปลง กี่ต้น !
(๔) .......................................................
ผมใช้เวลานานมากโขกับการบันทึกภาพตามเส้นทางของหมู่บ้านและท้องทุ่ง
พร้อม ๆ กับการยืนรออยู่อีกฟากหนึ่งของถนนที่ถูกสายน้ำตัดขาดอย่างสิ้นสภาพ โดยหวังว่าจะมีชาวบ้านสัญจรข้ามฟากมา เพื่อให้ผมได้พบปะและพูดคุยเกี่ยวกับสภาพการณ์แห่งชะตากรรมนี้
ขณะที่เฝ้ารอการข้ามมาของผู้คนนั้น
ผมก็พยายามขบคิดอย่างสงบว่า
ผมและทีมงานพอจะช่วยอะไรชาวบ้านได้บ้าง
เพราะถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถเข้าไปถึงตัวหมู่บ้านได้
จึงยังไม่รู้เลยว่า ความต้องการอันเร่งด่วนนั้น มีอะไร ..และอย่างไรกันบ้าง
แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ -
ผมเองก็เชื่อว่า
เมื่อผมนำเรื่องราวและภาพชีวิตเหล่านี้กลับมาสื่อสารต่อชาวมหาวิทยาลัยอีกครั้ง
ย่อมหมายถึง การไหลมาของสายธารแห่งน้ำใจในรูปแบบต่าง ๆ อย่างล้นหลาม
เพราะผมเชื่อว่า
ที่นี่ไม่แล้งไร้ซึ่งน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์เป็นแน่แท้
และก็เป็นเช่นนั้นจริง
ผมไม่รอที่จะกลับเข้าสู่มหาวิทยาลัยอย่างเร่งด่วน
แต่ตัดสินใจที่จะรายงานสภาพการณ์มายังน้องนุ่ง และผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเป็นที่น่ายินดีนัก
เพราะหลายคน หลายภาคฝ่าย ต่างขานรับที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือชาวบ้านอย่างไม่อิดออด
ขึ้นอยู่กับว่า ผมจะขับเคลื่อนออกมาในรูปแบบใดเท่านั้นเอง
(๕)................................................................
ผมกลับมาถึงมหาวิทยาลัยในช่วงบ่าย พร้อม ๆ กับนำภาพชีวิตของชาวบ้านมาบอกกล่าวให้ทีมงานได้ดูได้เห็นแบบสด ๆ ร้อน ๆ
หลายคนแข็งขันที่จะร่วมด้วยช่วยกัน
หลายคนขานรับที่จะลงเรือในรุ่งเช้าร่วมกับผม เพื่อไปให้ถึงหมู่บ้าน ..ไปให้กำลังใจ และไปสำรวจความต้องการในเชิงลึกที่เราอาจพอจะเติมเต็มให้ได้บ้าง
ผมถือโอกาสพูดคุยกับงานกิจกรรมนิสิต รวมถึงนายกองค์การนิสิต โดยกล่าวเชิญชวนให้มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับการงานแห่งชีวิตในครั้งนี้ พร้อม ๆ กับยืนยันอย่างหนักแน่นว่า งานนี้ ... ขอใจเป็นแรงทุน ไม่มีเงิน เราก็ช่วยเหลือได้ ...
และเย็นย่ำของวันนี้
ผมยังคงปักหลักทำงานต่อไป
เพราะผมมีนัดสำคัญกับทีมงานไหลของผม ซึ่งเป็นการประชุมด่วน เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านรายรอบมหาวิทยาลัยที่กำลังเผชิญปัญหาภาวะน้ำท่วมอย่างสาหัสสากรรจ์
จนถึงวินาทีนี้ ผมเริ่มที่จะเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า ...
ทั้งผมและทีมงาน ตลอดจนน้อง ๆ จากทีมไหลนั้น จะไม่เดียวดายต่อวิถีที่กำลังจะก้าวออกไปสู่ชุมชน
และเราก็จะพยายามทำในสิ่งที่เราทำได้
.. ทำให้ดีที่สุด เพื่อให้ผู้รับได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด
น้ำที่กำลังท่วมทุ่งอยู่นี้ หาใช่ท่วมหัวใจของคนเราเสียที่ไหน..
ผมเชื่อ และเชื่อเช่นนั้น จริง ๆ
+ มาส่งกำลังใจค่ะ....
" เกิดเป็นปัญญาชนต้องมีจิตสำนึกสาธารณะ และต้องไม่ลืมที่จะช่วยเหลือชาวบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย เพราะพวกเขาทั้งหลายเป็นผู้มีพระคุณต่อมหาวิทยาลัย .. ให้โอกาสแก่มหาวิทยาลัยได้เติบโตในชุมชนของพวกเขา ถ้ายังนิ่งเฉยจะต่างอะไรกับคนเนรคุณ "
+ ข้อความข้างบนบอกให้ทราบว่าคุณแผ่นดินได้เป็นเช่นนี้ค่ะ...
" รับใช้ประชา คือ ปลายทางเราที่เล่าเรียน"
+ ส่งมอบประโยคนี้ให้กับทุกคนด้วยค่ะ
+ รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ...
+ ออ...ฝากส่งกำลังใจให้กับชาวบ้านด้วยค่ะ....
ชื่นชมค่ะ...สุดยอดจริง ๆ ทั้งงานภาคสนามและงานเขียน ....ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ..
ถ้าหากฉันเกิดเป็นนกที่โผบิน
ติดปีกบิน ไปให้ไกล ไกลแสนไกล
จะขอเป็น นกพิราบขาว
เพื่อชี้นำชาวประชาสู่เสรี
ถ้าหากฉันเกิดเป็นเมฆบนนภา
จะนำพาความร่มเย็นเพื่อท้องนา
หากฉันเกิดเป็นเม็ดทราย
จะถมกายเป็นทางเพื่อมวลชน
ชีวา ยอมพลีให้ มวลชน
ที่ทุกข์ทน ขอพลีตนไม่ว่าจะตายกี่ครั้ง...
สวัสดีครับ คุณ แอมแปร์~natadee
ตอนนี้
พรุ่งนี้เช้า ผมและทีมงานจะเดินทางเข้าหมู่บ้าน เพื่อไปให้ถึงหมู่บ้าน จะได้รู้ ได้เห็นว่าสภาพอันแท้จริงเป็นอย่างไร และเราสามารถช่วยอะไรได้บ้าง
แต่ถึงกระนั้น ...
ผมเองก็อุ่นใจมาก เพราะล่าสุดน้อง ๆ จากกลุ่มไหลพร้อมเสมอสำหรับภารกิจนี้
..ผมโชคดีมากเลยทีเดียวครับ...
สวัสดีครับ ป้าแดง2. pa_daeng [มณีแดง คนสวย แซ่เฮ]
นี่เป็นอีกงาน ที่ช่วยให้เรารู้ว่า เราได้ทำในสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับตัวเราเอง ซึ่งมันก็หมายถึง การดูแลสังคมไปในตัวด้วยเหมือนกัน -
ขอบคุณครับ
เป็นกำลังใจให้ครับ สำหรับสิ่งดีๆที่ทำอยู่
สวัสดีค่ะ
***แวะมาให้กำลังใจ...หวนคิดถึงเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษา...ไม่รู้จักว่าจิตสาธารณะคืออะไร...รู้แต่ว่าปีนขึ้นภูเขาหลายลูกไปปลูกป่า...เช้ายันคำ..หน้าดำ..ขาเมื่อย...เหนื่อยแต่ไม่เคยท้อ...ต้นไม้ที่ปลูกถ้ายังอยู่ก็อายุเกือบ 30 ปี มันคงดูดซับน้ำซับอากาศพิษได้อักโขแล้ว...แอบภูมิใจ...ฝากบอกชาวบ้านให้ช่วยกันปลูกต้นไม้นะคะ
สวัสดีค่ะอาจารย์
มาให้กำลังใจค่ะ พอจะนึกออกบ้างนะคะว่าอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของ มหาลัย ใช่ไหมคะ ครั้งหนึ่งเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา เคยขับรถไปเจอน้ำท่วมถนน แถวนั้นค่ะ
บางทีมีคนอยากทำความดีนะคะ แต่เขาขาดความมั่นใจ ขาดสื่อและแบบอย่างที่ดี ค่ะ
สวัสดีค่ะ น้องชายที่รัก
คิดถึงเสมอนะน้องชาย
สวัสดีครับ คุณครู วรางค์ภรณ์ เนื่องจากอวน
เช้านี้ตื่นมาด้วยความเบิกบาน
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรู้ตัวว่า จะได้ลงพื้นที่อีกครั้ง คราวนี้จะไปให้ถึงหมู่บ้าน ซึ่งจะได้รับรู้ด้วยตนเองว่า ทำอะไรได้บ้าง -
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ คนพลัดถิ่น
เพลง ๆ นี้ ผมเริ่มฟังในสมัยเรียนมัธยมต้น และท่องจำมาจนบัดนี้ แต่ที่ชอบมากที่สุดก็ดูเหมือนจะเนท่อนนี้แหละครับ
หากฉันเกิดเป็นเม็ดทราย
จะถมกายเป็นทางเพื่อมวลชน
สวัสดีครับ พี่ยาว. เกษตรยะลา
จากที่รับรู้ผ่านการชักชวนด้วยตนเองนั้น เห็นได้ชัดว่า หลายคนลังเล เพราะติดยึดอยู่กับการช่วยเหลือในเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เป็นหลัก ซึ่งผมก็บอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่ามันไม่จำเป็นเสมอไป
เพราะจะทำอะไรสักอย่าง.. หากติดยึดและเชื่อว่าเงินคือทางออกของทุกเรื่อง ผมว่าไม่น่าจะใช่ เพราะในความเป็นจริง กำลังใจและความห่วงใย มีกันได้หลากหลายรูปแบบเลยทีเดียว
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ คนโรงงาน
ร่วมแรงช่วยเหลือ ชาวพี่น้องรอบๆมหาวิทยาลัยครับ
ผมเชื่อเรื่องราวเหล่านี้ นิสิต มมส คงไม่อยู่นิ่งครับ
เมื่อคืนนี้ผมแวะไปคณะเภสัชฯ เห็นท่าน รศ.พุฒิพงศ์ บอกว่าคณะท่านได้ทอดผ้าช่วยคนนำท่วมแล้วเมื่ออาทิตย์ที่แล้วครับ
บอส นุ้ยมาไม่ทัน ...
เห็นรถหกล้อวิ่งสวนทางกันพอดีเลย ...
ส่งกำลังใจไปช่วยแทนละกันนะคะ
ให้กำลังใจ ทั่วไทย ครับ
สวัสดีครับ กิติยา เตชะวรรณวุฒิ
ผมขอบคุณมาก ๆ เลยนะครับที่แวะมาให้กำลังใจ กับผมและทีมงาน รวมถึงชาวบ้านที่ประสบภัยด้วยเช่นกัน
เราเปิดเวทีต่อเนื่องมาสองวันแล้ว.. ทำงานกันแข็งขัน ทีมงานไม่เยอะ แต่ก็มีพลังอย่างน่ายกย่อง
.... ขอบคุณครับ...
สวัสดีครับ krukim
ตอนนี้มหาวิทยาลัยย้ายออกมาตั้งอยู่ในเขตเทศบาลตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ห่างจากที่ตั้งเดิมประมาณ 10 กิโลเมตร
ที่ตั้งใหม่ อยู่ใกล้แม่น้ำชี หมู่บ้านรายรอบมหาวิทยาลัยก็ถูกรายรอบไปด้วยแม่น้ำชี พอน้ำหลาก หมู่บ้านจึงถูกน้ำท่วมไปโดยปริยาย
...
คืนนี้ ยังต้องบรรจุสิ่งของเข้าถุงยังชีพ พรุ่งนี้ลำเลียงข้ามน้ำไปยังหมู่บ้านเพื่อเตรียมส่งมอบอย่างเป็นทางการในวันเสาร์ที่จะถึงนี้
ขอบคุณครับ