"...คำว่า มิตร เป็นคำที่มาจากรากเดียวกันกับคำว่า เมตตา ซึ่งเป็นหนึ่งใน 4 มิติของ หลักพรหมวิหารธรรม 4 : เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา และ เมตตา เป็น วิถีแห่งโพธิสัตว์ (กวนอิม / อวโลกิเตศวร) ซึ่งโน้มนำความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมตตา และเกื้อกูล ต่อสรรพสัตว์และสรรพสิ่ง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นคำที่มีรากความหมายร่วมกับคำว่า สนธิ อันแปลว่า ความสงบ และการทำให้มีศานติ ความร่วมกัน ความคุ้นเคย ความเป็นญาติ ภราดรภาพ และความเป็นพี่น้องกันของผู้คน..."
ว่างๆ ผมชอบผ่อนคลายไปตามอริยาบทต่างๆของชีวิต ส่วนหนึ่งคือเล่นดนตรี กีตาร์และขลุ่ย อันที่จริง ขลุ่ยนั้น ผมเล่นไม่เป็นในทางขลุ่ย ทว่า ผมเคยเล่นคลาลิเน็ตและแซกโซโฟนได้แบบกล้อมแกล้มประสาแตรวงบ้านนอกและวงดนตรีโรงเรียนมัธยมอำเภอ ก็เลยเล่นขลุ่ยในทางของคลาลิเน็ตและแซกโซโฟน โดยไม่รู้เลยว่าเขาเป่าขลุยกันอย่างไร
ในส่วนเพื่อนๆและผู้ที่เคยให้ผมเล่นเพลงขลุ่ยผสมกับเครื่องดนตรีอื่นๆ ก็เคยได้ความชื่นชมและออกปากว่าผมเป่าขลุ่ยได้ไพเราะ โดยที่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ผมเป่าขลุ่ยไม่เป็น ที่ได้เห็นและได้ยินนั้น ผมเป่าขลุ่ยด้วยแนวคิดและอารมณ์ของคลาลิเน็ตและแซกโซโฟน ขลุ่ยเป็นเครื่องมือและอุปกรณ์ถ่ายทอดอารมณ์ดนตรีให้ผมเท่านั้น
มีอยู่เพลงหนึ่งที่ผมมักฮัมในหัว และเมื่อเล่นออกมาเป็นเพลงไม่ว่าด้วยเครื่องเป่า หรือเครื่องเคาะแบบขิม ก็มักจะออกมาโดยที่ก็ไม่รู้ว่าเพลงอะไรและได้มาจากแหล่งไหน เมื่อเล่นก็มักจะนึกถึงฝูงนกกับนายพราน แล้วจังหวะและอารมณ์เพลงก็จะผุดพรายขึ้นมาในหัวระหว่างเล่น แทบทุกครั้งก็มักจะนึกถึงบ้านนอกและชีวิตวัยเด็ก นึกถึงพ่อแม่ บรรยากาศยามเย็นหลังเลิกไถนา และทุ่งนายามแล้ง แจ่มชัดมาก แต่ก็นึกไม่ออกว่าเพลงนี้ติดมือมาจากไหน และอย่างไร
เมื่อคืน ผมลองนั่งคิดทบทวนจริงๆจังๆ แล้วก็ลองคะเนเอาว่า เค้าเงื่อนน่าจะมาจากหนังสือ หิโตปเทศ หนังสือเล่มนี้ผมชอบอ่านเมื่อตอนเด็กและเคยนำกลับมาอ่านอีกหลายครั้งตอนโต ทุกครั้งก็มักได้อะไรใหม่ๆ ไปด้วยเสมอ พอนำกลับออกมานั่งอ่านอีก ก็คิดว่าใช่แน่ๆ หนังสือเล่มนี้ ตอนหนึ่งมีนิยายเรื่อง ฝูงนกพิราบ ความสามัคคีของฝูงนกที่ช่วยกันหอบตาข่ายหนีนายพราน พลังความสามัคคี และพลังแห่งมิตรภาพ
ผมพอจะนึกออกและจำได้บ้างแล้วว่า เพลงนี้ผมน่าจะแว่วยินมาจากวิทยุ ในช่วงวัยเด็กที่ได้อ่านนิทานฝูงนกกระจาบกับนายพราน ซึ่งดัดแปลงสู่พากย์ไทยจากเค้าเงื่อนในหนังสือ 5 เล่ม หรือปัญจตรันตระ ของหิโตปเทศ และเพลงที่ว่านี้ มีช่วงท้ายแสดงความพร้อมเพรียง เป็นจังหวะ ซึ่งคนที่ได้ฟังก็คงสามารถจินตนาการไปได้ต่างๆนาๆ ทว่า ผมมักเห็นภาพฝูงนกบินพรึ่บพรั่บทุกที
เลยก็นำหนังสือออกมาอ่านเล่นเสียอีกรอบ คราวนี้ผมไม่อ่านอย่างเดียว ทว่า เพลิดเพลินไปในรายละเอียดต่างๆของการทำหนังสือ (โดยสำนักพิมพ์ ศยาม ใช้โลโก้อักษร ศ ตัวเดียว) ก็ได้อะไรเพิ่มขึ้นอีกมากมายตามเคย ...........
- หนังสือหิโตปเทศของพากย์ไทยที่ผมมี เป็นฉบับของการทำงานร่วมกันของสองกูรุ คือ "คารม" หรือ เสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป หรือ พระสารประเสริฐ(ตรี นาคะประทีป) เป็นงานหนังสือและประติมากรรมทางปัญญา ที่ร่วมสร้างขึ้นด้วยความเคารพบูชาซึ่งกันและกันของสองปราชญ์แห่งสยาม และทำเพื่อเป็นเครื่องบำรุงสุขสาธารณะของสังคม ยิ่งใหญ่ ดี จริง งาม ทั้งเป้าหมาย วิธีการ และกระบวนการ หรืองดงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย ที่รองปกหนังสือมีรูปวาดสองท่านคู่กัน ผมอ่านแล้วกราบ และแม้รำลึกถึงก็กราบคารวะ ถือว่าเป็นสุดยอดของการรวมกลุ่มทำกิจสร้างสรรค์ทางปัญญาเพื่อส่วนรวม ด้วยจิตสาธารณะของปัจเจกในวิถีไทย
- หนังสือ หิโตปเทศ ต้นฉบับภาษาสันสกฤต มี 5 เล่ม จึงเรียกว่าชุดหนังสือ 5 เล่ม หรือ คัมภีร์ปัญจตรันตระ แต่เมื่อทำเป็นเล่มรวมในพากษ์ไทย ก็เหลือเพียง 4 หมวด ซึ่งผ่านการแปลจากหลากหลายภาษาในช่วงสืบเนื่องกันนับศตวรรษ เช่น สู่สันสกฤต ลาติน เยอรมัน ภาษาอังกฤษ จีน เรียกว่าเป็นกระแสความรู้ที่ไหลผ่านสังคมวัฒนธรรมที่สำคัญมาทั่วโลก ของไทยนั้นท่านแปลมาจากรุ่นที่ 5 ในภาษาอังกฤษและสอบทานกับต้นฉบับบาลีและสันสกฤตอีกต่อหนึ่ง เป็นหนึ่งตัวอย่างของการเลือกสรรความรู้และการเรียนรู้ทางสังคมอย่างที่สุด ของสังคมไทย
- กล่าวโดยสรุป ก็เป็นหนังสือให้การศึกษาอบรมเพื่อพัฒนาภาวะผู้นำของปัจเจก สร้างผู้นำรุ่นใหม่ ผู้ปกครองคน และยุวราชา มองในแง่ของการเรียนการสอนแล้วน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะเป็น การสร้างวิธีคิด มโนทัศน์ หลักคิด (Principles and Conceptuals Learning) และการใช้วิจารณญาณ มิใช่การสอนความจำ รูปแบบสำคัญคือ สอนด้วยกรณีตัวอย่างหลากหลายสถานการณ์ ด้วยนิทาน เรื่องเล่าอุปมาอุปมัย โศลก และนิยาย ให้ผู้เรียนสร้างบทสรุปให้เป็นปรีชาญาณจำเพาะตน
- รูปแบบการสร้างมโนทัศน์และพาเข้าถึงวิธีคิดนั้น มีการผสมผสานในแบบที่ผมสรุปเอาเอง คือ ทั้งในลีลาวรรณกรรมของอินเดีย คือการขึ้นโศลกหรือกระทู้ แล้วแจกแจงสำแดงกรณีศึกษาให้ประจักษ์แจ้ง(Analytical) และแนวทางงานเขียนแบบจีน ซึ่งจะสาธยายและยกกรณีศึกษาขึ้นก่อนอย่างรอบด้าน แล้วค่อยขมวด สรุปเชิงหลักการ หรือสร้างเป็นมโนทัศน์สั้นๆ (Synthesis) ในแต่ละประเด็น มีการให้หมวดและหมายเลขกำกับ ผมได้วิธีดัดแปลงรูปแบบนี้ มาเป็นการเข้ารหัสและจัดหมวดหมู่ข้อมูลเชิงคุณภาพเวลาทำงานข้อมูลส่วนตัว รวมทั้งทำวิจัยเชิงคุณภาพ
- หนังสือ มีแง่มุมและสิ่งต่างๆให้เรียนรู้มากมาย ทว่า หลักใหญ่ใจความ ก็ว่าด้วย มิตร มิตรลาภ การแตกทำลายแห่งมิตร การสงคราม และการสู่ความสงบ นอกจากมีความเป็นอิสระต่อกันในแต่ละหมวดแล้ว ในภาพรวม ก็เป็นอนิจลักษณะทางสังคม สืบเนื่องเป็นเหตุปัจจัยและเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา ต้องแยบคายและมีวิจารณญาณ ท่องจำเป็นความรู้แยกส่วนหลุดจากบริบท ไม่ได้
- หลักคิดที่ว่าด้วยมิตร มีเต่า กา กวาง หนู เป็นตัวเดินเรื่อง ทว่า ให้วิธีคิดสำคัญว่า ทรัพย์สินเงินทอง ความมีหน้ามีตา ความสำเร็จ ชื่อเสียง การชนะทางดินแดน ยศถาบรรดาศักดิ์ และความเป็นมิตร ทั้งหลายทั้งปวงนี้ หากแม้นต้องเลือกสิ่งมีคุณสูงสุดสิ่งเดียว ท่านว่า ขอให้เลือกความเป็นมิตรและความคุ้นเคยกันดังญาติมิตรของหมู่มนุษย์เถิด สิ่งอื่นจักตามมาเอง ทว่า หากไม่มีสิ่งนี้ สิ่งอื่นที่มีอยู่ก็จะล่มสลาย ใดที่ไม่มีก็จะไม่บังเกิดขึ้นเลย
-
เต่า กา กวาง หนู เป็นโวหารกวีที่สื่อสถานการณ์เชิงสัญลักษณ์ เต่าเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ กาเป็นสัตว์ปีกกินซากเนื้อสัตว์ กวางกินหญ้าและเดินท่องไพร หนูเป็นสัตว์กลางคืนและอยู่รู ว่าด้วยตัวตนโดยธรรมชาติและสิ่งที่ต้องการในชีวิตแล้วก็ไม่มีทางจะต้องมาเกี่ยวข้องและไปด้วยกันได้เลย ทว่า ความนัยที่ผู้อ่านและผู้สร้างปัญญาจากการอ่านต้องหาเอาจากความเป็นจริงในยุคสมัยของตนก็คือ ความเป็นจริงของโลกมีความแตกต่างหลากหลายสุดขั้วเสมอ ดังนั้น ความศานติและความสุขร่วมกัน จะเป็นได้จริงก็โดยวิถีแห่งมิตรเท่านั้น หากใช้วิธีการเชิงเหตุผลและจุดยืนจากต่างกระบวนทรรศน์มิติเดียว ดังจะเห็นว่า อีกากับหนูอาจแย่งซากสัตว์และพากันเดือดร้อนโดยก็หาทางคุยกันไม่ได้เพราะอีกาบินอยู่บนฟ้าและหากินตอนกลางวัน ส่วนหนูหากินกลางคืน ทำรูในดินและกลัวอีกา ส่วนกวางนั้นกินหญ้าและเดือดร้อนจากการไม่มีกอหญ้าให้ซุกกายจากการที่กวางมากินหญ้าได้ แต่ก็อยู่และหากินได้ทั้งในน้ำและบนบก ในขณะที่กวางลงน้ำและหากินพืชในน้ำเหมือนเต่าไม่ได้ ดังนั้น เหตุผลที่ชัดแจ้งที่สุดของแต่ละฝ่ายต่อให้ล้ำเลิศอย่างไร ก็มีแต่จะมุ่งขจัด ห้ำหั่นผู้อื่น และติดยึดตัวกูของกู ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นจริงแม้ในปัจจุบัน แม้นมิได้มีเจตนาร้ายต่อผู้อื่นแต่อย่างใด แต่ก็มีธรรมชาติที่ขัดแย้งกันอย่างสุดขั้วได้
- คำว่า มิตร เป็นคำที่มาจากรากเดียวกันกับคำว่า เมตตา ซึ่งเป็นหนึ่งใน 4 มิติ ของ หลักแห่งพรหมวิหารธรรม 4 ประการ คือ เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา ซึ่ง ความเมตตา นั้น จัดว่าเป็น วิถีแห่งโพธิสัตว์(กวนอิม/อวโลกิเตศวร) ซึ่งเน้นการโน้มนำความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเกื้อกูลต่อสรรพสัตว์และสรรพสิ่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นคำที่มีรากความหมายร่วมกับคำว่า สนธิ อันมีความนัยถึง ความสงบ ของหลายฝ่าย หรือ สมานฉันท์ สิ่งที่เป็นพื้นฐานแห่งมิตรภาพที่หิโตปเทศแนะนำก็คือ ความบริสุทธิ์ใจและความวางใจ ที่สื่อออกมาจากพื้นนิสัยใจคอ หรือความจริงใจ อันมีองค์ประกอบของคุณธรรมและเมตตาธรรมต่อกัน นั่นเอง
-
การแตกทำลายแห่งมิตร มักเกิดจากอำนาจแห่งความโลภต่างๆและอวิชชาในตัวตนของปัจเจก ผู้คนมักหาทางแก้ไขโดยภาคีที่สาม แต่โดยวิธีนี้ ท่านว่าจะทำให้ปัญหาบานปลายมากกว่า หรือหากแก้ไขได้ มิตรภาพและความคุ้นเคยดังญาติ ก็จะไม่สมานคืนได้ดังเดิมอีกเลย ท่านจึงว่าให้หาหนทางแก้ไขกันให้ได้ด้วยวิธีของคู่กรณีนั่นเอง
- โดยการมีพื้นแห่งมิตร หากเกิดการสงคราม วิถีสงครามจะโน้มไปในทางไม่ทำที่สุดแห่งการสงครามเข่นฆ่า เพราะต่างรู้ดีว่ามีแต่ความเสียหายทั้งสองฝ่าย อีกทั้งนำสถานการณ์ไปสู่ความไม่แน่นอนทั้งสองฝ่าย ทว่า กลับจะเลี่ยงทำสงครามเชิงกุศโลบาย ชนะกันในเชิงคุณธรรมและวิถีที่ปราศจากการสู้รบ ความว่างเปล่า อ่อนล้า สติและความแยบคาย จะกลับมาทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป ซึ่งก็เป็นแนวคิดที่แปลกดี ดูแล้วจะคล้ายกับแนวปรัชญา Philosopher King ของกรีก ซึ่งพอดูการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางสังคมกันในอดีตแล้ว ก็ไม่แปลกใจ
- การคืนสู่ความสงบจากการแตกทำลายแห่งมิตรภาพ ในหิโตปเทศมีแนวให้ศึกษาหลายสถานการณ์ สถานการณ์หนึ่งคือ การสร้างกลไกพิจารณาปมของการมีความทุกข์สุขร่วมกัน และพิจารณาปมดังกล่าวว่าฝ่ายหนึ่ง(ฝ่ายตน) กระทำอย่างไรต่อกรณีนั้น และผลแห่งการกระทำนั้น กระทบและสร้างผลสืบเนื่องต่ออีกฝ่ายอย่างไร โดยมีคู่เจรจาที่แต่ละฝ่ายเชื่อถือ แต่มีข้อสังเกตว่า ต้องได้รับความเชื่อถือว่ามีความบริสุทธิ์ใจ จริงใจ ซื่อสัตย์และซื่อตรง (น่าสังเกตว่า ชื่อของ มหาตมคานธี ซึ่งเป็นตัวแบบวีรชนในความอหิงสาและศานติของโลกนั้น มีความหมายว่า วิถีแห่งผู้มีใจเป็นใหญ่ หรือ หนุมาน ยอดทหารเอกของพระรามนั้น ก็มีความนัยว่า วิถีศรัทธาด้วยใจบริสุทธิ์ ) แนวการเป็นกลไกเจรจาก็น่าสนใจ กล่าวคือ ต่างคุยเพื่อขออภัยและรับเป็นฝ่ายผิดในกรณีนั้นๆ พร้อมกับต่างมุ่งแสดงด้วยว่า เนื่องจากฝ่ายตนได้ทำให้เกิดผลไม่ดีต่ออีกฝ่ายอย่างไร สวนทางและตรงข้ามกับทั่วไปที่เมื่อเกิดการปะทะและต่อสู่เป็นคู่ขัดแย้งแล้ว สังคมโดยทั่วไปมักสู้เพื่อให้อีกฝ่ายเพลี่ยงพล้ำพ่ายแพ้และทำให้เป็นฝ่ายผิด ขณะเดียวกันก็มุ่งทำให้ตนชนะและเป็นฝ่ายถูกต้อง
จริงๆแล้ว หนังสือหิโตปเทศ เป็นหนังสือสอนเด็ก สร้างพลเมืองเด็กเพื่อเป็นผู้นำของสังคมในอนาคต เลยมีแนวคิดที่กระตุ้นให้คนอ่าน ศึกษาค้นคว้า และทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งด้วยตนเองเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริงว่า ลูกหลานและคนรุ่นใหม่ หากไม่ศึกษาเรียนรู้หลักชีวิตดังในหนังสือปัญจตันตระนี้ ก็จะโง่เขลาต่อชีวิต และหากเป็นลูกหลานก็จะเป็นเหมือนศัตรูของพ่อแม่ หากเป็นพ่อแม่ แต่ไม่สอนสิ่งนี้แก่ลูกหลาน ก็จะเป็นเหมือนไพรีหรือศัตรูของกุลบุตร
แต่ข้อนี้ก็เป็นวิธีพูดแบบสำนวนคนโบราณ ความหมายคือ เป็นหลักที่ต้องเรียนรู้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ หรือเป็นวิชาพลเมืองเพื่อสร้างสุขภาวะส่วนรวม สำหรับอยู่ร่วมกันแบบมนุษย์ทั้งผองพี่น้องกัน นั่นเอง.