จากความเดิมตอนที่แล้ว <คลิกที่นี่> ฉัน..ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่หัวเราะก็ได้-ร้องไห้ก็เป็น ผู้มีโชคชะตาที่น่าสงสารเพราะต้องผจญกับเรื่องไม่เป็นเรื่องมาตลอดระยะเวลานี้ ได้เดินทางหลบหนีความรู้สึกหม่นเทามาถึง "เมืองปาย" แต่ก็มิวาย..ประสบอุบัติเหตุ
26 พฤศจิกายน (ภาคต่อ) ฉันอาศัยพึ่งพาเจ้ามอเตอร์ไซค์คันใหม่ที่มีสีเขียวอ๋อย (ได้สีไม่ถูกใจอีก แถมราคาค่าเช่าที่คิดว่าจะต้องจ่ายวันละ 100 บาท ก็กลายมาเป็นวันละ 140 บาทได้อย่างไรก็ไม่รู้ เฮ้อ!) ขับขี่เจ้านี่มาจนถึงบ้านปายตาด้วยความระมัดระวัง เลี้ยวเข้าไปจอดในบริเวณลานจอดรถ พี่ปัน (หนึ่งในเจ้าของบ้าน)เดินมาหา..ฉันก็ยื่นสลิปใบโอนเงินค่าที่พักส่งให้เธอพร้อมกับเปรยขึ้นมาว่า "เมื่อเช้าน่ะ..อายมากเลยนะนั่น ไม่ใช่ไม่อาย" T_T เธอบอกว่า.."หน่า ไม่เป็นไร ไปนอนพักก่อนดีกว่า พี่ว่าเราคงเจ็บเยอะเหมือนกันนะ มาทางนี้ค่ะ พี่เตรียมบ้านให้เรียบร้อยแล้ว เป้ก็อยู่ในห้องนะคะ...." เธอนำฉันไปยังบ้านพักที่ชื่อข้าวตังแล้วก็ขอตัวออกไปทำงานต่อ
ฉันเดินลากขากะเผลกเข้าห้องพักแสนน่ารักอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ยังแอบสังเกตว่า..มันไม่ใช่หลังที่ฉันจองนี่นา เอ..หรือพี่ๆ เขาจะคิดว่าฉันมาคนเดียวจึงให้มาพักที่หลังนี้แทน ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะถ้าฉันอยู่คนเดียวในห้องพักที่มีเตียงใหญ่หรือเตียงคู่คงจะทำให้นอนไม่หลับ ก่อนอื่นขอสำรวจบาดแผลเสียหน่อย ปรากฏว่า..มีรอยถลอกตรงบริเวณข้อมือไปจนถึงท้องแขนเป็นแนวยาว แต่ที่น่าตกใจก็คือรอยฟกช้ำดำเขียวที่มีหลายแห่งและบวมเป่งจนน่ากลัว อาบน้ำเสร็จก็นอนสลบไสลไปเลยโดยไม่รู้ตัวราวสักสองชั่วโมงได้ พอรู้สึกตัวก็พยายามมานั่งเขียนโปสการ์ดฆ่าเวลา เสร็จแล้วก็ยักแย่ยักยันออกไปส่งที่ไปรษณีย์(ใช้วิธีกางแผนที่) ระหว่างรอต่อคิว.. แม่หมู (อ.หมู แซ่เฮ)ก็โทรมาให้อ้อนได้ถูกจังหวะพอดี แล้วพี่กบ(เจ้าของบ้านปายตาอีกคน)ที่แวะมาไปรษณีย์ก็ทักฉันว่า "น้องต้อมเคยมาพักบ้านปายนาใช่ไหมคะ?" เธอถามไถ่ถึงอาการระบมจากอุบัติเหตุและแนะนำว่าฉันควรจะนอนพัก(แน่นอนอยู่แล้ว..ว..ว) กลับถึงบ้านปายตา..ฉันก็สั่งน้ำส้ม+โยเกิร์ตปั่นมานั่งจิบที่ห้อง เลยมีเวลาได้เดินสำรวจบ้านพักของตัวเองที่ชื่อบ้านข้าวตังให้เต็มที่ (เพราะออกไปตะลอนที่ไหนไม่ได้ไง) มุมโน้นก็น่ารัก..มุมนี้ก็เข้าที.. ดีเหมือนกันที่จะได้พักผ่อนให้เต็มที่และคุ้มกับราคาห้องพักที่จ่ายไปในราคา 3 คน
บ้านข้าวตัง..อีกหนึ่งหลังน่ารักที่ฉันพักในบ้านปายตา
นอนหลับตาได้สนิท..ราวกับที่ๆ คุ้นเคย
มุมนี้..มีให้นั่งเขียนโปสการ์ดหาใครบางคน
ห้องน้ำน่ารัก..ภายใต้แสงเดือน-แสงดาว และแดดอ่อนส่องไล้ในยามเช้า
ฉันถามตัวเองว่า..ทำไมถึงมาที่นี่ จริงๆ แล้วฉันควรจะอยู่บ้านที่อย่างน้อยก็ยังรู้สึกอุ่นใจได้ ไม่ใช่มานอนเหงา-นอนหนาว และเจ็บตัวในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย นี่..ฉันบ้าหรือเปล่า? ด้วยความที่ใครต่อใครออกไปเที่ยวข้างนอกกันหมด(มั้ง) และบ้านพักที่ค่อนข้างจะถูกจัดให้อยู่เป็นสัดเป็นส่วนถึงแม้จะอยู่ในบริเวณเดียวกัน บวกกับเสียงเพลงเพราะๆ ที่พี่เจ้าของบ้านปายตาเปิดให้ฟังตลอดทั้งวันนั้นได้กล่อมให้ฉันรู้สึกสบายและผ่อนคลาย ฉันนั่งนิ่งๆ และพิจารณาทุกสิ่งรอบๆ ตัว อย่างช้าๆ แต่เต็มไปด้วยความสุข นึกขอบคุณ "เรื่องราวร้ายๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต" หรือแม้กระทั่ง "อุบัติเหตุ" ที่ทำให้ฉันได้มาสัมผัสกับความละเมียดละไมในชีวิต ณ ที่แห่งนี้ ที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าได้สัมผัสแนบอิงกับความเป็นธรรมชาติ
ฉันหยิบโปสการ์ดที่ได้จัดทำขึ้นมาในโอกาสที่มาเยือนปายขึ้นมาเขียนถึงบุคคลอันเป็นที่รัก (หมายถึงพี่ๆ ^^ รีบบอกก่อนจะโดนแซว) โปสการ์ดสองแบบแต่ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกัน นั่นคือ "ความคิดถึง" ใช่ล่ะ..ฉันอยากจะบอกผ่านความคิดถึงนี้ไปยังทุกๆ คน โปสการ์ดของฉันอาจจะไม่สวยเตะตาหรือจับใจใครๆ หากแต่ฉันได้ลงมือทำอย่างประณีตในแบบฉบับของตัวเอง ทุกๆ ใบที่ต้องติดกาวหรือใช้คัตเตอร์ในขั้นตอนการทำ เชื่อไหมว่าฉันทำไป..ยิ้มไป ซึ่งจริงๆ แล้วฉันไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ เพียงแค่เดินเข้าไปในร้านขายโปสการ์ดที่แทบจะมีอยู่ทุกซอกทุกมุมบนถนนคนเดินในเมืองปายแล้วจ่ายเงิน ฉันก็จะได้โปสการ์ดมานั่งเขียนถึงใครต่อใคร โปสการ์ดใบไหนหรือของใครจะต่างกันอย่างไร?..ฉันไม่รู้ แต่เชื่อได้เลยว่าโปสการ์ดของฉันทำขึ้นมาด้วยความรักอย่างแท้จริง
โปสการ์ด..ของฉัน
และขณะที่กำลังจะลงมือเขียนโปสการ์ดถึง พี่นุช (คุณนายดอกเตอร์ หรือ ดร.ยุวนุช ทินนะลักษณ์) เชื่อไหมว่า..เสียงเพลงจากมือถือของฉันก็ดังขึ้น เคยไหมคะที่เราคิดถึง-ระลึกถึง-นึกถึง ใครบางคนหรือแม้กระทั่งจะกดหมายเลขโทรศัพท์เพื่อโทรหาใครแล้วอีกฝ่ายก็โทรเข้ามา บ่อยๆ ครั้งที่ฉันเป็นเช่นนี้ และรู้สึกดีมากมายที่พี่นุชกรุณาโทรมาถามไถ่อาการของฉัน ซึ่งก็สงสัยอยู่ว่าเธอโทรมาหาฉันโดยฝ่าด่านสัญญานเครือข่ายล่มมาได้อย่างไร ในเมื่อบริเวณบ้านที่ฉันพักค่อนข้างจะอับสัญญาน น้ำตาแทบจะไหลแน่ะ T_T คิดดูสิ..ระบม..เป็นไข้..เวลาพลบค่ำ..อากาศหนาวบาดใจ ขอกราบขอบพระคุณพี่นุชมา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ
ตะวันตกดิน..พี่ปัน (เจ้าของบ้าน)เดินมาส่งแขกเข้าบ้านพักที่อยู่ใกล้ๆ กัน เป็นช่วงเวลาที่ฉันออกไปนั่งเล่นตรงระเบียงบ้านพอดี เธอถามฉันว่าไหวไหม?..เป็นไข้หรือเปล่า? และเดี๋ยวจะเอายาแก้ไข้มาให้ สักพักเธอก็กลับมาและกำชับว่าถ้าหิวหรืออยากได้นมอุ่นๆ ก็เรียกได้เลย รับยาแล้วฉันก็ปิดประตูบ้าน คืนนั้นฉันนอนซมเพราะพิษไข้ตลอดทั้งคืน
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ..