“จิตใจที่เห็นหัวของกันและกัน” เป็นสิ่งสำคัญที่การศึกษาต้องสร้างให้ได้ก่อน
คนที่เป็นเบี้ยตัวล่างที่สุดในสังคมไทย ก็คือ เกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ฯลฯ และกรรมกร ทุกข์อะไรบรรดามีในสังคมมักจะถูกผ่องถ่ายลงไปให้ต้องตกหมกไหม้ที่คนชั้นนี้โดยตลอด ที่เห็นเป็นข่าวในระยะนี้ ได้แก่
· พ่อค้าไม่อยากขาดทุน หรือ อยากได้กำไรมาก ๆ ก็ไปกดราคาข้าวโพด
· เศรษฐกิจแย่ นายทุนไม่อยากขาดทุน หรือขาดทุนกำไร ก็ปลดคนงานออก
ฯลฯ เป็นต้น
ปัญหาทำนองนี้มีผู้เสนอทางออกที่น่าสนใจ เช่น
ในหลวงได้มีพระราชดำริไว้ในเกษตรทฤษฎีใหม่ ขอคัดลอกมาโดยสังเขปดังนี้
“พระราชดำริ "ทฤษฎีใหม่" เป็นแนวทางหรือหลักการในการจัดการทรัพยากรระดับไร่นาคือที่ดินและน้ำ เพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการดำเนินการทฤษฎีใหม่ ได้พระราชทานขั้นตอนดำเนินงาน ดังนี้
ขั้นที่ ๑ ทฤษฎีใหม่ขั้นต้น สถานะพื้นฐานของเกษตรกร คือ มีพื้นที่น้อย ค่อนข้างยากจน อยู่ในเขตเกษตรน้ำฝนเป็นหลัก โดยในขั้นที่ ๑ นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเสถียรภาพของการผลิต เสถียรภาพด้านอาหารประจำวัน ความมั่นคงของรายได้ ความมั่นคงของชีวิต และความมั่นคงของชุมชนชนบท เป็นเศรษฐกิจพึ่งตนเองมากขึ้น
ขั้นที่ ๒ ทฤษฎีใหม่ขั้นกลาง เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบัติในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว ก็ต้องเริ่มขั้นที่สอง คือ ให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูปกลุ่ม หรือ สหกรณ์ ร่วมแรง ร่วมใจกันดำเนินการในด้าน การผลิต การตลาด ความเป็นอยู่ สวัสดิการ การศึกษา และสังคมและศาสนา
ขั้นที่ ๓ ทฤษฎีใหม่ขั้นก้าวหน้า เมื่อดำเนินการผ่านพ้นขั้นที่สองแล้ว เกษตรกรจะมีรายได้ดีขึ้น ฐานะมั่นคงขึ้น เกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรก็ควรพัฒนาก้าวหน้าไปสู่ขั้นที่สามต่อไป คือ ติดต่อประสานงาน เพื่อจัดหาทุน หรือแหล่งเงิน เช่น ธนาคาร หรือบริษัทห้างร้านเอกชน มาช่วยในการทำธุระกิจ การลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งนี้ ทั้งฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายธนาคารกับบริษัท จะได้รับประโยชน์ร่วม ..”ต้องการรายละเอียดทั้งหมดไปที่
และ
หมอวิจารณ์เคยเสนอไว้ว่า
“ ...ชาวนาต้องพัฒนาความรู้ว่าด้วยวิธีขายข้าวให้ได้ราคาดี ที่เหมาะสมและใช้ได้จริง ซึ่งน่าจะมีหลักการหลายประการ ตามความรู้อันจำกัดของผู้เขียน เช่น
• รวมตัวกันตั้งโรงสี
• รวมตัวกันรับซื้อข้าวและขายข้าวเปลือก
• ตั้งโรงงานแปรรูปข้าว ไปเป็นสินค้าที่หลากหลาย และมีมูลค่าเพิ่มสูง
• ผลิตข้าวพันธุ์
• ผลิตข้าวกินชนิดพิเศษ เพื่อขายให้แก่ตลาดจำเพาะ (niche market)
ที่มีข้อตกลงธุรกิจต่อกัน เช่นข้าวปลอดสารพิษที่มีวิธีการผลิตมาตรฐานเชื่อถือได้ และมีการตรวจสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์…”สนใจรายละเอียดทั้งหมดไปที่
จะเห็นว่าทางออกที่เสนอข้างต้น เน้นที่การรวมกลุ่ม
ปัญหาอยู่ตรงนี้ !!!
ผมเอาความคิดเหล่านี้ไปคุยกับเกษตรกรทางบ้านผม เข้าตั้งคำถามกลับมาว่า " ครูไม่เคยได้ยินโบราณเขาว่าไว้หรือ “เลี้ยงวัวเข้าขา ทำนาเข้ากันนะ มันไม่สำเร็จหรอก " " เขาขยายความต่อไปว่า “คนเราทำอะไรร่วมกันเดี๋ยวมันก็ทะเลาะกัน ผมเห็นมามากต่อมากแล้ว ไม่เห็นมันยืดสักราย "
เรื่องนี้ ดร.นิพนธ์ ศศิธร เคยพูดและเขียนไว้นานแล้วว่า คนไทยมีปัญหาในการรวมกันเป็นกลุ่ม หรือเป็นองค์กรที่ถาวร และท่านว่า สาเหตุอยู่ที่คนไทยในระดับเดียวกันไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน
ผู้รู้คนอื่น ๆก็พูดในทำนองนี้ ผมได้ยินได้ฟังมา ก็เชื่อว่าจริง เห็นด้วยว่าใช่ และก็เชื่อว่าผู้รู้ในวงการศึกษาก็มีความเข้าใจในเรื่องนี้ดี ในหลักสูตรการศึกษาก็ระบุไว้ในทุกยุค ทุกสมัย ยิ่งในช่วงหลัง ๆนี้เน้นมาก ๆ แต่มาถึงบัดนี้คนไทย โดยเฉพาะคนชั้นล่าง เกษตรกรอันได้แก่ ชาวไร่ ชาวนา ฯลฯ และกรรมกร ยังทำอะไรร่วมกันไม่ได้อยู่ดี
ดังนั้นการศึกษา โดยเฉพาะการศึกษาที่ชุมชนจะเข้าไปทำ ต้องให้ความสำคัญของการสร้างจิตใจที่เอื้อต่อการทำงานร่วมกัน ซึ่งในที่นี้ ผมขอใช้คำว่า "จิตใจที่เห็นหัวของกันและกัน"
โรงเรียนก็ต้องหันมาทำเรื่องนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ทำเรื่องนี้ เรื่องอื่น ๆก็จะตามมาเอง
Paaoobtong
20 ธค. 51
ครูอ้อย มาสวัสดีปีใหม่ค่ะ
คิดถึงเสมอค่ะ
สวัสดีครับ สวัสดีปีใหม่ครับ
paaoobtong