ถ้าใครมาเยือนเมืองชากังราว เจ้าของคำขวัญ “กรุพระเครื่อง เมืองคนแกร่ง ศิลาแลงใหญ่ กล้วยไข่หวาน น้ำมันลานกระบือ เลื่องลือมรดกโลก” และแหล่งกำเนิด ‘พระซุ้มกอ’ หนึ่งในห้าพระชั้นยอดของเมืองไทย หรือ เบญจภาคี ที่ประกอบด้วย พระสมเด็จ พระรอด พระซุ้มกอ พระนางพญา และพระผงสุพรรณ นอกเหนือจากของดีเมืองชากังราวที่บอกไว้ คงไม่มีใครไม่รู้จัก เฉาก๊วยชากังราว ที่มีชื่อไปทั่วเมืองไทย เลยนะคะ
เมื่อก่อนดิฉันไม่เคยทราบมาก่อนว่า เฉาก๊วยที่เรากินๆ กันอยู่ทุกวันนี้ทำมาจากยางของต้นไม้ เข้าใจว่าเป็นวุ้นอยู่เสียนาน เฉาก๊วยส่วนใหญ่ที่เราเห็นขายตามท้องตลาด ก็ล้วนแล้วแต่ผสมวุ้นแทบทั้งสิ้น
การผลิตเฉาก๊วยให้อร่อย ต้องใช้เฉาก๊วยถึง 3 สายพันธุ์ คือต้นเฉาก๊วยจากจีน อินโดนีเซีย และเวียดนาม เหตุเพราะมีความแตกต่างกันทางคุณลักษณะ คือ เฉาก๊วยเวียดนามจะมีความหวานมากกว่า ส่วนอินโดนีเซียจะให้ความเหนียวนุ่ม และของจีนก็ใช้สำหรับผสมเพื่อให้รสกลมกล่อม เริ่มต้นแค่วัตถุดิบก็ไม่ง่ายซะแล้ว
ต้นที่ใช้ได้จะมีขนาดความสูงประมาณสองฟุต ซึ่งไม่สามารถปลูกในเมืองไทยได้ ต้องนำเข้า 100 เปอร์เซ็นต์ เริ่มการผลิตโดยนำต้นที่ตากแห้งแล้ว มาต้มเพื่อให้ยางเฉาก๊วยออกมา ประมาณ 1-2 ชั่วโมง แล้วกรองเศษเปลือกออก จากนั้นนำมาเคี่ยวจนได้ที่อีก 3 ชั่วโมง แล้วกรองอีกครั้งก่อนผสมน้ำเชื่อม กวนต่อให้ผสมเข้ากันดี กรองอีกครั้งแล้วพักไว้เพื่อทำการกวนขั้นสุดท้าย ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องใช้ความชำนาญและประสบการณ์สูงในการตรวจสอบ แล้วจึงเทใส่ถาด พักไว้จนแข็งตัว นำไปตัดด้วยเครื่องที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ แล้วจึงบรรจุ
เครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในการผลิตก็ไม่ธรรมดานะคะ ทุกอย่างสะอาด ปลอดภัย
ส่วนรสชาติไม่ต้องพูดถึง หวาน หอม นุ่มเหนียว กลมกล่อม กว่าเจ้าไหนที่เคยชิมมา
ดิฉันในฐานะคนกำแพงเพชร ขอเชิญชวนทุกท่าน ลิ้มลองเฉาก๊วยชากังราว ที่มีขายทั่วทุกภาคของประเทศไทยเลยค่ะ
ถ้าอยากรู้ว่าเขาทำเฉาก๊วยกันอย่างถึงอร่อยถูกใจเชิญติดตามที่นี่ค่ะ
http://www.cashfiesta150.th.gs/web-c/kkpp/index.htm