แม้ภัยพิบัติสึนามิจะผ่านมาแล้วหนึ่งปีก็ตาม
แต่เรื่องราวเหตุการณ์หรือผลกระทบต่อผู้คนกลุ่มต่างๆยังคงดำรงอยู่และดำเนินต่อไป
หลายเรื่องราวถูกรับรู้จากผู้คนนับล้านผ่านการนำเสนอของสื่อต่างๆ
แต่มีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่ถูกรับรู้และตระหนักอยู่เพียงตัวผู้ได้รับผลกระทบในชุมชน
หรือในกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ เพียงเท่านั้น
หนึ่งปีที่ผ่านไปอาจจะมีเสียงสะท้อนด้วยความภาคภูมิใจจากหน่วยงานต่างๆ
ที่เข้ามาช่วยเหลือผู้ประสบภัย
แต่อีกมุมหนึ่งก็กลับมีเสียงเพรียกร้องออกมาอย่างแผ่วเบาของกลุ่มชาวบ้านตัวเล็กๆ
ที่มองว่าการช่วยเหลือเหล่านี้ไม่ได้กระจายถึงพวกเขาเลย เช่น
หลายพื้นที่ชาวบ้านต้องลุกขึ้นมาปกป้องที่ดินที่ตนเองอาศัยอยู่มานาน
ที่ถูกนายทุนบางกลุ่มบุกรุกเข้ามายึดที่เหล่านั้น
หรือผู้ใช้แรงงานอีกหลายคนก็ต้องตกอยู่ในภาวะคนตกงาน
เป็นหนี้สิน
ถึงแม้ว่าสถานประกอบหลายแห่งจะเปิดตัวขึ้นอีกครั้ง
แต่พวกเขาก็ยังกลายเป็นคนตกงาน
เพราะนายจ้างไม่เลือกจ้างพวกเขากลับเข้ามาทำงานดังเดิม
ด้วยเหตุผลเพียงเพราะพวกเขาเห็นร่วมกันว่า
สิ่งที่จะช่วยให้พวกเขาในฐานะที่เป็นแรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้นั้น
พวกเขาต้องรวมตัวกันเพื่อตั้งสหภาพไว้ต่อรองกับนายจ้างและพัฒนาคุณภาพชีวิต
ซึ่งนายจ้างไม่ชอบใจกับแนวคิดนี้ ฉะนั้นสิ่งที่พวกเขาได้รับ
คือเงินช่วยเหลือส่วนหนึ่งและการได้รับการอบรมเรื่องอาชีพ
เพื่อให้พวกเขาสามารถเลี้ยงชีพและใช้หนี้สินที่เกิดจากภัยพิบัติสึนามิเท่านั้น
แรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งจากพม่า ลาวและกัมพูชา
ที่เมื่อครั้งภาวะปกติพวกเขาเป็นกำลังสำคัญของภาคเศรษฐกิจในพื้นที่เหล่านั้น
ทั้งภาคการผลิต ภาคบริการ
เป็นแรงงานในสวนยางพาราพืชเศรษฐกิจสำคัญของพื้นที่
เป็นลูกเรือประมงสินค้าส่งออกอันดับต้นๆ ของประเทศไทย
เป็นผู้ใช้แรงงานเพื่อก่อสร้างบ้าน โรงแรม ร้านอาหาร หรืออาคารต่างๆ
ของพื้นที่เหล่านั้น แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์สึนามิ
เรื่องราวของพวกเขากับสูญหายไปกับคลื่นยักษ์และความสูญเสีย
ภาพการรับรู้ของสาธารณชนที่ปรากฏ
กลับกลายเป็นเพียงเรื่องของโจรพม่าที่ออกมาลักทรัพย์ของผู้ประสบภัย
ซึ่งปรากฏเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ
ซึ่งเมื่อสืบหาความจริงแล้วก็จะพบว่าส่วนใหญ่ก็เป็นคนไทยที่ลักทรัพย์ด้วยกันเอง
แต่ภาพลักษณ์เหล่านี้เองได้กลายเป็นภาพแทนความจริงทั้งหมดของพวกเขา
และได้ส่งผลกระทบต่ออย่างรุนแรงและกลายเป็นประเด็นสำคัญในการที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ
หลังจากเกิดภัยพิบัติสึนามิ
แรงงานข้ามชาติที่ทำงานในพื้นที่จำนวนมากต้องหนีขึ้นไปอยู่บนภูเขาเพื่อเอาตัวรอด
แต่เมื่อเกิดกระแสข่าวดังข้างต้นขึ้นทำให้เจ้าหน้าที่รัฐออกมาเข้มงวดกับแรงงานข้ามชาติมากขึ้น
เริ่มกวาดจับแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีบัตรประจำตัวหรือใบอนุญาตทำงาน
ทำให้แรงงานข้ามชาติที่บัตรสูญหายไปกลับคลื่นยักษ์
หรือแรงงานที่ปกติไม่ได้พกบัตรติดตัวเพราะนายจ้างจะเก็บเอาไว้
(แม้กฎหมายจะระบุชัดเจนว่า แรงงานต้องถือบัตรเองก็ตามที)
เกิดความหวาดกลัวเนื่องจากข่าวคราวของเพื่อนที่ถูกจับกุมและส่งกลับแพร่กระจายไปทั่ว
ความช่วยเหลือต่างๆ ก็ยากที่จะได้รับ
เพราะแรงงานข้ามชาติไม่กล้าลงมาจากภูเขา
เนื่องจากกลัวถูกจับและไม่สามารถที่จะสื่อสารให้ผู้ช่วยเหลือเข้าใจได้
ในขณะเดียวกันความช่วยเหลือที่มักจะได้คำตอบว่าช่วยคนไทยก่อนกีดกันพวกเขาออกจากความช่วยเหลือด้วยเช่นกัน
จนกระทั่งเรื่องราวของพวกเขาถูกตั้งคำถามจากองค์กรพัฒนาเอกชนและนักวิชาการจำนวนหนึ่งและเรื่องราวถูกเผยแพร่ต่อสังคมมากขึ้น
ก็เริ่มมีมาตรการที่ผ่อนคลายมากขึ้น เช่น
มีการผ่อนคลายในการจับกุมแรงงานที่ไม่สามารถแสดงบัตรได้เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ทำบัตรใหม่แทนบัตรเดิมที่สูญหาย
และทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพตามปกติอีกครั้ง
โก อ่อง แรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่า
ซึ่งเป็นหนึ่งในแรงงานข้ามชาติที่ต้องหนีขึ้นไปอยู่บนเขาเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนั้นว่า
“ตอนนั้นพวกเรากลัวมาก
เพราะเราไม่รู้ว่าคลื่นยักษ์มันจะมาอีกหรือเปล่า
หลายคนตกใจและเสียใจมากๆ
เพราะไม่รู้ว่าครอบครัวตัวเองไปอยู่ที่ไหนเป็นหรือตายไม่รู้
ตอนนั้นก็อาศัยเพื่อนคนพม่าที่ทำงานในสวนยางคอยช่วยส่งข้าว
บางครั้งตอนกลางคืนก็ต้องแอบลงไปข้างล่างเพื่อหาข้าวมากินกัน
มีเพื่อนที่อยู่ข้างล่างเขามาบอกว่า ตอนนี้ตำรวจจับหนักมาก
หลายคนโดนจับไปแล้ว เพราะว่าไม่มีบัตร พวกเราก็ยิ่งตกใจมากขึ้น
หลายคนก็พยายามจะลงมาเพื่อจะกลับมาทำงานอีกครั้ง
จนมีข่าวว่าเริ่มมีจับน้อยลงพวกเราก็ค่อยๆ
ลงมาหางานทำกันอีกครั้ง
”
เมื่อถามว่าได้รับความช่วยเหลืออะไรบ้างไหม โกอ่อง
ก็บอกว่า
“มีบ้าง
มีกลุ่มคนพม่าคนไทยบางกลุ่มเข้ามาให้ข้าวของเครื่องใช้
แล้วหลายคนเขาก็พาไปทำบัตรใหม่กัน แต่อย่างอื่นไม่ได้เลย
”
ความช่วยเหลือที่พวกเขาได้รับ
นอกจากจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานกับแรงงานข้ามชาติแล้วนั้น
ชุมชนของแรงงานข้ามชาติด้วยกันที่ไม่ได้รับผลกระทบก็เป็นแหล่งให้ความช่วยเหลือที่สำคัญสำหรับพวกเขา
แม้พื้นที่เหล่านั้นจะอยู่ห่างออกไปอีกอำเภอหรืออีกจังหวัดหนึ่ง
แต่นั่นก็เป็นสิ่งเดียวที่จะยังเยียวยาชีวิตและจิตใจของพวกเขาได้
แม้มันจะเสี่ยงต่อการถูกจับกุมก็ตามที
ดังกรณีของมะโช แรงงานข้ามชาติหญิงจากพม่า
ซึ่งทำงานอยู่ในพื้นที่อำเภอตะกั่วป่า
เมื่อเกิดเหตุการณ์สึนามิซึ่งก่อให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ของเธอ
คือสามีของเธอเสียชีวิตจากเหตุการณ์และทรัพย์สินที่มีอยู่สูญหายหมด
เธอเหลือเพียงเสื้อผ้าที่ติดตัวหนึ่งชุด
และลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์ที่ใกล้คลอดของเธอ สิ่งเดียวที่เธอทำได้คือ
โบกรถของผู้หญิงคนหนึ่งเพื่อเดินทางไปยังอำเภอคุระบุรี
เพื่อหาเพื่อนของเธอ ตอนนี้เธอทำงานอยู่ที่อำเภอคุระบุรีกับเพื่อนๆ
ในชุมชนของแรงงานข้ามชาติและเลี้ยงลูกน้อยที่เกิดหลังจากเหตุการณ์นั้นได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น
วันนี้หนึ่งปีที่ผ่านไป
เรื่องราวของเขาในสังคมไทยก็ยังเป็นที่รับรู้ไม่มากนัก
เขายังคงเป็นชายขอบที่ถูกเบียดขับจากศูนย์กลางของสิ่งต่างๆ
แม้แต่ความช่วยเหลือในฐานะของผู้ประสบภัยสึนามิ อย่างไรก็ตามที
ชีวิตของพวกเขาต้องดำเนินต่อไป